ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1435 – ภาพหญิงโฉมงามคนที่ 11 โจมตีถึงตาย

 

ความรู้สึกอันนุ่มสบายเกือบทำให้ชิงสุ่ยลืมกล่องสมบัติ โชคดีที่เขาใช้มืออีกข้างดึงมันมาอย่างสุดแรง

 

เมื่อพวกเขาเข้าไปในประตูหิน ประมุขอสูรก็รีบถอยออกจากชิงสุ่ยทันที เมื่อเธอถอยไป เขาได้กลิ่นหอมจางๆของเธอบนใบหน้าของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย

 

ถึงแม้ว่าความทรงจำของเขาตอนโลงศพแก้วจะแจ่มชัด แต่ความทรงจำเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้กับในปัจจุบัน เช่นนั้นความรู้สึกของเขาตอนนี้ย่อมดีกว่าความทรงจำในอดีต

 

เมื่อชิงสุ่ยและประมุขอสูรผ่านประตูหินเข้ามา ชายชราทั้งสามก็รีบวิ่งมาทางพวกเขา มิหนำซ้ำพวกเขายังรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตามประมุขอสูรได้ใช้กระบี่คู่ชะโลมเลือดในมือของเธอเพื่อป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

 

โฮก!

 

ในเวลาเดียวกันอสูรศิลายักษ์ก็ฟื้นตัว สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของมันคอยปกป้องกล่องสมบัติและประตูด้านหลัง ตอนนี้กล่องสมบัติห่ายไปและมีคนสองคนผ่านประตูหินไปแล้ว อสูรศิลาโกรธจัดมาก

 

ช่างเป็นเรื่องที่โชคร้ายของชายชราทั้งสามที่พุ่งไปยังประตูหลังอสูรศิลา มีเสียงคำรามดังขึ้น ขณะที่ปราณสีเทาถูกปล่อยออกมาจากร่างของอสูรศิลา

 

ปัง

 

เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น มันเป็นการระเบิดโดยตรงๆที่ชายชราทั้งสาม พวกเขาถอยกระเด็นไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแรงปะทะทำให้ทั้งสามอาเจียนออกมาเป็นเลือด ทั้งสามได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

 

ประมุขอสูรค่อยๆมองไปที่ชิงสุ่ย ใบหน้าของเธอไม่มีความรู้สึกใด ชิงสุ่ยไม่สามารถมองความคิดของเธอออก เธอโกรธไหม? มันไม่ได้ดูเป็นเช่นนั้น บางทีอาจจะมีความสุข? นั่นก็ไม่ใช่อย่างแน่นอน

 

“ข้าเคลื่อนไหวมาไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว มันช่วยไม่ได้ที่พวกเราต้องตัวติดกัน ข้าไม่อยากจะตำหนิเจ้า” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว

 

ขณะที่ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ประมุขอสูรก็กำหมัดเอาไว้แน่น อย่างไรก็ตามเธอมองไปรอบๆโดยไม่ตอบกลับคำพูดของชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยส่ายหัว เขายังคงไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเธอแปรเปลี่ยนไปได้ เช่นมีความสุข โกรธ เดือดดาล และอื่นๆ… แม้ว่าเธอจะสูญเสียการควบคุมอารมณ์สักเล็กน้อย เขาก็จะไม่ติดใจ สิ่งที่เขากลัวคือเธอจะอยู่อย่างไร้อารมณ์เช่นเคย ถ้าเวลานี้เธอสูญเสียการควบคุมอารมณ์และทุบตีชิงสุ่ย เขาจะมีความสุขอย่างมาก

 

นี่เป็นการปล่อยตัวไปตามอารมณ์ โดยไม่ต้องเปิดหัวใจของเธอ ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจเธอได้ ถ้าเขาล้มเหลว มันก็ไม่เป็นไรและเขาจะพยายามลองอีกครั้ง ชิงสุ่ยหยุดคิดและมองดูรอบๆ ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในวิหารลึกขึ้น

 

มันคล้ายกับวิหารชั้นก่อนหน้านี้ แต่มันใหญ่กว่าเล็กน้อย สถานที่แห่งนี้มีอสูรศิลาขนาดพอกัน อย่างไรก็ตามมันมีรูปร่างเหมือนหมาอสูร ในความเป็นจริงมันเป็นหมาอสูรสามเศียร

 

ร่างกายของมันเป็นสีดำสนิท มันยืนอยู่ห่างไกลจากพวกเขาและยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับ ยิ่งไปกว่านั้นหากมีสิ่งมีชีวิตได้ย่างกรายเข้าไปใกล้การโจมตี มันจะจัดการและทำลายทิ้ง ในทางกลับกัน ถ้าหากไม่ได้อยู่ในระยะการโจมตี แม้ว่าจะโยนสิ่งของใส่มัน มันก็จะไม่แสดงปฏิกิริยาใด หากโยนสิ่งมีชีวิตเข้าไป มันก็ย่อมที่จะจู่โจม

 

เพียงแค่ไม่โยนสิ่งที่มีชีวิต!

 

ชิงสุ่ยดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง การเอากล่องสมบัติมาต้องใช้วิธีอื่นและแม้มันจะไม่สำเร็จ มันก็ยังคุ้มค่าที่จะลอง

 

พวกเขาได้รับกล่องสมบัติมาแล้วหนึ่งอันและตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีเพื่อจะดูว่าอะไรอยู่ข้างใน กล่องสมบัติไม่ใหญ่มาก มันยาว 2 เมตร กว้างประมาณ 2 ฟุต และสูง 1 ฟุต

 

นี่ถือได้ว่าเป็นกล่องขนาดเล็กเท่านั้น

 

“มาเถอะ พวกเราควรจะดูว่าอะไรอยู่ข้างใน” ชิงสุ่ยมองไปที่ประมุขอสูรและกล่าว

 

สำหรับเธอ ชิงสุ่ยรู้สึกพ่ายแพ้เล็กน้อย ทุกครั้งที่เขาเห็นใบหน้าที่เย็นชาและสง่างาม คำพูดบางคำจะหลุดออกมาจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ประมุขอสูรดูเหมือนจะสนใจเช่นกัน เธอไม่ได้ปฏิเสธและเดินเข้าไปใกล้กล่องสมบัติ

 

มีขอบหินอยู่ไม่ไกล ความสูงของมันประมาณเอวของคน มันสามารถใช้วางกล่องได้อย่างพอดี

 

มันเป็นกล่องที่ดูโบราณ มันเก่าแก่มาก แต่มันไม่สามารถซ่อนความสง่างามเอาไว้ได้

 

การเปิดกล่องใช้ขั้นตอนไม่มาก ข้างในเป็นม้วนกระดาษและหนังสือ อาจเป็นคล็ดวิชาการต่อสู้ หนังสือฝังทองคำไว้ที่ขอบ มันดูฟุ่มเฟือยเกินเหตุ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยตกใจเมื่อเห็นม้วนกระดาษ

 

ภาพหญิงโฉมงาม!

 

ภาพหญิงโฉมงามอีกอันหนึ่งและนี่เป็นภาพที่สิบเอ็ดแล้ว เขาไม่ได้พบเจอมันมานาน ชิงสุ่ยปิติยินดี เขาสงสัยว่าเขาจะรู้ว่าเป็นใครที่อยู่ในภาพ

 

ชิงสุ่ยคลี่ม้วนกระดาษออกอย่างช้าๆ

 

เขาเห็นหญิงผู้ผอมและสูงในชุดหงส์เพลิงทองคำ จากบนลงล่าง มีหงส์เพลิงทองคำสองตัวที่สดใสและดูมีชีวิต ผมของเธอมัดเกล้าสูงและดูเข้ากับคออันเรียวขาวที่ทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น

 

ชุดของเธอค่อนข้างหลวมและไม่ได้ปกปิดส่วนเว้าโค้งที่มีเสน่ห์มากนัก ชิงสุ่ยหลงเสน่ห์ไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

 

มู่ชิง!

 

เธอเป็นมู่ชิง ชิงสุ่ยมีความสุขและภาคภูมิภายในหัวใจ เธอเป็นผู้หญิงของเขาและแน่นอนว่าเป็นภรรยาของเขา

 

แม้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้คิดว่าเธอเป็นนางฟ้าเช่นเดียวกับประมุขอสูร แต่ความสง่างามจากภายในของเธอก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายกัน

 

ในขณะเดียวกันเมื่อชิงสุ่ยกำลังภาพเขียน ประมุขอสูรก็มองเช่นกัน แต่เธอไม่ได้พูดอะไร

 

“ภาพนี้ ข้าเก็บมันไว้เองได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามประมุขอสูร

 

“กล่องสมบัตินี้มันเป็นของเจ้า” ประมุขอสูรกล่าวตามตรง

 

“ข้าจะให้ภาพเขียนบางอย่างกับเจ้า เจ้าต้องการหรือไม่?” ชิงสุ่ยคิดเล็กน้อยและถาม

 

“ข้าไม่ต้องการมัน!” ประมุขอสูรกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

“จะเป็นอย่างไรหากมันเป็นภาพเขียนของเจ้า?” ชิงสุ่ยนำภาพเขียนออกมาและส่งไปให้ประมุขอสูรโดยตรง

 

สำหรับความสามารถในการเขียนภาพของชิงสุ่ย ด้วยขั้นจิตวิญญาณมันไม่สามารถแยกออกได้เลยระหว่างฝีมือของเขากับภาพหญิงโฉมงาม

 

นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยได้วาดเมื่อเร็วๆนี้ ภาพเขียนแต่ละชิ้นมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน

 

ประมุขอสูรไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้แต่ยืนมือออกไปและรับมัน เธอไม่เคยเห็นภาพเขียนของตัวเอง แม้กระทั่งผู้ที่เคยเห็นเธอก็ไม่สามารถวาดมันออกมาได้ นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเธอเป็นเช่นไร เธอมักจะสวมผ้าคลุมหน้าหรือหมวกไม้ไผ่

 

เธอไม่ค่อยใช้กระจก เมื่อเห็นภาพเขียนของตัวเองอย่างกะทันหันมันเหมือนกับการพบคนแปลกหน้า เธอไม่ได้เห็นใบหน้าของตัวเองมาเป็นเวลานานแล้ว เธองดงามอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด

 

เธอมองไปทีละส่วน เธอรู้ว่าสิ่งเหล่านี้วาดโดยชิงสุ่ย ความเชี่ยวชาญด้านการเขียนภาพของเขาสูงมาก เธอสามารถบอกได้ในทันที

 

เมื่อประมุขอสูรมองดูจนเสร็จ เธอเงยหน้าขึ้นและเพียงแค่มองชิงสุ่ย เขาไม่สามารถอ่านความคิดของเธอออก

 

น่าปลาบปลื้ม?

 

ไม่มีอะไร

 

อารมณ์ไหน?

 

ไม่ชอบ

 

……

 

“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้วาดภาพข้าอีกต่อไป ข้าจะยึดมันเอาไว้” ประมุขอสูรกล่าวและเก็บภาพไป

 

ชิงสุ่ยมองไปที่เธออย่างตกตะลึง เขาคิดถึงปฏิกิริยาตอบกลับของเธอที่แตกต่างกันถึง 800 แบบ แต่แบบนี้ไม่ได้อยู่ในการคำนวณของเขา

 

ชิงสุ่ยหมดคำพูดเมื่อมองดูหนังสือเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่ฝังทองคำไว้ที่ขอบ คำที่ถูกเขียนอยู่บนปกของหนังสือเขียนไว้ว่า ‘โจมตีถึงตาย’ ชิงสุ่ยหยิบมันขึ้นมาและเปิดดู หนังสือมีเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ

 

โจมตีถึงตายเป็นการเสริมพลังโจมตี มันสามาถเพิ่มพลังโจมตีให้กับเคล็ดวิชาการต่อสู้ได้ เช่นเดียวกับทักษะสังหารไร้ปรานี มันสามารถใช้ได้เพียงวันละครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นไม่สำคัญว่าเป็นการโจมตีทางกายภาพหรือจิตวิญญาณ มันจะยังคงเสริมพลังให้ การเพิ่มพลังขึ้นอยู่กับระดับของการฝึกฝน

 

ในหนังสือบอกว่าการฝึกฝนจนไปถึงระดับที่สูงขึ้นไม่ได้เพียงแค่ช่วยเพิ่มการโจมตี อย่างไรก็ตามระดับที่สูงขึ้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝน

 

ชิงสุ่ยมองไปมันครั้งเดียวและส่งให้ประมุขอสูร “นี่สำหรับเจ้า”

 

“ไม่จำเป็น ข้าได้จดจำมันไว้หมดแล้ว” ประมุขอสูรส่ายหัว

 

“แม้ว่าเจ้าจะจดจำมันได้ ข้าก็จะมอบมันให้เจ้า ข้าจะเอาของชิ้นอื่น ดังนั้นถือว่านี่เป็นของที่ระลึก” ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่ลังเลและส่งมันให้กับประมุขอสูร

 

ประมุขอสูรมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งทำตัวออกนอกหน้า อย่างไรก็ตามเธอพบว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเขา ไม่มีใครเคยทำแบบนี้ต่อหน้าเธอ

 

เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงด้านดีๆให้เธอเห็น

 

ประมุขอสูรยืนมือกลับมาพร้อมหนังสือโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอคิดอย่างไร มันอาจจะไม่ใช่ความสุขหรือผิดหวัง แต่มันก็ก้าวหน้าขึ้น

 

อันที่จริงแล้วชิงสุ่ยไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะภาพเขียน มีโอกาสสูงที่เธอจะทุบตีเขา โชคดีที่เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทุบตีเขาเพราะภาพเขียนนั้น

 

ประมุขอสูรถอนหายใจอยู่ข้างใน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องถอนหายใจ

 

“พวกเราควรจะไปตรงนั้นและตรวจสอบสิ่งต่างๆ ข้าคิดว่าชายชราทั้งสามคงไม่สามารถเข้ามาได้อีกสักพัก ลองดูกันเถอะว่าพวกเราจะได้กล่องสมบัติกันเท่าไหร่” ชิงสุ่ยเก็บกล่องสมบัติไว้ในดินแดนหยกยุพราชอมตะและกล่าว

 

สถานที่แห่งนี้คล้ายกับห้องก่อนหน้า ขิงสุ่ยลองใช้เครื่องมือบางอย่างเพื่อนำกล่องสมบัติมา

 

หลังจากเขาก็หยิบเชือกตรึงอสูรออกมาและโยนมันไป อย่างไรก็ตามเมื่อเชือกตรึงอสูรคล้องลงบนกล่องสมบัติ มันก็ถูกตีกลับไปทันที…

 

ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ชิงสุ่ยคาดคิด แม้ว่าเขาจะรู้สึกหดหู่ เขาก็ยังหยิบกล่องสมบัติที่ว่างเปล่าอันก่อนหน้าออกมาและศึกษามันสักครู่ ก่อนที่เขาจะรู้ว่ามันใช้โลหะชนิดพิเศษในการทำกล่อง มันสามารถต้านทานพลังที่ผิดธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบที่ใช้ก็แข็งแรงมาก มันเป็นวัถตุดิบที่ยอดเยี่ยม

 

บางทีพวกเขาคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มันค่อนข้างเสี่ยง เขาไม่สามารถหาทางออกที่ดีกว่าได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกอสูรอัสนีคลั่งออกมา เขาต้องการดูว่าอสูรอัสนีคลั่งมีผลต่ออสูรศิลาหรือไม่

 

หลังจากการทดลอง ชิงสุ่ยทำได้เพียงเรียกอสูรอัสนีคลั่งกลับไปเท่านั้น อสูรศิลามีภูมิต้านทานต่อสายฟ้า