บทที่ 271 คนที่รู้ความจริง คำเชิญจากเซี่ยกุ้ยเฟย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

จักรพรรดิเชื่อคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินไปแล้วแปดส่วน ไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นทำให้เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นเพราะฝ่าบาทมั่นใจ มั่นใจอย่างมากว่าถ้าหากเฟิ่งชิงเฉินโกหก เขาจะต้องมองออกอย่างแน่นอน

ยังขาดอีกสองส่วน นั้นเป็นเพราะว่าในใจของเขาปรารถนาระเบิดเทียนเหล่ยอย่างยิ่ง ปรารถนาจนกระทั่งไม่สามารถละทิ้งความเป็นไปได้ใดๆ ฝ่าบาทได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ ไม่รู้ว่าเจ้ารู้ว่าจะปลอบขวัญประชาชนได้อย่างไร หรือรักษาคนเจ็บป่วยได้อย่างไร ความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิของเฟิ่งชิงเฉินคือโทษประหาร”

มีทั้งเสียงดังวุ่นวายและความตกใจ เฟิ่งชิงเฉินที่ตกอยู่ในกำมือของจักรพรรดิ ไม่สามารถขัดขืนได้

ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากจักรพรรดิต้องการชีวิตของเฟิ่งชิงเฉิน เป็นเรื่องที่พูดออกมาเพียงประโยคเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีโทษฐานมากำหนด

จักรพรรดิฝ่าฝืนกฎก็มีโทษเช่นเดียวกับประชาชน คำพูดนี้นำมาใช้เพื่อหลอกผู้คนเท่านั้น กฎหมายและสถาบันคือผู้มีอำนาจซึ่งใช้ในการยับยั้งและจัดการกับประชาชน ถ้าหากเชื่อคำพูดนี้จริงๆ นั้นคงแปลว่าสมองเลอะเลือนไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินกระตุกและรู้สึกเสียใจอย่างมาก “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ อาวุธฆ่าคนแบบนี้ หม่อมฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง จะสามารถรู้ได้อย่างไร ถ้าหากว่าหม่อมฉันรู้ละก็ คงจะรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาทตั้งนานแล้ว ข้าจะกล้าหลอกท่านได้อย่างไร

ที่หม่อมฉันก้าวออกมาในวันนี้ เป็นเพราะว่าหม่อมฉันเป็นหมอ เป็นธิดาของขุนนางผู้ภักดีและได้รับการแต่งตั้งโดยฝ่าบาท ตอบแทนบุญคุณนั้นรับใช้ฝ่าบาทอย่างซื่อสัตย์ หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทคงจะไม่ทน เห็นประชาชนของตงหลิงเสียชีวิตอย่างน่าสลดเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงก้าวออกมาและพยายามอย่างสุดความสามารถอันน้อยนิดเพื่อแบ่งเบาความทุกข์และความกังวลของฝ่าบาท”

นางยกชื่อเสียงให้กับองค์รัชทายาทและหวังจิ่นหลิง และยกคุณงามความดีทั้งหมดให้กับองค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิควรจะพอใจสิ ถึงอย่างไรนางก็ไม่รู้ จักรพรรดิคงไม่ประหารนางเพราะเรื่องเล็กๆแบบนี้หรอกนะ

นางเพิ่งจะช่วงชิงเกียรติยศมาให้ตงหลิง หากจักรพรรดิต้องการฆ่านาง ก็ควรรอจนกว่าเรื่องของซีหลิงเหยาหวากับซูหว่านจะแน่นอนลงเสียก่อน และจนกว่าวันเกิดของเขาเองจะผ่านไป

มีเพียงช่วงเวลานี้ที่นางจะสามารถคิดหาวิธีการให้ดี ถ้าหากไม่ได้จริงๆ นางคงต้องไปหาอวี่เหวินหยวนฮั่วเพื่อขอความช่วยเหลือ

จักรพรรดิไม่พูดอะไร แต่สีหน้าที่ซีดลงอีกครั้ง ทุกคนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจของจักรพรรดิกำลังคิดอะไรอยู่ แต่องค์รัชทายาทเข้าใจดีว่า องค์จักรพรรดิยอมปล่อยเรื่องนี้แล้ว

องค์รัชทายาทค่อยๆดึงเสื้อที่เปียกของเขาและก้าวออกมาด้านหน้า “ท่านพ่อ สิ่งของระเบิดเช่นนี้ต่อให้เป็นคนของฝ่ายแรงงานก็ไม่มีทางรู้ คุณหนูเฟิ่งเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของสิ่งนี้คืออะไร เรื่องในวันนี้เป็นเพราะความไม่รอบคอบของตัวลูกเอง เพียงคิดว่าคุณหนูเฟิ่งจะมีความสามารถในการรักษา ไม่ได้คิดว่านางไม่เหมาะที่จะมาปรากฏตัวที่นี่ หากว่าท่านพ่อจะลงโทษ ได้โปรดลงโทษข้าเถอะ”

เมื่อได้เห็นองค์รัชทายาทพูดออกมา นิ้วมือของตงหลิงจิ่วก็ขยับเล็กน้อย ขุนนางคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างก็ก้าวออกมาอย่างว่องไว “ฝ่าบาท จากที่ได้ฟังองค์รัชทายาทพูด เสริมกับที่ข้าน้อยได้ยินมาที่ประตูเมือง ข้าน้อยคิดว่าการกระทำของคุณหนูเฟิ่ง คล้ายคลึงมากกับหมอที่ตามติดไปกับกองทัพในสนามรบ

ข้าน้อยเดาว่าคงเป็นเพราะเมื่อตอนเด็กๆคุณหนูเฟิ่งคงได้ยินเรื่องที่ขุนนางผู้ภักดีเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องหมอในค่ายทหาร ข้าน้อยจำได้ว่าศิษย์คนโตของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางผู้ภักดี เมื่อก่อนก็ได้เข้าออกจวนของขุนนางผู้ภักดีอยู่บ่อยๆ”

เมื่อมีคนเกริ่นออกมา ก็มีคนออกมาเห็นด้วยมากมาย มีขุนนางและข้าราชการจำนวนไม่น้อยในที่นี้ วันนี้ได้ไปที่ประตูเมือง การที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ถือว่าสามารถรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว แต่ในยามอันตรายเฟิ่งชิงเฉินสามารถช่วยหวังจิ่นหลิงเอาไว้โดยที่ไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองเลย การกระทำเช่นนี้ไม่ว่ามากหรือน้อยก็สร้างความประทับใจให้กับผู้คน

ในโลกนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงที่มีความชอบธรรม ถ้าหากผู้หญิงแบบนี้ตายก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม

เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา นางรู้ว่าวันนี้นางสามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ศิษย์อาวุโสของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีที่ขุนนางคนเมื่อครู่ได้พูดถึง นางนั้นรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า ในสมองไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย

ตระกูลของนางมีความสัมพันธ์กับหุบเขาซวนยี? นางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมาที่เยี่ยมเยือน นางสงสัยว่าอีกฝ่ายนอกจากมาเพื่อดูการฟื้นตัวของดวงตาหวังจิ่นหลิงแล้ว นอกจากนั้นเหมือนจะมาเพื่อสนับสนุนนางมากกว่า

นางจำได้ว่า ในตอนที่หมอหลายคนเริ่มก่อความวุ่นวาย เป็นเพราะปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีปรากฏตัวขึ้น พวกหมอเหล่านั้นถึงสงบลงได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่า……

หรือการที่พวกคนเหล่านี้ไม่แปลกใจในเรื่องที่นางมีทักษะทางการแพทย์ เป็นเพราะว่าตระกูลของนางกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้

นางประเมินสถานะของตนเองต่ำเกินไป พ่อของนางผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเริ่มต้นมาจากพื้นหญ้า และแม่ของนางที่มาจากประชาชนชั้นต่ำ ถึงแม้ว่าที่มาของพวกเขาจะไม่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ไม่เช่นนั้นจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคนอย่างศิษย์อาวุโสของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้อย่างไร

เฟิ่งชิงเฉินแอบปฏิเสธเจ้าของร่างเดิมนี้อยู่ในใจ เรื่องสำคัญขนาดนี้นางจำไม่ได้ได้อย่างไร ช่างเสียแรงที่เกิดมาจริงๆ

องค์จักรพรรดิที่ทั้งกดดันและเมตตา ก็ไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมา เขาแน่ใจมานานแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ต้องรู้ก่อนว่า สายตาที่องค์จักรพรรดิแสดงออกมาในวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนแอ เพราะนั่นเป็นสายตาของราชาปีศาจที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา

หลายวันก่อนหน้านี้ เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะสร้างคุณงามความชอบที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง องค์จักรพรรดิจะไม่ฆ่านางอย่างแน่นอน องค์จักรพรรดิกำลังคิดหาทางจบเรื่องนี้อยู่พอดี จึงไม่ได้ขัดขวางการพูดโน้มน้าวขององค์รัชทายาทและเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย

เมื่อเห็นว่าใกล้จบเรื่องแล้ว จักรพรรดิเตรียมตัวจะเอ่ยปากพูด ก็มีขันทีจากด้านนอกเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน หลังจากถวายความเคารพแล้วก็กล่าวขึ้นมา “กราบทูลฝ่าบาท เจิ้นกั๋วกงต้องการเข้าเฝ้า เขาแจ้งว่ามีบุคคลคนหนึ่งที่รู้ความจริงว่าอาวุธที่ทำร้ายผู้คนที่ประตูเมืองวันนี้คืออะไร”

“จริงหรือ?” ไม่มีอะไรที่ได้มาจากปากของเฟิ่งชิงเฉิน และจักรพรรดิไม่ได้มีความหวังจะได้รู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากมืดแปดด้าน เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรอย่างมีความสุข “ไป ไปแจ้งเจิ้นกั๋วกงให้มาเข้าเฝ้า”

หรือว่าจะเป็นคนที่ได้ข้ามเวลามาเหมือนกัน? จะเป็นฆาตกรที่ก่อเหตุระเบิดในวันนี้?

ถ้าหากไม่ใช่แล้วล่ะก็ จะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?

หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินเต้นผิดจังหวะ หวังอย่างยิ่งว่าจักรพรรดิจะยอมให้นางอยู่ต่อ และนางที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงกลางช่างเป็นที่สะดุดตามากเหลือเกิน เมื่อจักรพรรดิเห็นว่านางไม่มีประโยชน์แล้ว ก็โบกมือและกล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ถอยไป” หรือก็คือ ไม่มีโอกาสให้นางได้เห็นแล้ว

ในใจของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความเกลียดชัง! แต่ชีวิตขององค์จักรพรรดิก็ไม่อาจละเมิดได้ ดังนั้นนางจึงถอยออกมาอย่างเงียบๆ ทำได้แค่เพียงปลอบใจตนเองอยู่ข้างใน ในเมื่อบุคคลนั้นได้ปรากฏตัวแล้ว ในอนาคตก็ต้องมีโอกาสได้พบกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในตอนนี้

เรื่องนี่ช่างบังเอิญจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงอู่อัน คุณหนูสิบแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง?

แต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่จวนเจิ้นกั๋วกงพามาด้วยนั้นจะเป็นคนที่ข้ามเวลามาเหมือนกันหรือไม่? ถ้าหากว่าใช่ เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถมั่นใจได้ว่า เขาจะต้องเป็นคนที่สร้างระเบิดเทียนเหล่ยขึ้นมาแน่ๆ สิ่งที่แม้แต่เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงเองก็ไม่รู้จัก เป็นไปได้ที่ในแผ่นดินจิ่วโจวนี้จะมีคนรู้จักมัน

ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินออกมาจากตำหนักไท่เหอ เจิ้นกั๋วกงและคนที่รู้ความจริงยังไม่มา นางเองก็ไม่มีวิธีที่จะได้พบกันกับอีกฝ่าย และที่นี่ก็เป็นพระราชวัง นางไม่สามารถเดินไปทั่วได้ ทำได้เพียงเดินตามขันทีออกไปอย่างเชื่อฟัง

เดินไปได้ไม่นาน นางก็นางกำนัลหยุดไว้ “คุณหนูเฟิ่ง พวกเราคือคนของวิหารจาวเยี่ยน เซี่ยกุ้ยเฟยมีคำเชิญถึงเจ้า”

นางกำนัลในวังทำตัวราวกับว่าอยู่สูงกว่าผู้อื่น ทั้งสองไม่ใช้สายตามอง และยกคางขึ้นสูง เย่อหยิ่งราวกับสุนัขที่กัดชนะมา ซึ่งก็เป็นเหมือนกับนางกำนัลข้างกายของฮองเฮาที่ต้องการจะฆ่านาง

เมื่อขันทีที่นำทางให้นางได้ยินดังนั้น ก็ทิ้งเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร เขากล่าวลาคำหนึ่งแล้วก็จากไป เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่านี่หมายความว่านางจะต้องไป