ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 212 หมื่นวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ (ตอนกลาง)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เหยียบรั้วไผ่หักๆ เพียงลำพังมองดูตะวันที่อยู่ไกลๆ ทุกข์สุขอยู่หนึ่งใบหน้า เดินเร็วรอบกระท่อมพังๆ เพียงลำพัง ปากบ่นพึมพำเหมือนออกคำสั่ง ทั้งร่างกายเหมือนคนไร้ปัญญา ภาพนี้มองดูแล้วแปลกประหลาดเล็กน้อย ใครเลยริอ่านคาดคิด ชายหนุ่มสองคนนี้ล้วนเป็นศิษย์แห่งพรรคกระบี่หลีซานที่ชื่อเสียงดังสนั่น เป็นคนในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ

ตอนแรกเฉินฉางเซิงก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นในทันทีก็นึกขึ้นได้ว่าเหลียงปั้นหูและชีเจียนอาจเป็นเพราะหลังดูแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ มีความสำนึกบรรลุ บัดนี้กำลังซึมซาบ จึงไม่ได้ไปรบกวน

แสงสีสนธยายิ่งมายิ่งเข้มข้น คนที่กลับมาถึงกระท่อมยิ่งมายิ่งมาก สีหน้าของโก่วหานสือสงบเหมือนปกติ ดูแล้วการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับสภาพจิตใจของเขาเลย กวนเฟยไป๋ที่ถูกเขาบังคับพากลับมานั้น ยิ่งอาการหนักกว่าเหลียงปั้นหูและชีเจียน เหมือนเมามายเมรัย ตะโกนอย่างต่อเนื่องว่า “ข้ายังสามารถทนได้อีกนิด! ข้ายังสามารถทนได้อีกนิดหนึ่ง!”

เฉินฉางเซิงถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร เพียงแต่สูญเสียสติปัญญาไปมากหน่อย ความสั่นสะเทือนของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ต่อความทรงจำมากเกินไป”

โก่วหานสือขอโทษแทนศิษย์น้องชายที่แสดงท่าทีไม่เหมาะสม ปลายนิ้วสะกิดเบาๆ ให้กวนเฟยไป๋ไปนอน จากนั้นโยนเขาเข้าไปในห้อง

ถังซานสือลิ่วกลับมาแล้ว สีหน้าเหน็ดเหนื่อยทั้งใบหน้า พูดอะไรก็ยากจะพูด โบกมือไปมากับ เฉินฉางเซิง ก็เข้าห้องในไปนอน คนสุดท้ายที่กลับมาคือเจ๋อซิ่ว เวลานั้นสีท้องฟ้าดำมืดไปทั่วแล้ว ดวงดาวมากมายดารดาษบนท้องฟ้า ส่องจนหน้าเขาเป็นสีขาวผิดปกติ ชัดเจนมากว่าสูญเสียสติปัญญามากเกินไปเช่นกัน

ตะวันลับหาย เหลียงปั้นหูตื่นขึ้นมา ชีเจียนก็เดินจนเมื่อยแล้ว เช็ดเหงื่อแล้วเดินกลับไปที่ลานสวน รู้สึกเขินอายนิดๆ แก้มใบเล็กแดงซ่าน

เฉินฉางเซิงไปเตรียมอาหารมื้อเย็นที่ห้องครัว โก่วหานสือพาชีเจียนมาเป็นผู้ช่วย ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมของไอหุงข้าว และกลิ่นหอมอย่างอื่นเริ่มอบอวลในห้อง ชีเจียนไปตะโกนเรียกกวนเฟยไป๋และถังซานสือลิ่วมากินข้าว โก่วหานสือและเหลียงปั้นหูเงียบขรึมไร้คำพูดกับเนื้อรมควันสองจานบนโต๊ะ

“ทำไมหรือ?” เฉินฉางเซิงถาม

เนื้อรมควันที่ต้มสุกถูกเขาตัดแบ่งเป็นสองจาน จานหนึ่งใช้น้ำมันผัดต้นหอม อีกจานเป็นการอบน้ำตาล

โก่วหานสือพูดว่า “ข้า…ไม่เคยเห็น เนื้อรมควันก็สามารถใส่น้ำตาลได้”

บนใบหน้าของเหลียงปั้นหูแสดงความกลัวยากลำบากออกมา พูดว่า “จะอร่อยหรือ?”

“อายุก่อนสิบปีข้าเคยกินสองครั้ง รสชาติดีมาก” เฉินฉางเซิงเอาตะเกียบส่งให้โก่วหานสือ

โก่วหานสือคีบเนื้อรมควันอบน้ำตาลชิ้นหนึ่ง ขมวดคิ้ววางเข้าในปาก เคี้ยว คิ้วคลายออกมา

เห็นสีหน้าของศิษย์พี่ เหลียงปั้นหูจะไม่เข้าใจได้อย่างไร คีบเนื้อรมควันอบน้ำตาลสองสามแผ่นอย่างมีความสุขวางไว้ในชามข้าวของตัวเอง จากนั้นนั่งยองๆ อยู่นอกประตูธรณีเริ่มกินอย่างซูดซาดๆ

หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ ชีเจียนไปล้างชาม กวนเฟยไป๋นั่งอยู่ข้างโต๊ะ สีหน้ายังคงหม่นหมอง ไม่พอใจอย่างยิ่งที่โก่วหานสือพาตนเองกลับมาจากหน้าสุสานเทียนซู

“ไม่มีความสุข?” โก่วหานสือถามอย่างสงบ

กวนเฟยไป๋เกรงกลัวในบัดดล รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพ กล่าวว่า “ศิษย์น้องมิกล้า”

โก่วหานสือส่ายหัวกล่าว “เจ้ายังคงไม่อาจตัดใจจากแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า”

กวนเฟยไป๋พูดด้วยความจำใจเล็กน้อยว่า “พวกที่ระดับขั้นการบำเพ็ญห่างจากข้ามาก ยังพยายามอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ จริงๆ แล้ว ข้าสามารถยังดูต่อได้อีกหน่อย”

โก่วหานสือกล่าวว่า “แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เป็นสิ่งของอะไร? อ่านแผ่นป้ายแก้แผ่นป้ายจะสำเร็จในวันเดียวได้อย่างไร? จะแย่งเวลาเช้าเย็นเพื่ออะไร?”

กวนเฟยไป๋พูดด้วยความทุกข์ระทมขมขื่นเล็กน้อยว่า “สวนโจวจะเปิดในอีกหนึ่งเดือน เวลาเร่งรัดเกินไป…หวังผ้อตอนนั้นใช้เวลาหนึ่งปีแกะออกแค่สามสิบเอ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์ ระดับขั้นการบำเพ็ญของข้าห่างไกลเทียบไม่ได้กับเขาในตอนนั้น มีเพียงเวลาหนึ่งเดือน ข้าสามารถแกะได้กี่แผ่นป้ายอนุสรณ์? ศิษย์พี่ ข้าเหลือเพียงช่วงชิงด้วยเวลา”

“แม้สวนโจวจะดี จะเทียบกับเศษเสี้ยวของสุสานเทียนซูได้อย่างไร? ก่อนออกเดินทางท่านเจ้าสำนักได้กำชับไว้ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไร สิ่งที่พวกเราต้องทำก่อน คือชมแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เหล่านั้นในสุสานเทียนซูให้เข้าใจ…แน่นอนท่านเจ้าสำนักรู้ว่าศิษย์พี่เปิดสวนโจว ฉะนั้นสิ่งที่พูดน่าจะเป็นจุดนี้ การบำเพ็ญล้วนอยู่ที่ตน เลือกเองเถอะ”

โก่วหานสือมองไปยังชีเจียนที่กำลังล้างจานและเหลียงปั้นหู มองประตูห้องในที่ปิดสนิทอีกครั้ง กล่าวว่า “พวกเจ้าล้วนต้องขบคิดให้รอบคอบ”

……

……

“เจ้าก็ได้ยินเช่นกัน ขนาดท่านเจ้าสำนักของพรรคกระบี่หลีซานยังคิดเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงมองดูเจ๋อซิ่วที่หน้าซีดส่ายหัวไปมา เขาหยิบเข็มเรียวจากในตลับเข็มออกมา นิ้วมือกดตำแหน่งสะบักของเขาเบาๆ นำเข็มคมกริบจิ้มเข้าไปช้าๆ ทว่าคงที่แน่นอน แป้นนิ้วถูเบาๆ การนวดดูเหมือนตามใจมากกลับมีจังหวะชนิดหนึ่ง กล่าวต่อว่า “นี่เพิ่งจะแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรก รีบไปไย?”

เจ๋อซิ่วพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ก็เป็นเพราะว่านี่เพิ่งจะแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรก จึงรีบ”

เฉินฉางเซิงส่งปราณแท้ผ่านเข็มทองแดงเข้าไปยังร่างกายของเขา สังเกตสภาพเส้นลมปราณของเขาอย่างละเอียด พูดว่า “นี่เป็นเหตุผลอะไร?”

เจ๋อซิ่วมองนอกหน้าต่าง กล่าวว่า “หน้าสุสานเทียนซูมีแผ่นป้ายอนุสรณ์ชิ้นหนึ่ง ด้านบนเดิมมีชื่อจำนวนมากเขียนไว้ ตอนหลังถูกตัดทิ้ง”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาพูดถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์นั้น แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนั้นเคยมีประกาศรายชื่อที่คล้ายประกาศชิงอวิ๋น เรียงตามความเร็วในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ร้อยกว่าปีก่อน หลังจาก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์บูชาถนนเสินแทนฝ่าบาท เห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้ คิดว่าการชมแผ่นป้ายเป็นการแอบพิศกฎธรรมชาติ ประกาศรายชื่อเช่นนี้เป็นการไม่เคารพต่อกฎธรรมชาติ จึงสั่งคนให้ทำลายทิ้ง

“แม้รายชื่อบนแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนั้นจะหายไป แต่ใครก็ไม่ลืมชื่อเหล่านั้นทั้งนั้น”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “มียี่สิบสามคน ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าได้ โจวตู๋ฟูในปีนั้น มองผิวหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์เพียงปราดเดียว ก็ไปแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สอง”

นึกถึงผู้คนมหัศจรรย์เหล่านั้นที่มีพรสวรรค์ในการบรรลุยิ่งใหญ่มากจนถึงระดับที่ยากจะเข้าใจ เฉินฉางเซิงทำได้เพียงแค่เงียบขรึม

ถังซานสือลิ่วเอาแผ่นหนังม้วนอยู่ในอก นอนตะแคงอยู่บนเตียง มองดูเฉินฉางเซิงทำการรักษาให้เจ๋อซิ่ว ได้ยินคำพูดนี้ อดรู้สึกโมโหเล็กน้อยไม่ได้ “วันแรกเจ้าไม่สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้สำเร็จ จึงรู้สึกอับอายมาก? แล้วพวกข้าที่ดูไปแล้วสองวันนับเป็นอะไร?”

เจ๋อซิ่วไม่สามารถกลับหัวได้ มองดูนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ พูดว่า “ปัญญาอ่อน?”

ถังซานสือลิ่วโมโหมาก กล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เห็นว่าเจ้าเป็นคนป่วย ข้าจะจัดการเจ้าให้ตาย”

เจ๋อซิ่วพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ถ้าไม่ใช่ว่าต้องการเฉินฉางเซิงรักษาให้ข้า ตอนแข่งการสอบใหญ่ข้าก็จัดการเจ้าให้ตายไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงดึงเข็มทองแดงออกจากบริเวณคอของเขา กล่าวว่า “ชั้นเส้นลมปราณตู*หลักของสมองที่เชื่อมกับเจ้ามีปัญหานิดหน่อย ฉะนั้นเมื่อคลื่นความทรงจำเคลื่อนไหวจนล้น จะทำให้เกิดกระแสคลื่นโลหิตในกายจู่โจมกะทันหัน แต่ก่อนพึ่งพลังแห่งความแน่วแน่ฝืนทนไว้ทั้งหมด แต่ถ้าสภาพจิตใจสูญเสียมากเกินไป และหากเกิดกดทับเอาไว้ไม่ได้ ปัญหาในเส้นลมปราณมีโอกาสมากที่จะกำเริบกะทันหัน ถึงเวลานั้นใครจะช่วยชีวิตเจ้าได้?”

เจ๋อซิ่วเข้าใจว่าเขาเตือนให้ตัวเองอย่าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์นานเกินไปเช่นวันนี้ มุ่งมั่นมากเกินไป แต่ไม่ได้ผลตอบแทน

เฉินฉางเซิง กล่าวว่า “เจ้าเคยพูด เทียบกับการแข็งแกร่งขึ้น มีชีวิตอยู่อย่างกระจ่างถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

เจ๋อซิ่วหลังเงียบขรึมสักพักก็พูดว่า “ใช่ แต่ในพื้นที่ที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ ถ้าไม่เข้มแข็งพอ ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานมาก”

เหมือนที่โก่วหานสือพูดเช่นนั้น การบำเพ็ญล้วนอยู่ที่ส่วนตัว เรื่องเช่นนี้เฉินฉางเซิงก็ไม่สามารถโน้มน้าวอย่างรุนแรงได้เช่นกัน เขามองไปที่ถังซานสือลิ่วถามว่า “วันนี้เจ้าแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ถังซานสือลิ่วพูดอย่างตามใจว่า “เอาเส้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์และของเส้นลมปราณของตัวเองปรับให้ตรงกัน จากนั้นขยับปราณแท้…ตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าล้วนแกะเช่นนี้ ยังมีวิธีอย่างอื่นอีกหรือ?”

กวนเฟยไป๋กล่าววาจาน้ำเสียงที่มีความหมายเยาะเย้ยเสียดสี “นั่นมันกี่พันปีแล้ว คนทางเหนืออย่างพวกเจ้ายังคงรู้เพียงแค่ใช้วิธีที่โง่เง่าเช่นนี้ มิน่าคนที่มีความสามารถยิ่งมายิ่งน้อย อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เป็นไปได้อย่างไรที่จะใช้เส้นทางของปราณแท้ในการขับเคลื่อน นั่นเป็นวิธีการสัมผัสความรู้สึกของจิตวิญญาณ เข้าใจไหม?”

*เส้นลมปราณตูเป็นเส้นลมปราณที่อยู่กึ่งกลางลำตัวด้านหลัง