ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 213 หมื่นวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ไม่ใช่ไขปริศนาบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ เพราะว่าลายเส้นหรือรูปภาพสลับซับซ้อนเหล่านั้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นข้อมูลบางอย่าง แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ก็คือต้องเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ดังนั้น ในเมื่อแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ไม่ใช่ข้อปริศนา ฉะนั้นก็แน่นอนอย่างยิ่งว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคำตอบเป็นมาตรฐานแน่นอน

เหมือนกับการส่องสว่างของดวงดาวร้อยสาย แสงดวงดาวที่เหมือนกันตกลงบนแม่น้ำที่ต่างกัน บังเกิดความงามคนละแบบ…อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะเข้าใจว่าอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้การบำเพ็ญ ระดับขั้นการบำเพ็ญรวมถึงประสบการณ์ชีวิต อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เหมือนกันได้รับการเข้าใจที่ต่างก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ฉะนั้นการเข้าใจแบบไหนถึงจะเป็นฉบับที่ถูกต้อง? ยังคงเป็นประโยคนั้นที่พูดไว้ก่อนหน้า ไม่มีคำตอบที่แน่นอน แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์พูดไม่ได้ ทำได้เพียงใช้วิธีที่ง่ายที่สุดและประหลาดที่สุดในการแยกแยะความแตกต่าง

แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ตกลงบนดินแดนต้าลู่นานเท่าไร เผ่ามนุษย์ก็ได้ทดลองในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นานเท่ากัน มีการพัฒนาวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์จำนวนมากหรือเรียกว่าแนวคิด ตอนนี้ยังมีแนวคิดจำนวนมากนับหลายสิบแบบที่ยังถูกใช้บ่อยหรือถูกพูดถึง มีสามวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในนั้นที่ถูกเทิดทูนสรรเสริญมากที่สุด สามารถเรียกได้ว่าเป็นแนวคิดหลัก

แนวคิดพระราชวังหลีนิกายหลวงที่มีการแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ค่อนไปทางรูปร่างที่แน่นอน คิดเห็นว่าต้องดำเนินการปราณแท้ตามรูปภาพ ส่วนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสำนักทางใต้ วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์จะค่อนไปทางดึงความหมายเชิงลึก คิดเห็นว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ไม่ควรเข้าใจแบบตายตัว กลับควรใช้จิตวิญญาณร่วมในการบรรลุไปพร้อมกัน แนวคิดหลักที่สามในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ดูผิวเผินเป็นการรวมจุดเด่นสองแนวคิดของนิกายหลวงสำนักทางเหนือใต้ ความจริงแล้วกลับคิดอย่างแน่วแน่ว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ล้วนน่าจะเป็นความหมายกระบี่ พลังกระบี่ รวมถึงท่ากระบี่อย่างเห็นได้ชัด แนวคิดนี้ถูกเรียกว่าแนวคิดเคล็ดวิชา

เข้าใจแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์อย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นิกายหลวงในปีนั้นที่แบ่งเป็นเหนือใต้สองฝ่าย ก็เป็นเพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกระทั่งปัจจุบัน ผู้บำเพ็ญของพรรคฝ่ายเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทางใต้ ยังคงพะวงอยู่ในใจเรื่องอำนาจแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ในมือของพระราชวังหลี ตามการให้น้ำหนักของวิธีในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ต่างกัน ผู้บำเพ็ญที่ต่างกันย่อมบรรลุสิ่งที่อยู่บนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ต่างกัน ที่พิลึกพิลั่นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของพระราชวังหลีหรือพรรคฝ่ายของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในความหมายบางอย่างนั้นล้วนถือว่าแก้ได้ผ่าน ผู้บำเพ็ญเข้ามาอยู่ในสุสานเทียนซู แน่นอนว่าได้รับความรู้ และผู้บำเพ็ญที่ได้รับความรู้ย้อนกลับมายืนยันอีกครั้งว่าวิธีที่ตัวเองใช้นั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องแน่นอน แนวคิดอื่นเพียงแค่บังเอิญ แม้ว่าจะสามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วจะยิ่งมายิ่งห่างจากมหามรรค

ถังซานสือลิ่วเป็นชาวโจว คิดเห็นว่าวิธีการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของพระราชวังหลีถึงจะเป็นวิธีดั้งเดิมที่เป็นที่ยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัย กวนเฟยไป๋เป็นศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซาน แน่นอนว่าคิดเห็นว่ามีเพียงจิตวิญญาณเท่านั้นที่เป็นวิธีเดียวในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ถูกต้อง ได้ยินน้ำเสียงประโยคนั้นของ ถังซานสือลิ่ว จะทนได้อย่างไร ก็หัวเราะเยาะเย้ยผ่านประตูที่กั้นอยู่ คนอารมณ์เช่นนั้นอย่างถังซานสือลิ่ว แม้เจ้าไม่มาแหย่ข้า ข้าก็จะถามสารทุกข์สุกดิบญาติของเจ้า และยิ่งโดนเยาะเย้ยเช่นนี้ สีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน ทุบโต๊ะปังแล้วลุกขึ้น ก็ผุดคำผรุสวาทเป็นชุดออกจากริมฝีปาก ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในกระท่อมคึกคักขึ้นมา การจู่โจมสองฝักฝ่ายไม่หยุดหย่อน

ผ่านไปสักพัก ในที่สุดถังซานสือลิ่วและกวนเฟยไป๋ก็เหนื่อย ในกระท่อมสงบลงบ้าง ถ้านับจากประตูเป็นเส้นแบ่ง นอกห้องในห้องเกิดเป็นฉากสองฉากที่เหมือนกันมาก…ด้านนอกกวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหูและชีเจียนมองไปยังศิษย์พี่โก่วหานสือ ด้านในถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วก็จ้องมองเฉินฉางเซิงเงียบขรึมไร้คำพูด

ตั้งแต่การชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการสอบใหญ่ สำนักฝึกหลวงและพรรคกระบี่หลีซานเป็นศัตรูมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นสัญญาหมั้นหมายของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง หรือว่าแข่งขันหลายสนามติดต่อกัน สองฝ่ายมีบุญคุณความแค้นจำนวนมาก เจ๋อซิ่วแม้จะเป็นคนที่มาทีหลัง แต่เขาเปิดทางให้เฉินฉางเซิงในการต่อสู้การสอบใหญ่ ลงมือรุนแรงเอาชนะชีเจียนและกวนเฟยไป๋ ในมุมมองของพรรคกระบี่หลีซานก็น่าโกรธแค้นเช่นกัน ภายใต้การควบคุมของโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง อารมณ์ที่เป็นจุดยืนตรงกันข้ามก็ไม่อาจควบคุมไม่อยู่ เมื่อคืนสองฝ่ายนอนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่นี่ไม่ได้แปลว่าบุญคุณความแค้นสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้สงครามโต้วาทีของกวนเฟยไป๋และถังซานสือลิ่วพัฒนาถึงจุดนี้ ยากที่จะไปโต้วาทะต่อ แน่นอนว่าต้องการคนที่ยืนออกมาตัดสินแพ้ชนะ

ผู้ที่ถูกให้ความคาดหวังไว้ แน่นอนว่ายังคงเป็นเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือที่อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ลมกลางคืนพัดผ่าน ประตูไม้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดค่อยๆ เปิดออก ศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานและสามคนของสำนักฝึกหลวงมองดูซึ่งกันและกัน สงบเหงาไปทั่ว

โก่วหานสือจู่ๆ มองเฉินฉางเซิงแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์วิธีไหนดีกว่ากัน?”

เขาไม่ได้ถามว่าแบบไหนถูก เพราะว่าเรื่องนี้ยากที่ชี้ถูกผิด

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก มิได้ตอบคำถามในทันที

ในคัมภีร์ลัทธิเต๋ามีการอธิบายถึงแนวคิดวิธีการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์หลายวิธี ส่วนแนวคิดหลักสามแนวคิดในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ยิ่งมีการบันทึกอธิบายไว้อย่างละเอียด ในเมื่อเขาอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างเข้าใจถี่ถ้วน แน่นอนว่ารู้ดีแก่ใจเกี่ยวกับวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้ตอนที่เขาอ่านแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าแผ่นนั้น กลับตั้งใจไม่ใช้สามวิธีนี้ แต่เป็นการเดินทางบนเส้นทางใหม่ที่แปลกแยกเล็กน้อย และแน่นอนว่านำมาซึ่งหนทางยากลำบาก

“ข้าคิดว่า…สามวิธีนี้ล้วนไม่ได้เป็นวิธีที่จะถูกต้องอย่างแน่นอน”

เฉินฉางเซิงตอบคำตอบที่ทุกคนล้วนคาดไม่ถึง และเขาใช้คำว่าถูกต้องด้วย แสดงว่าเขาคิดว่าเรื่องนี้มีถูกผิด

ได้ยินคำพูดของเขา ผู้คนในกระท่อมตกตะลึงอย่างยิ่ง รวมถึงถังซานสือลิ่ว

โก่วหานสือขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าคัมภีร์สวรรค์ไม่สามารถแก้จากการชมได้เหรอ?”

บนดินแดนต้าลู่มีการส่งต่อสืบทอดวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์มากมาย แต่ก็มีคนจำนวนมากรวมถึงนักบวชจำนวนหนึ่งของนิกายหลวงที่คิดว่าคัมภีร์สวรรค์ไม่สามารถแก้ได้ พฤติกรรมการทดลองอ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ล้วนเป็นสิ่งที่โง่เง่าน่าขัน แม้จะเป็นคนที่อุดมไปด้วยปัญญาอันล้นหลาม ก็ทำได้เพียงแค่เข้าใจว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นประสงค์จะนำข้อมูลบางอย่างมาให้เผ่ามนุษย์ได้เห็น ไม่สามารถเห็นภาพทั้งหมดของความหมายกฎธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ ข้าเพียงแต่คิดเห็นว่าแนวคิดการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้ที่เห็นได้ทั่วไปบนโลกในปัจจุบัน ล้วนห่างจากความหมายดั้งเดิมของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่ว่าจะเป็นการคงรูปภาพ ดึงความหมาย หรือเลียนแบบเคล็ดวิชา สำหรับการแก้อ่านอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ เป้าหมายล้วนเอาไปใช้กับการบำเพ็ญ แต่ความจริงแล้ว เผ่ามนุษย์เหล่านั้นที่ได้เห็นแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ตอนแรกสุด หรือจะพูดว่าคนแรกที่อ่านแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แล้วเข้าใจคนนั้น กลับบำเพ็ญไม่เป็น…ฉะนั้นข้าคิดว่าสามวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ล้วนไม่ถูกต้อง”

ในกระท่อมยิ่งเงียบกว่าเดิม เพราะว่าผู้คนจู่ๆ สังเกตเห็นว่าคำพูดเช่นนี้ของเฉินฉางเซิงมีเหตุผลมาก โก่วหานสือกลับส่ายหัวไปมา กล่าวว่า “บำเพ็ญไม่เป็น แน่นอนว่าแก้ความหมายที่ดีของด้านการบำเพ็ญออกมาไม่ได้ แต่พวกเราบำเพ็ญเป็น…ก็เหมือนกับเด็กที่ไม่รู้จักตัวหนังสือ ไม่สามารถอ่านความหมายที่งดงามของเนื้อในเพลงของเผ่ามนุษย์ตลอดกาล แต่พวกเรากลับมีความสามารถที่จะอ่านออก ตามอย่างเจ้าว่า พวกเราต้องพยายามลืมความรู้ที่ตัวเองเรียนมาให้หมด กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงหรือ ถึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์?”

ถังซานสือลิ่วพูดด้วยความไม่ค่อยมั่นใจว่า “จิตใจบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา อย่างนี้ถึงจะเข้าใกล้กฎธรรมชาติ ในตำราลัทธิเต๋าก็พูดประมาณนี้ตลอด…ไม่แน่อาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ได้?”

“ละทิ้งความศักดิ์สิทธิ์ตัดขาดปัญญา มิใช่ว่าจะให้พวกเรากลายเป็นคนบ้าใบ้ไร้ปัญญาจริงๆ” ชีเจียนตอบด้วยน้ำเสียงใสกังวานชัด

โก่วหานสือยกมือแสดงท่าทีว่าอย่าเพิ่งพูดคุยถึงปัญหานี้ มองดูเฉินฉางเซิงถามว่า “แล้ววันนี้เจ้าใช้วิธีใดแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์”

เฉินฉางเซิงไม่มีการปกปิดใดๆ พูดเรื่องความรู้สึกของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่ตนเองชมสังเกตก่อนพลบค่ำขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็พูดถึงการเปลี่ยนแปลงทิวทัศน์สิ่งของเหล่านั้นที่ตนสังเกตเห็นในลานสวน กล่าวว่า “ถ้าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เป็นสิ่งบรรลุที่ไม่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเหตุใดข้อมูลที่ทุกคนอ่านแก้ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? ฉะนั้นข้าคิดว่าความหมายของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ ก็น่าจะอยู่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง”

โก่วหานสือคิดย้อนกลับสักพัก กล่าวว่า “เจ็ดร้อยปีก่อน หรู่หยางจวิ้นอ๋อง เฉินจื่อจาน เข้ามาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู เคยเขียนเรียงความเพื่อทำการบันทึกจดเรื่องราว เหมือนกับจะเป็นวิธีนี้ที่เจ้าพูด?”

“ใช่” เฉินฉางเซิงพูดว่า “หรู่หยางจวิ้นอ๋อง สุดท้ายใช้เวลาหนึ่งปีชมเข้าใจไปสิบเจ็ดแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ ในท่ามกลางเชื้อพระวงศ์ สามารถเรียงขึ้นเป็นสิบอันดับแรก”

โก่วหานสือพูดว่า “ข้าคิดว่าวิธีนี้ยังคงใช้ไม่ได้”

เฉินฉางเซิงถามอย่างตั้งใจว่า “เพราะเหตุใด?”

โก่วหานสือพูดว่า “เพราะว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์หน้าสุสานเดิมก็แน่นมาก ลมสดชื่นดวงดาวมหาศาลแดดจ้าหิมะตก แสงเงาเปลี่ยนแปลงยากที่จะจดคำนวณ ไม่สามารถสังเกตโดยรวมได้โดยสิ้นเชิง ภาพแบบในการสังเกตของคนเดียวคนเดิมนั้นก็มีน้อยเกินไป แม้ไม่สนใจพวกนี้ เจ้าจะหาการเปลี่ยนแปลงในนั้น ก็คงต้องเลือกจุดสักจุดหนึ่ง เจ้าเลือกอย่างไร?”

เฉินฉางเซิงหลังเงียบขรึมสักพักพูดว่า “ตามความรู้สึก”

โก่วหานสือไม่พูดอะไรอีก

ในกระท่อมเงียบสงบลงอีกครั้ง

คัมภีร์สวรรค์แก้ไม่ได้ คัมภีร์สวรรค์ก็สามารถแก้ตามใจชอบ ถ้าเพียงแค่ฟังดู วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ทุกคนพูดในคืนนี้ล้วนมีเหตุผล

ผู้บำเพ็ญต่างกันใช้วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ต่างกัน สนทนาพูดคุยเรื่องเช่นนี้ ไม่มีความหมายใดๆ

ชีเจียนลังเลสักพัก ถามว่า “เพราะเหตุใดเจ้าคิดถึงวิธีเช่นนี้ได้? …มันช่างออกนอกเส้นทางเกินไป”

เฉินฉางเซิงยิ้มๆ พลางกล่าว “บนโลกมีวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นับหมื่น ข้าเพียงอยากถามคำถามหนึ่ง ใช้ดีไหม?”

“มีเหตุผล ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เจ้าทำเนื้อรมควัน เป็นน้ำตาลเคลือบ ผัดต้นหอม หรือผัดต้นกระเทียม ต้องการเพียงถามคำถามหนึ่ง อร่อยไหม”

โก่วหานสือยิ้มเล็กน้อยพลางพูด จากนั้นรอยยิ้มค่อยๆ เก็บหายไป มองดูเขาพูดด้วยความเข้มงวดว่า “แต่ข้าแนะนำเจ้าอย่าเอาจุดนี้ไปบอกคนอื่น”

เฉินฉางเซิงพอได้ยินก็ชะงัก จากนั้นค่อยฟื้นสติกลับมา

ถ้าเขายังเป็นนักบวชลัทธิเต๋าหนุ่มชนบทผู้จากเมืองซีหนิงมายังจิงตู ฉะนั้นไม่ว่าเขาใช้วิธีไหนแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ล้วนไม่มีใครสนใจทั้งสิ้น แต่สถานะตอนนี้ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก พูดอีกนัยหนึ่งแล้ว เขาเป็นคนที่ถูกเลือกโดยพระราชวังหลี พฤติกรรมจำนวนมากของเขาในสายตาผู้คนบนโลกแล้ว เป็นตัวแทนความมุ่งมั่นของนิกายหลวง

เจ๋อซิ่วที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด จู่ๆ ก็อ้าปาก “ถ้าเช่นนั้นต้องดูว่าพวกเจ้ามีความคิดอย่างไร”

โก่วหานสือยกยิ้ม มิได้กล่าววาจา แม้อารมณ์นิสัยเขาจะละมุนละม่อม แต่ก็มีความทะนงตน

ผู้คนไม่พูดคุยถึงเรื่องนี้อีก เริ่มอาบน้ำเตรียมตัวนอน

ตอนเฉินฉางเซิงเก็บสมุดบันทึก จู่ๆ ในใจนึกอะไรขึ้นมาได้ เดินไปที่นอกกระท่อม นำสมุดบันทึกส่งให้โก่วหานสือ กล่าวว่า “เจ้าดูให้หน่อย นี่เป็นภาพชั่วขณะที่ข้าเลือกตามความรู้สึก”

โก่วหานสือตกใจเล็กน้อย การอภิปรายในก่อนหน้าเป็นเรื่องหนึ่ง เอาสิ่งที่ตัวเองเข้าใจเกี่ยวกับอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ให้คนอื่นดูนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาคิดแล้วก็คิด เอาสมุดเล่มเล็กออกมาจากอก ส่งไปพลางกล่าวว่า “เพื่อการเข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู หลายปีที่ผ่านมาข้าทำการเตรียมตัว บนสมุดบันทึกเล่มเล็กนี้มีการจดบันทึกของข้าบางอย่าง”

เฉินฉางเซิงยิ้มๆ โก่วหานสือก็ยิ้มๆ สองคนมองตากันและกัน จู่ๆ เงียบสงบลงมา รอยยิ้มบนในหน้าค่อยๆ ปลาสนาการไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือสีหน้าตกตะลึง

เหล่าชายหนุ่มที่ชำระล้างนอกกระท่อมเสร็จเรียบร้อย กลับมาในกระท่อม สิ่งที่มองเห็นก็เป็นภาพเช่นนี้

“น่าจะอยู่ในห้อง” โก่วหานสือพูด

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ไม่ได้อยู่ในผ้าห่ม เมื่อกลางวันตอนที่แกะออกไม่ได้เห็นสมุดจดบันทึกใดๆ กระดาษสักใบก็ไม่เห็น”

ถังซานสือลิ่วนวดผมที่อับชื้น ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พูดอะไรอยู่?”

“สมุดจดของสวินเหมย” เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือพูดเป็นเสียงเดียว

จากนั้นพวกเขาหันขวับพร้อมกัน เริ่มค้นหาห้องภายในกระท่อม