ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 214 ตำราบางหวั่นไหวจิตใจคน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เหลียงปั้นหูและชีเจียนก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน เริ่มหาของตามเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ กระท่อมนั้นไม่ใหญ่ ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ถูกทุกคนพลิกจนไม่เหลือ ขนาดเตาทำอาหารและโอ่งน้ำก็ไม่เว้น ช่วงเวลาหนึ่ง ในห้องเต็มไปด้วยฝุ่นละอองลอยฟุ้งเริงระบำ

ถังซานสือลิ่วกลับมิได้มีการตอบสนอง ยังคิดคำพูดของเฉินฉางเซิงที่พูดก่อนหน้านั้นอยู่ หลังจากเขาถามอย่างไม่หยุดหย่อนว่า “เจ้าเอาผ้าห่มแกะทิ้ง แล้วเดี๋ยวพวกเราจะนอนอย่างไร? แม้ว่าผ้าห่มที่ท่านผู้อาวุโสสวินเหมยทิ้งไว้ให้นั้นมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวยากที่จะทนจริงๆ แต่อย่างน้อยก็มีอะไรห่ม ข้าบอกเจ้าไว้ก่อน อย่างไรคืนนี้ ข้าก็จะไม่ห่มแผ่นหนังขาดๆ แผ่นนั้น ไอ้นั่นมันร้อน”

ทุกคนใจคิดอยู่ว่า คุณชายของตระกูลถังเวิ่นสุ่ยกินอยู่ฟุ้งเฟ้อมาตั้งแต่เด็กจริงๆ ต่างจากชาวบ้าน เวลาเช่นนี้ก็ห่วงแค่จะนอนได้สบายไหม ศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซานส่วนใหญ่เกิดมาฐานะตกต่ำ เดิมก็ไม่ชอบการกระทำของถังซานสือลิ่วในยามปกติ ตอนนี้ก็ยิ่งเกิดความโมโห จะไปสนใจเขาได้อย่างไร?

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะหาในเตาเสร็จ ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นดิน ได้ยินถังซานสือลิ่วบ่นพึมพำด้านหลัง รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย จึงหยุดการกระทำลง พูดว่า “ผ้าห่มฟูกใหม่เดี๋ยวก็จะส่งมาให้ เจ้าอย่าด่วนโวยวายไป”

ถังซานสือลิ่วถึงจะสบายใจขึ้นมาบ้าง ถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้ากำลังหาอะไรหรือ?”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะบอกเจ้าไปหรือ? สมุดจดบันทึกของผู้อาวุโสสวินเหมย”

“สมุดจดบันทึกอะไร?” ถังซานสือลิ่วยังมิได้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเห็นได้ชัด

“สมุดจดบันทึกที่เขาอ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์” เฉินฉางเซิงเดินไปนอกกระท่อม มองดูรั้วไผ่ ใจคิดว่าหรืออาจจะซ่อนอยู่ในดิน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั่นก็ยากที่จะหาเจอ

ถังซานสือลิ่วเพิ่งจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ รีบม้วนชายเสื้อขึ้นมา พูดว่า “นี่เป็นสิ่งของสำคัญ ต้องรีบหาให้เจอ”

กระท่อมเงียบสงบลงมา เหลือเพียงเสียงพลิกกล่องกับลิ้นชักตู้ และยังมีเสียงเคาะผนังกำแพง เพียงแต่ความสงบนี้ไม่ได้คงอยู่เป็นเวลานาน เสียงของถังซานสือลิ่วทำให้ทุกคนปวดหัวอีกครั้ง “ข้าว่า ถ้ามีสมุดจดบันทึกจริงๆ แล้วสมุดจดบันทึกจะเป็นของใคร?”

กวนเฟยไป๋กำลังยืนอยู่บนเตาอาหารมองหลังราวตากเนื้อรมควัน ได้ยินเข้าก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ใครหาเจอก่อนก็เป็นของคนนั้น”

ถังซานสือลิ่วไม่ยอมรับ พูดว่า “เรื่องอะไรเล่า? จริงๆ พวกเราเข้ามาอยู่ก่อน”

ชีเจียนเช็ดหยดเหงื่อบนหน้า พูดอย่างตั้งใจว่า “เมื่อคืนตอนที่ผู้อาวุโสสวินเหมยเจ็บหนักที่หน้าถนนเสินได้พูดไว้ว่าให้กระท่อมหลังนี้กับพวกเราทุกคน”

เจ๋อซิ่วพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ใครหาเจอก่อนก็เป็นของคนนั้น”

ถังซานสือลิ่วกลอกลูกตาไปมา ในใจคิดว่าพรรคกระบี่หลีซานมีสี่คน อีกทั้งพวกเขาหาด้วยความตั้งใจขนาดนี้ กลัวว่าอาจถูกพวกเขาหาเจอก่อน จึงเสนอความคิดเห็นออกมา

“เอาเช่นนี้ พวกเราถอยคนละหนึ่งก้าว ไม่ว่าใครหาเจอก่อน ดูด้วยกันเถอะ”

……

……

ฝุ่นละอองลอยพลิ้ว รั้วไผ่ในลานสวนล้มลงไปยิ่งกว่าเก่า หญ้าบนกระท่อมถูกเปิดออก รวมถึงพื้นดินข้างบ่อน้ำก็ล้วนถูกแงะออกมา กระท่อมทั้งหลังเกือบจะโดนทุกคนชำแหละจนเละเทะ ในที่สุดได้ยินเสียงตะโกนตกตะลึง

“หาเจอแล้ว!”

ทุกคนดีใจใหญ่ วิ่งตามเสียงดังกล่าวมาในกระท่อม เห็นเพียงในมือของถังซานสือลิ่วมีตำราบางเล่มหนึ่งเกินออกมา อารมณ์บนสีหน้าของถังซานสือลิ่วมีความซับซ้อนเล็กน้อย สามารถหาสมุดจดของ สวินเหมยที่เหลือไว้ให้จนเจอ แน่นอนว่ามีความสุขมาก ปัญหาอยู่ที่ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเสนอข้อคิดเห็นไว้แล้ว ไม่ว่าใครหาเจอ ทุกคนล้วนดูด้วยกัน…

“สู้ให้พวกเจ้าหาเจอยังจะดีกว่า ข้าอาจจะดีใจมากกว่านี้” เขาเอาตำราบางเล่มนั้นวางไว้บนโต๊ะ พูดด้วยความรู้สึกเสียดายว่า “ทำไมให้ข้าหาเจอล่ะ?”

“หาเจอที่ไหน?” เฉินฉางเซิงถามด้วยความสงสัย

ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่โต๊ะข้างหน้า พูดว่า “รองอยู่ที่ขาโต๊ะข้างล่าง พวกเจ้าไม่เห็นกันหรือ?”

เงียบสงบไปทั่ว ทุกคนล้วนนั่งกินข้าวที่โต๊ะเหลี่ยมเล็กตัวนี้ในห้องครัวไปแล้วสองมื้อ เพียงแต่ใครจะไปนึกถึง สวินเหมยจะเอาสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่งที่สำคัญเพียงนี้มารองไว้ที่ขาโต๊ะเช่นนี้ ที่เรียกว่าใต้ไฟมืด* อาจจะเป็นเหตุผลนี้ คิดอยู่ว่าตัวเองเกือบจะพังกระท่อมไปแล้ว รู้สึกอับอายเล็กน้อย

เหลียงปั้นหูมองถังซานสือลิ่วแล้วพูดว่า “ไม่คิดว่า เรื่องหาของนั้น เจ้าเก่งเอาเรื่อง”

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ในบ้านเวิ่นสุ่ย ใต้ขาโต๊ะในห้องท่านปู่รองด้วยเงินธนบัตร ตอนเด็กข้าไปขโมยบ่อย ก็เลยเหลือบไปทีหนึ่งตามความเคยชิน ใครจะไปคิดว่าก็อยู่ใต้ขาโต๊ะจริงๆ”

ยังคงเงียบสงบไปทั่ว ทุกคนรวมถึงเฉินฉางเซิงด้วยล้วนยากที่จะมีความสนใจจะไปคุยกับเขา เดิมทีก็ไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน มันช่างยากที่จะพูดคุยสนทนาด้วยอย่างสบายใจและคล่องแคล่วจริงๆ

……

……

ฝุ่นละอองค่อยๆ หายไป เช็ดโต๊ะเก้าอี้ใหม่ จัดเก็บของในกระท่อม หลังจากกระทำเรื่องทั้งหมดเสร็จสรรพ เจ็ดคนล้อมรอบโต๊ะเหลี่ยมเล็ก ยืมแสงของไฟตะเกียงน้ำมันที่มืดสลัว มองบนโต๊ะนิ่ง

เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือเงยหน้าขึ้นมา มองตาซึ่งกันและกันหนหนึ่ง นึกถึงสวินเหมยเคยพูดถึงโดยเฉพาะว่ากระท่อมหลังนี้เหลือไว้ให้พวกเขาอยู่อาศัย และพูดอย่างชัดเจนว่าเขาชอบความเงียบสงบ ไม่อยากให้มีคนมากกว่านี้เข้ามาอยู่ ตอนนั้นก็เขาก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดเล็กน้อย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจความหมายเชิงลึกที่ซ่อนอยู่

สวินเหมยชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปี มรดกที่สำคัญที่สุดที่หลงเหลือไว้ แน่นอนว่าไม่ควรจะเป็นกระท่อมหลังนี้ หรือว่าผ้าฟูกสามอันที่เหม็นเปรี้ยวจนดมไม่ได้ แต่เป็นตำราเก่าเล่มบางบนโต๊ะเล่มนั้น

โก่วหานสือเปิดหน้าแรกของตำราบางเล่มนั้น ก็มีสมองหกก้อนยื่นเข้ามา ตำราบางเล่มนี้เป็นสมุดจดบันทึกของสวินเหมย ในนั้นจดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาบรรลุในการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ และที่มากกว่านั้นก็คือการสมมุติและการทดลองหลายอย่างก่อนเขาจะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ในตัวอักษรเล็กละเอียดถี่ยิบนั่นเป็นเวลากว่าสามสิบเจ็ดปีเต็มๆ

สวินเหมยอยู่ในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปี แก้ไปแล้วหลายสิบแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะจดกระบวนการขั้นตอนในการอ่านแก้ทุกแผ่นป้ายอนุสรณ์ลงมาอย่างไม่มีตกหล่น แต่ก็เหมือนที่สำหรับผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทุกคน แผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นแรกที่หน้าสุสาน ความหมายของแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าต่างกันเป็นพิเศษ หลายสิบปีที่แล้ว ความรู้สึกตอนที่เขาเห็นแผ่นป้ายหินนี้เป็นครั้งแรก รวมถึงการเลือกวิธีและการเปลี่ยนแปลงในใจตอนที่เขาทดลองแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในภายหลัง ล้วนจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน

แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์หมื่นปีไม่แปรเปลี่ยน ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์กลับแตกต่างไม่เหมือนกัน คนรุ่นหลังแน่นอนว่าไม่สามารถเอามาใช้ได้ทันที มิฉะนั้นอย่างอาจารย์สำนักเหล่าผู้อาวุโสของพรรคกระบี่หลีซานก็จะเอาวิธีขั้นตอนที่ตัวเองแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในปีนั้นสอนให้ศิษย์เหล่าโก่วหานสือนี้ไปนานแล้ว แต่ขั้นตอนการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของคนรุ่นก่อนและประสบการณ์ที่ล้ำค่า สามารถเป็นข้อเสนอแนะแนวคิดให้กับคนรุ่นหลัง ลดจำนวนครั้งในการเดินทางอ้อม สวินเหมยชมแผ่นป้ายอนุสรณ์สามสิบเจ็ดปี นอกจากผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ทั้งชีวิตไม่สามารถออกสุสาน ยังมีนักปราชญ์รวมถึงแปดมรสุมเหล่านั้นที่สามารถชมดูคัมภีร์สวรรค์ตามใจชอบได้ ยังมีอีกกี่คนที่มีประสบการณ์การชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่หลากหลายอุดมสมบูรณ์มากกว่าเขา? ตำราเล่มบางนี้ถ้าถูกส่งต่อตกทอดออกไป แน่นอนว่าต้องกลายเป็นเป้าหมายที่แย่งชิงของขุมกำลังจำนวนมาก

เหล่าเด็กหนุ่มที่นั่งล้อมรอบโต๊ะเข้าใจแจ่มแจ้ง นี่เป็นโอกาสระดับสุดยอด แน่นอนว่าจักต้องถนอมรักษาอย่างหาใดเปรียบ จ้องอักษรเหล่านั้นบนตำราเล่มบาง ตามนิ้วมือที่ขยับของโก่วหานสือ คิดวิเคราะห์อย่างไม่หยุดหย่อน ดูดซับซึมซาบเข้าไป

ในกระท่อมบังเกิดความเงียบสงบไปทั่ว

……

……

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ โก่วหานสือปิดตำราเล่มบาง ถังซานสือลิ่วกำลังดูอย่างถลำลึก ลุกขึ้นพรวดพูดด้วยความตกใจว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น? รีบเปิดออกมาดูอีก”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “เวลายังมีอีกมาก ค่อยๆ ดูไป ต้องมีเวลาย่อยบ้าง และตอนนี้พวกเราขนาดแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกยังไม่ผ่าน ดูจบท่อนนี้ก็พอแล้ว”

ได้ยินคำพูดดังกล่าว ถังซานสือลิ่วถึงจะสงบลงมานั่ง

โก่วหานสือมองสมุดจดบันทึกที่อยู่ด้านหน้า ถอนหายใจพูดว่า “ผู้อาวุโสเป็นผู้อาวุโสจริงๆ”

ในใจทุกคนก็มีความทอดถอนใจเช่นเดียวกัน

ในสมุดบันทึกเขียนไปอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สวินเหมยแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าออก ใช้เวลาเพียงสองวัน และที่ทำให้พวกเขาสะเทือนใจเลื่อมใสน่าชื่นชมไปกว่านั้นคือ สองวันแรกเริ่ม สวินเหมยทดลองใช้แค่สองวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ และในตอนหลังที่กาลเวลายาวนานกับการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ อาจเป็นเพราะน่าเบื่อหรือเป็นเพราะการแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ด้านหลังมันยากเกินไป เขาว่างๆ เลยกลับไปอ่านแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าอีกครั้ง สุดท้ายไม่คิดว่าจะเจอวิธีการเจ็ดแบบที่สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าได้ วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เจ็ดแบบที่สำเร็จ นี่เป็นมโนภาพอะไรกัน?

……

……

เจ๋อซิ่ว กวนเฟยไป๋ ห้าคนเหล่านั้น เป็นเพราะกลางวันใช้เวลาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูนานเกินไป สูญเสียจิตวิญญาณมากเกินไป อีกทั้งยังต้องซึมซับประสบการณ์เหล่านั้นในสมุดจดของสวินเหมย ต่างคนจึงต่างนอนหลับลึก เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือเป็นเพราะว่าจำกัดเวลาการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ อีกทั้งยังถึงขั้นทะลวงอเวจีแล้ว สภาพจิตใจยังใช้ได้ ยืนอยู่ในลานสวนมองดูท้องฟ้าค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ยังไม่ได้คิดอยากจะไปพักผ่อน

“ข้าอยากจะไปดูอีก”

เฉินฉางเซิงมองดูเหล่าดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืน นึกถึงวิธีที่หกในบันทึกที่สวินเหมยใช้ จู่ๆ เกิดแรงกระตุ้นหนึ่ง อยากจะไปดูการเปลี่ยนแปลงของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นภายใต้แสงดวงดาว

โก่วหานสือพูดว่า “ข้ามีความคิดนี้อยู่เช่นกัน”

พูดปุ๊บก็ไปปั๊บ สองคนทะลุผ่านสวนส้ม เดินไปยังสุสานเทียนซู ผ่านไปไม่นานก็มาถึงหน้าสุสาน เส้นทางทางเดียวของในสุสาน ภายใต้การส่องสว่างของดวงดาวราวกับแถบหยก สวยสดตระการตาอย่างยิ่ง

กำลังจะขึ้นสุสาน เฉินฉางเซิงจู่ๆ หยุดฝีเท้า มองเขาแล้วถามว่า “เจ้าดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ไปแล้วสองวัน น่าจะดูรู้เรื่องแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผล”

ไม่ใช่ไม่สมเหตุสมผล แต่ไม่มีเหตุผล เพราะว่าตั้งแต่การชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการสอบใหญ่ เขาต่อสู้กับโก่วหานสือสามสนาม เข้าใจดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนอย่างไร แม้ว่าอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่เป็นเขา แต่เขารู้ว่านั่นเป็นเพียงเพราะตัวเองยิ่งไม่กลัวตายมากกว่าฝ่ายตรงข้าม หรือจะพูดว่ากลัวตายมากยิ่งกว่าแค่นั้น ถ้าจะพูดถึงระดับขั้นการบำเพ็ญที่แท้จริงรวมถึงความรู้ ตัวเองยังห่างจากโก่วหานสือไม่น้อย

ยามบ่าย เฉินฉางเซิงก็ยืนยันว่าตัวเองห่างจากการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เพียงก้าวเดียว หลังจากเห็นสมุดจดบันทึกของสวินเหมยก็ยิ่งมั่นใจในความคิดนี้ โก่วหานสือดูไปแล้วสองวัน ไม่มีเหตุผลที่จะยังบรรลุไม่ผ่านอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้น

โก่วหานสือเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ข้าอยากรอเหล่าศิษย์น้องชาย”

เพียงแค่เขาต้องการ ฉะนั้นตอนนี้เขาสามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าได้ตลอดเวลา ไปยังแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สอง สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่อยากปิดบังเฉินฉางเซิง

แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์จริงๆ แล้วมีแรงดึงดูดต่อผู้บำเพ็ญขนาดไหน ดูจากสีหน้าขาวซีดของเจ๋อซิ่ว อีกทั้งชีเจียน เหลียงปั้นหูที่ท่าทีขวัญดีหนีฝ่อก่อนหน้านี้ก็รู้แล้ว เพื่อรอศิษย์สำนักเดียวกันจึงตั้งใจชะลอความเร็วในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์? ถ้าคนอื่นพูดเช่นนี้ เฉินฉางเซิงไม่ยอมเชื่อแน่นอน แต่เขาคือโก่วหานสือ

เฉินฉางเซิงไม่ได้ชอบสวีโหย่วหรง ไม่มองว่าสัญญาหมั้นนั้นสำคัญอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ เขาไม่มีทางที่จะรู้สึกดีกับชิวซานจวินและพรรคกระบี่หลีซานอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาคือโก่วหานสือ

โก่วหานสือพูดว่า “ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือข้ากำลังรอคนคนหนึ่งอยู่ ถ้าไม่มีเหตุผิดคาด อีกสองวันเจ้าน่าจะได้เห็นเขา ถึงเวลานั้นเดี๋ยวจะแนะนำพวกเจ้าให้รู้จักกัน”

“เจ้าไม่อยากรู้อยากเห็นว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สองเป็นอย่างไรจริงๆ หรือ?” เฉินฉางเซิงถาม

โก่วหานสือกล่าวว่า “แน่นอนว่าอยากรู้ แต่ว่าก็เหมือนที่ผู้อาวุโสสวินเหมยเขียนไว้ในสมุดบันทึก วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ต่างกันแทนความสนุกสนานที่ต่างกัน ไว้อีกสองวันก็ไม่เป็นไร”

ขึ้นสุสานต่อไป ไม่นานก็มาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า แสงค่ำคืนของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ช่างเงียบสงบ ที่ราบหินในป่าที่มีสิบกว่าคนนั่งกระจัดกระจายอยู่ การมาถึงของเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือนำมาซึ่งความอึกทึก นักเรียนหนุ่มสองคนที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ สีหน้าจู่ๆ พลันเย็นชา ไม่ปิดบังความเป็นศัตรูอย่างสิ้นเชิง

*ใต้ไฟมืด หมายถึง ใต้โคมไฟมืดเพราะถูกบังด้วยโคมไฟเอง คนเรามองไม่เห็นหรือไม่ได้สังเกตเรื่องราวหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว