ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 215 ค่ำคืนฉายไฟชมป้ายอนุสรณ์ (ตอนต้น)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แสงค่ำคืนเข้มแล้ว

ต่างจากเมื่อวาน ไม่มีคนจำนวนมากที่ยังมัวเมาถลำลึกอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ เป็นเวลาช้านานก็ไม่ยอมจากไป คนที่ยังอยู่หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณถือว่ามิใช่เลว อย่างนี้ถึงจะสามารถอดทนได้มาจนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงปล่อยสายตาทอดมองไป มองเห็นผู้สอบสองคนของสำนักเด็ดดารา ศิษย์พี่หญิงท่านนั้นของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และดรุณีน้อยที่ชื่อว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียน และยังมีผู้สอบหลายคนที่เคยเจอกันที่การสอบใหญ่แต่จำชื่อและประวัติความเป็นมาไม่ได้ ที่สะดุดตามากที่สุดก็คือสานุศิษย์สามคนของสำนักต้นไหวที่ใกล้แผ่นป้ายหินอนุสรณ์มากที่สุด ท่ามกลางม่านฟ้าราตรีกาล สีเสื้อผ้าที่จืดจางของพวกเขาสะดุดตาอย่างยิ่ง

มองตาหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ก็สามารถเห็นถึงปัญหาในสนาม…คนที่ยิ่งใกล้กระท่อมแผ่นป้าย ความสามารถในระดับขั้นการบำเพ็ญยิ่งมาก ไม่รู้ว่าเป็นกฎแฝง หรือว่าเกิดการทะเลาะกันมาแล้ว

สานุศิษย์สามคนของสำนักต้นไหวห่างจากกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ใกล้สุด

จงฮุ่ยยืนอยู่หน้ากระท่อม ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์อย่างเงียบขรึมไม่เปล่งวาจา เพื่อนร่วมสำนักสองคนของเขากลับจ้องมองเฉินฉางเซิงอย่างระมัดระวัง เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกตกใจกับเรื่องเหล่านี้ ในการต่อสู้ของการสอบใหญ่ จงฮุ่ยพ่ายแพ้แก่ลั่วลั่ว ฮั่วกวงนั้นยิ่งถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถที่จะอดทนต่อไปได้ ความแค้นของสำนักต้นไหวที่มีต่อสำนักฝึกหลวง เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

โก่วหานสือและเขาเป็นเพราะเห็นสมุดจดบันทึกของสวินเหมยแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงมาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์โดยหยิบยืมแสงดวงดาว แน่นอนว่าเดินไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ สองคนที่คาดไม่ถึงนี้เมื่อเริ่มแสดงท่าทีก็นำมาซึ่งความปั่นป่วนบริเวณรอบๆ อีกครั้ง ดวงตาสิบกว่าคู่ขยับไปตามการก้าวเท้าของพวกเขา ต่างคนหลากอารมณ์หลากสีหน้า… หากพวกเขาจะเดินไปยังหน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ แน่นอนว่าย่อมต้องแย่งที่ของสำนักต้นไหวสามคนนั้น

สานุศิษย์สำนักต้นไหวสองคนนั้นไม่ได้หลีกทาง มองโก่วหานสือและเฉินฉางเซิงแล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “มาก่อนได้ก่อน”

ฟังดูอย่างนี้แล้วเหมือนจะมีเหตุผล กลุ่มคนนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์กลับมีเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าบอกว่าศิษย์พี่ของพวกเจ้าเป็นขั้นหนึ่งของการสอบใหญ่ ฉะนั้นต้องให้พวกข้าหลีกทาง ตอนนั้นเหตุใดไม่พูดว่ามาก่อนได้ก่อน ตอนนี้อันดับหนึ่งและอันดับสองของการสอบใหญ่มาแล้ว พวกเจ้าสามารถไม่หลีกทางให้ได้จริงหรือ?”

สานุศิษย์ต้นไหวสองคนนั้นได้ยินก็โมโหมาก

โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่าก่อนหน้านี้ในสนามเคยเกิดเรื่องเช่นเดียวกันขึ้น ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการกระทำของเหล่าสานุศิษย์สำนักต้นไหว เดินไปยังข้างหน้าต่อไป เดินผ่านนักเรียนสำนักต้นไหวสองคนนั้นโดยมิได้เหลือบแลแม้หางตา มาถึงด้านหน้าสุดของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์โดยตรง ยืนอยู่หลังจงฮุ่ย

สานุศิษย์สำนักต้นไหวสองคนนั้นยิ่งโมโหโกรธาขึ้นไปอีก คิดอยากพูดอะไรบางอย่าง คิดถึงคำพูดที่ดูดน้ำเสียงนั้นของกลุ่มคนก่อนหน้า กลับอับจนวาจาโดยสิ้นเชิง ส่วนการลงไม้ลงมือนั้นยิ่งไม่กล้า

จงฮุ่ยเก็บสายตากลับมาจากหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ หันหลังทำความเคารพอย่างตั้งใจต่อโก่วหานสือ ตอนที่มองไปยังเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่ข้างโก่วหานสือ ในสายตากลับไม่มีความเคารพนับถือใดๆ

ผู้เยาว์เปี่ยมปรีชาสามารถอย่างเขาที่มีชื่อเสียงมานาน ความประทับใจที่มีต่อเฉินฉางเซิงนั้นไม่ค่อยดี แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะทะลวงอเวจีในการสอบใหญ่ ระดับขั้นล้ำหน้าพวกเขาไปแล้ว พวกเขายังคงคิดเห็นว่าเฉินฉางเซิงเป็นเพียงเพราะโชคดี หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาได้รับการดูแลจากเหล่าผู้มีอิทธิพลในนิกายหลวง

“สองวันนี้ไม่ได้เห็นเจ้ามาตลอด เจ้ามีความมั่นใจในตนเองมากต่อการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์จริงๆ หรือ? หรือว่าเจ้าเห็นว่าบุญวาสนาความโชคดีของเจ้าใช้ไปหมดแล้ว จึงโยนขวดแตกให้แตก*ไปเลยดีกว่า?”

จงฮุ่ยมองเขาและพูดด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “ปีที่ผ่านๆ มา อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ ช้าที่สุดใช้เวลาห้าวันในการแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรก เจ้าเป็นอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งของพวกเรารุ่นนี้ ถ้าใช้เวลามากเกินไป จะทำให้พวกข้าอับอายตามไปด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

เฉินฉางเซิงกำลังดูแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ใต้แสงดวงดาว สมาธิล้วนจดจ่อกับการเปลี่ยนแปลงของเส้นสายที่ซับซ้อนเหล่านั้น ได้ยินคำพูดเช่นนี้ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ถามอย่างตามใจว่า “พวกเราก็ไม่ได้รู้จักสนิทสนมกัน แม้ข้าจะแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นนี้ไม่ออก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย แล้วเจ้าเหตุใดต้องผิดหวัง?”

จงฮุ่ยได้ยินก็ชะงัก หายใจเข้าลึกๆ สะกดกลั้นความโมโหไว้แล้วกล่าวว่า “ฝีปากกล้ายิ่ง”

เฉินฉางเซิงมิได้ตอบคำ เดินตรงไปที่ข้างกายของเขา กล่าวว่า “รบกวนหลบหน่อย”

ที่ที่จงฮุ่ยยืนอยู่ในตอนนี้เป็นตำแหน่งของแนวระดับสายตาหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ดีที่สุด ใกล้กับแผ่นป้ายอนุสรณ์มากที่สุด และยังไม่บดบังแสงดวงดาว ได้ยินคำพูดนี้ เขาไหนเลยสามารถปิดบังความโมโหในใจได้อีก พลันกำมือแน่น

ในมุมมองของทุกคน ประโยคแรกของเฉินฉางเซิงเป็นการไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด ประโยคที่สองฟังดูแล้วเหมือนมารยาทแข็งกร้าว ไม่ว่าจะเป็นการพูดเยาะเย้ยศิษย์ผู้นั้นของสำนักต้นไหว ก็สามารถมองได้ว่าเขากำลังทำให้ฝ่ายตรงข้ามอัปยศอดสู มีเพียงโก่วหานสือที่มองสีหน้าของเฉินฉางเซิง เดาได้ว่าเขาไม่ใช่อย่างนี้ ก็แค่ต้องการเชิญให้จงฮุ่ยหลีกทางให้เพียงเท่านั้น

เขาส่ายหัวไปมา เดินไปข้างหน้าของจงฮุ่ยตามเฉินฉางเซิง

ชายเสื้อยาวพลิ้วสะบัดเล็กน้อยจากลมกลางคืน จงฮุ่ยโมโหถึงขีดสุด สานุศิษย์ร่วมชั้นอีกสองคนก็เช่นกัน สามคนมีโอกาสลงไม้ลงมือกับเฉินฉางเซิงได้ตลอดเวลา และแล้วโก่วหานสือยืนอยู่ระหว่างพวกเขาและเฉินฉางเซิง อย่างนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่เงียบสงบ เมื่อคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างขั้นถอดจิตและขั้นทะลวงอเวจี…พวกเขาไม่ใช่คู่แข่งของโก่วหานสือ พูดอีกนัยหนึ่ง พวกเขาก็สู้เฉินฉางเซิงไม่ได้เช่นกัน

สู้ไม่ได้ ความโมโหก็ไม่มีแรงขับเคลื่อนใด สานุศิษย์ของสำนักต้นไหวสองคนยังคงรู้สึกกรุ่นโกรธขับข้องใจ จงฮุ่ยนั้นกลับพยายามบังคับตัวเองให้สงบลงมา ถอยไปด้านหลังหลายก้าว หลีกทางให้กับโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง มองเงาหลังของเฉินฉางเซิงแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยเย้ยหยันนิดหนึ่ง… เหมือนกับที่เขาเคยพูดก่อนหน้านี้ สองวันนี้เฉินฉางเซิงปรากฏอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์น้อยมาก ในมุมมองของเขาแล้วมันคือความจงใจ เขาไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิงว่าเฉินฉางเซิงในสุสานเทียนซูจะยังโชคดีเหมือนตอนการสอบใหญ่ เจ้ายังจะสามารถมองอะไรออกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์ได้จริงหรือ?

……

……

แสงดวงดาวตกทอดลงบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า เส้นสายที่ซับซ้อนเหล่านั้นราวกับชุบเงินชั้นหนึ่ง คล้ายมีปรอทไหลลอยช้าๆ อยู่ในนั้น ความรู้สึกมีชีวิตชีวาชนิดหนึ่งที่ยากจะใช้คำพูดอธิบายปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง เขามิได้ขยับจิตวิญญาณ ไม่ได้ให้ปราณแท้ในเส้นลมปราณขยับตามเส้นสายเหล่านั้น และไม่ได้ลองบรรลุพลังกระบี่ใดๆ ผ่านการเคลื่อนที่ของเส้นสายเหล่านั้น เพียงแต่มองดูอย่างเงียบๆ รู้สึก เข้าใจ เขายืนยันภาพเหล่านั้นที่เห็นในตอนเช้าอีกครั้งว่าเป็นจริง ภาพเหล่านั้นที่จินตนาการออกมากลางอากาศตามจิตวิญญาณในลานสวนตอนบ่ายก็เป็นจริงเช่นกัน รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏออกมา

“ได้ผลลัพธ์อะไรบางอย่าง?” โก่วหานสือมองสีหน้าของเขาที่มีการเปลี่ยนแปลง ถามด้วยความตกใจ

เฉินฉางเซิงพยักหน้า กล่าวว่า “เดิมข้าลังเลเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าง่ายเกินไป แต่ในสมุดบันทึกมีบางประโยคที่เตือนข้าไว้”

โก่วหานสือกล่าวว่า “เจ้ายังคงยืนหยัดในการใช้วิธีแก้ที่ดั้งเดิมที่สุดชนิดนี้หรือ?”

เฉินฉางเซิงพูดต่อ “อาจจะโง่หน่อย ช้าหน่อย แต่เหมาะกับข้ามากที่สุด”

กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบไปทั่ว ทุกคนล้วนฟังอย่างตั้งใจ ในนั้นรวมถึงจงฮุ่ยด้วย เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือเป็นสองคนที่ผู้คนบนโลกเห็นร่วมว่าอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างถ่องแท้ พวกเขาวิเคราะห์บทสนทนาการอ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ จะพลาดได้อย่างไร เพียงแต่สมุดบันทึกที่เฉินฉางเซิงพูดถึงคืออะไร?

“อะไรคือวิธีแก้ที่ดั้งเดิมที่สุด? เปลี่ยนเส้นแล้วนับ?” ศิษย์พี่หญิงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นสนิทกับโก่วหานสือ เดินเข้าไปหา และถามด้วยความสงสัย

โก่วหานสือมองเฉินฉางเซิงทีหนึ่ง

“พวกข้าคิดว่าวิธีแก้ที่ดั้งเดิมที่สุดก็คือพยายามไม่คิดถึงจิตวิญญาณปราณแท้และท่าวิทยายุทธ์ ไม่ใช่เปลี่ยนเส้นแล้วนับ แต่…” เฉินฉางเซิงหันหลังมองดรุณีน้อยจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนนั้น พูดอธิบายด้วยความตั้งใจ กำลังเตรียมจะพูดสิ่งที่ตัวเองบรรลุออกมา พูดวิธีคิดของตนเองให้ชัดเจน คิดว่าความหมายที่แท้จริงของคัมภีร์สวรรค์น่าจะซ่อนอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ กลับไม่คาดคิดว่า…

มีเสียงด่าทออันเยือกเย็นส่งมาจากในท้องฟ้ากลางคืน

“ไร้สาระที่สุด!”

บุรุษวัยกลางผู้หนึ่งไม่รู้ว่ามาในสนามตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าบนใบหน้าเย็นชาอย่างผิดปกติ

สานุศิษย์สำนักต้นไหว จงฮุ่ยสามคนนั้นเห็นคนคนนี้ ใบหน้าแสดงออกถึงความเบิกบาน ก้าวไปข้างหน้าทำความเคารพอย่างรีบเร่ง “คารวะอาจารย์อา”

เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่าบุรุษวัยกลางคนก็คือผู้รับใช้แผ่นป้ายคนนั้นที่ต่อว่าตนเองอย่างเข้มงวดเมื่อตอนเช้า ถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าจริงๆ แล้วคนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของสำนักต้นไหว

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเดินมาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง ตะคอกอย่างแรงว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้ารุ่นหลังสองคนอ่านคัมภีร์สวรรค์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่คิดว่ากลับเป็นเจ้าเด็กน้อยสองคนที่ไร้ความรู้ ทำเป็นแต่เขื่องโขโอ้อวด!”

*โยนขวดแตกให้แตกหมายถึง ขวดแตกอยู่แล้ว ก็ยังจะโยนให้แตก หลังมีจุดด้อย ความผิดพลาดหรือหลังได้รับอุปสรรคหรือความล้มเหลว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยอมรับชะตากรรม ไม่ปรับปรุงแก้ไข อาจมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติพัฒนาไปยังในทางที่ไม่ดี