ภาคที่ 2 บทที่ 179 ปรมาจารย์อาร์คาน่า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 179 ปรมาจารย์อาร์คาน่า

ปรมาจารย์ผ้าเท่อลั่วเค่อ !

เมื่อคำเหล่านั้นถูกเอ่ยออกมา ทุกคนก็ดูมีสีหน้าสับสนยิ่ง

ส่วนแววตาอีไหลเอินหลานป๋อเอินก็เผยแววตกตะลึง “พ่อหนุ่ม เจ้าเข้าใจอันใดผิดหรือไม่ ? ข้าจะเป็นปรมาจารย์ผ้าเท่อลั่วเค่อไปได้อย่างไร ? ข้าคืออีไหลเอินหลานป๋อเอิน เป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของเขาต่างหาก”

“เป็นผู้ช่วยที่รู้ที่เก็บสมบัติงั้นหรือ ?” ซูเฉินโต้กลับ

อีไหลเอินหลานป๋อเอินตอบ “เป็นเพราะข้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนผ็ปูผ้าเท่อลั่วเค่อ ดังนั้นจึงรู้ทุกความลับของเขาเป็นอย่างดี”

“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เหตุใดผ้าเท่อลั่วเค่อจึงต้องซ่อนสมบัติไว้ในห้องทดลองของตนด้วยเล่า ? ที่นี่เป็นห้องทดลอง ท่านไม่คิดว่ามันไร้เหตุผลหรือที่จะซ่อนพวกสมับติไว้ที่นี่แต่ไม่ใช่ที่อื่น ? ขออภัยด้วย แต่ข้าเองก็ทำการทดลองมามาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องเสียเวลาสร้างห้องอีกหลายห้องไว้เก็บสมบัติในเมื่อข้าก็ฝังตนเองอยู่ในนั้นอยู่แล้ว”

อีไหลเอินหลานป๋อเอินชะงักจนไม่อาจเอ่ยคำใดไปครู่หนึ่ง

ซูเฉินว่าต่อ “ที่สำคัญ หากคนอื่น ๆ ทิ้งห้องทดลองแห่งนี้ไว้ในพลังงานสูญเพื่อความปลอดภัยแล้ว เหตุใดจังไม่นำสมบัติออกไปด้วย ? ดูวัตถุดิบเหล่านี้ รากมังกรปักษา หญ้าการุญสีชาด แร่ดาว ศิลาเย็นยะเยือก…… ไม่ว่าจะยังมีค่าอยู่หรือไม่ต่างก็เป็นวัตถุดิบล้ำค่าทั้งนั้น กระทั่งในสมัยอาณาจักรอาร์คาน่ารุ่งเรือง สมัยที่ยังมีทรัพยากรล้นเหลือ ของเหล่านี้ก็ยังนับว่าล้ำค่า แล้วพวกเขาจะทิ้งของพวกนี้ไว้หรือ ? ไม่มีความลังเลที่จะทิ้งสมบัติไว้เลยหรือ ? ท่านไม่คิดว่าตรงจุดนี้มันน่าสนใจมากเลยหรือไร ?”

อีไหลเอินหลานป๋อเอินเงียบไป

การทิ้งห้องทดลองทั้งยังทิ้งสมบัติล้ำค่าทั้งหลายไว้มากมายเช่นนี้นับเป็นจุดบกพร่องใหญ่

แต่เขาก็ยังเอ่ยขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม หากเจ้าให้เวลาข้า ข้าก็สามารถอธิบายได้ ที่พวกเขาไม่นำมันไปด้วยเพราะพวกเขาเร่งรีบนัก เจ้าก็น่าจะรู้ว่าฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อนั้นน่ากลัวเพียงไหน มันน่ากลัวมากจนกระทั่งยามที่คนอื่น ๆ ขังมันไว้ได้ก็รีบจากไป ไม่ได้คิดกระทั่งเรื่อง……”

ซูเฉินเอ่ยขัดขึ้น “เช่นนั้นท่านจะอธิบายเรื่องที่ท่านเป็นผู้คุมแต่ไม่อาจแตะต้องหรือเปิดใช้ก้อนผลึกนั่นอย่างไร ?”

“เรื่องนี้……” อีไหลเอินหลานป๋อเอินพูดไม่ออกอีกครา เขาทำท่าอยากจะอธิบายเพิ่ม แต่ซูเฉินกลับเอ่ยขึ้น “แม้ท่านจะมีวิธีการคุมมันวิธีอื่นอยู่ แต่ท่านไม่คิดว่าการปล่อยคนตายไว้เฝ้าเจ้านี่และลืมเรื่องห้องทดลองไปกันหมดมันฟังดูประหลาดมากหรือ ? พวกเขาไม่กลัวหรือว่าเวลา 3 หมื่น 6 พันปีนี้ท่านอาจจะปล่อยมันออกมาก็ได้ ?”

ต้วนเจียงซานอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “พวกเขาอาจไม่คิดถึงขั้นนั้นก็ได้ คนเหล่านี้ก็รู้จักแต่การอ่านตำราและสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นโดยที่ไม่รู้กระทั่งผลลัพธ์ที่จะออกมาด้วยซ้ำ”

“เชื่อข้าเถอะเจียงซาน บัณฑิตที่แท้จริงจะรู้ดีกว่าใครอื่นว่าสิ่งที่ตนสร้างจะมีผลออกมาเช่นไรบ้าง นักทดลองทั้งหลายต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ตนสร้างจะมีผลลัพธ์เช่นไร แต่คนอื่น ๆ จะมองข้ามมันไปเท่านั้น การทำการทดลองนั้นแท้จริงแล้วเป็นขั้นตอนที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง คนที่สามารถลงมือทำมันได้ย่อมมีความคิดสรรสร้างมากกว่านักกวีมากรัก ทั้งยังต้องเด็ดขาดกว่าผู้ตัดสินที่เด็ดขาดที่สุดเสียอีก” ซูเฉินเอ่ยตามตรง

ในฐานะที่เขาเองก็เป็นนักทดลองคนหนึ่ง ซูเฉินรู้ดีว่าคนอื่น ๆ เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายเพียงไหน

หากพวกเขาไร้ซึ่งความสามารถในการคาดคะเนกาลข้างหน้าแล้ว พวกเขาจะสามารถฝ่าเมฆหมอกและค้นพบความเข้าใจล้ำลึกที่ซุกซ่อนอยู่ได้อย่างไร ?

ยามซูเฉินเอ่ย เขาก็เหลือบมองอีไหลเอินหลานป๋อเอิน “ข้าจะอธิบายให้ฟัง ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านโกหกมาตั้งแต่ต้น ท่านไม่ใช่อีไหลเอินหลานป๋อเอินหรือผู้คุมใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเบื้องหลังกำแพงนั่นไม่ใช่ฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อจริง ๆ ด้วยซ้ำ…… เป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่เชื่อท่าน ไร้สาระสิ้นดี ! กินไม่หยุด แบ่งตัวไร้ขีดจำกัด สิ่งมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์…… ไม่มีสิ่งมีชีวิตเช่นนั้นอยู่หรอก ! เช่นนั้นเป็นการฝืนกฎขั้นพื้นฐานของใต้หล้านี้ ไม่มีสมบัติ ไม่มีฝันร้าย ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น !”

อีไหลเอินหลานป๋อเอินส่ายหน้า “หากข้าเป็นผ้าเท่อลั่วเค่อจริง เหตุใดจึงต้องปกปิดตัวตนด้วย ? เหตุใดจึงต้องใช้คำลวงต่ำต้อยเช่นนั้นหลอกพวกเจ้า ?”

ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “ข้าจะตอบคำถามสุดท้ายของท่านก่อนก็แล้วกัน เหตุผลที่คำลวงของท่านดูออกง่ายนักเป็นเพราะท่านกำลังรีบร้อน รีบมากกระทั่งไม่มีเวลากลั่นกรองว่าคำลวงออกมาดูดีแล้วหรือไม่ การสร้างคำลวงที่ไร้ซึ่งจุดบกพร่องนั้นยากนัก ข้าเองก็เชี่ยวชาญด้านการหลอกลวง ดังนั้นข้ารู้ดีว่ามันยากเพียงไหน”

หลายปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มวางแผนลวงคนหลายต่อหลายครั้ง แผนการเหล่านั้นที่ดูภายนอกแล้วอาจมองว่าเรียบง่าย แต่กลับใช้เวลาในการกลั่นกรองมันออกมามากยิ่งนัก ต้องคอยมองหาจุดรั่วไหลที่อาจทำให้แผนพลาดได้

ดังนั้นเขาจึงรู้ดีกว่าการสร้างคำลวงที่น่าเชื่อถือขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องยากเย็นถึงเพียงไหน

อย่างไรก็ต้องใช้เวลาในการครุ่นคิดมาก

ไม่อาจมีใครสามารถสร้างคำลวงที่ไร้จุดบกพร่องขั้นมาได้ในเวลาอันสั้น ซูเฉินทำไม่ได้ วิญญาณตรงหน้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน

เบื้องหลังคำลวงที่ฟังเหมือนจะมีเหตุผลนี้ยังมีจุดบกพร่องอยู่หลายแห่ง ที่หากครุ่นคิดดี ๆ แล้วก็จะค้นพบได้ไม่ยาก

แต่คำหลวงนี้ก็หลอกจี้ลั่วอวี่และคนอื่น ๆ ได้

คนอื่น ๆ ไม่เหมือนกับเขาที่สามารถมองปมของปัญหาออกในพลันได้ และหากคำลวงนั้นน่าเชื่อถือเข้าหน่อย คนส่วนมากก็จะตกหลุมพรางแล้ว

อีไหลเอินหลานป๋อเอินยังไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงต้องปกปิดตัวตน ?”

“เพราะตัวอย่างทดลองด้านนอกนั่น” ซูเฉินชี้ออกไปยังนอกห้องทดลอง “ท่านรู้ว่าตนเองไม่อาจปกปิดการทดลองไร้ความเป็นมนุษย์มนาของตนไว้ได้ หากพวกเรารู้ว่าท่านเป็นผ้าเท่อลั่วเค่อ เช่นนั้นพวกเราก็คงไม่คิดจะรับฟังหรือเชื่อคำท่านเป็นแน่ ดังนั้นจึงทำทีว่าตนเป็นเพียงผู้ช่วย จะได้ดูเป็นมิตรมากขึ้นได้ แต่ท่านลืมเรื่องหนึ่งไป ไม่ว่าท่านจะเลียนแบบเป็นใคร คนผู้นั้นก็ยังเป็นเผ่าอาร์คาน่า ในยุคที่เผ่าอาร์คาน่ายังรุ่งเรือง มนุษย์เป็นเพียงทาสเท่านั้น ! เช่นนั้นแล้วผู้ช่วยของปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสูงจะพูดจาดีกับมนุษย์ที่เป็นทาสได้อย่างไร ? ท่านไม่คิดว่ามันขัดกับเหตุผลไปหน่อยหรือ ?”

ภาพ 3 มิติถึงกับตะลึงไป

กระทั่งเยว่หลงซา ต้วนเจียงซาน และคนอื่น ๆ ต่างพากันมองไปยังซูเฉิน

จี้ลั่วอวี่เผยแววระยับในดวงตา พึมพำเสียงออกมาเสียงแผ่วเบา “สุดยอด ! ศิษย์พี่ซูสุดยอดเกินไปแล้ว !”

พริบตานั้น ‘อีไหลเอินหลานป๋อเอิน’ ก็ก้มหัวลงหัวเราะ

“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าข้าจะมาเจอเด็กมนุษย์ที่น่าเกรงขามเช่นเจ้า ถูกต้อง ข้าคือผ้าเท่อลั่วเค่อ”

พูดจบรูปร่างเขาก็เปลี่ยนจากคนหนุ่มเผ่าอาร์คาน่าเป็นชายชราผมขาวเผ่าอาร์คาน่าแทน

ต้วนเจียงซานจ้องภาพนั้นด้วยตวามตกใจ “พระเจ้า ! วิญญาณนี่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ด้วยหรือ ?”

ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ย “ขออภัยกับคำลวงเมื่อครู่ด้วย ข้าถูกขังอยู่ในคุกนี่นานเกินไป และเพื่อไม่ให้ตนต้องทนทุกข์กับความโดดเดี่ยวจึงทำให้ตนเองหลับลึกไป ก่อนจะตื่นขึ้นมาทุกพันปีเท่านั้น จนถึงตอนนี้ข้าตื่นมาแล้วทั้งหมด 36 ครั้ง เดิมทีข้าคิดว่าคงไม่อาจเป็นอิสระได้แล้ว จนกระทั่งพบพวกเจ้า…… เหล่ามนุษย์หนุ่มสาว ข้าเสียใจที่ข้าหลอกลวงพวกเจ้า ข้าขออภัยจากใจจริง ข้าเป็นเพียงชายชราที่ทำบาปมานับไม่ถ้วน แต่เวลา 3 หมื่น 6 พันปีก็นับเป็นเวลาที่ข้าได้สำนึกผิดแล้ว ตอนนี้ข้าเพียงต้องการหลบหนีไปจากความอ้างว้างอันขื่นขมเช่นนี้เสียเท่านั้น”

“ฉะนั้นท่านจะขอให้เราปล่อยท่านออกไปหรือ ?” จี้ลั่วอวี่ถาม

“ถูกต้อง” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ “กลไกบนหินนั่นเป็นกุญแจที่จะช่วยปลดปล่อยข้าออกจากแผ่นหินวิญญาณ หากเจ้าหมุนมัน ข้าก็จะเป็นอิสระ ข้าวิงวอนขอร้องพวกเจ้าจากใจจริง โปรดให้อภัยและปล่อยข้าไปเถอะ หากเจ้ายอมปลดปล่อยข้า ข้าจะยอมตกเป็นทาสอันภักดีของเจ้า เชื่อข้าเถอะ ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าปรมาจารย์อาร์คาน่าสมัยอาณาจักรยังรุ่งเรือง ข้าย่อมมีประโยชน์ไม่น้อยแน่”

ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ตาเป็นประกาย

ทุกคนต่างหันไปมองยังซูเฉิน

อย่างไรเรื่องนี้พวกเขาก็ต้องฟังความคิดเห็นจากซูเฉิน

จี้ลั่วอวี่ “ศิษย์พี่ซู ท่านชื่นชอบความรู้มากไม่ใช่หรือ ? หากให้ชายชชราผู้นี้ติดตามท่าน ก็คล้ายกับได้สารานุกรมเดินได้มาคนหนึ่ง ได้รับความรู้เรื่องวิชาโบราณอาร์คาน่าทั้งหลายไม่จบสิ้น”

“โดยมีข้อแม้ว่าพวกเราต้องรอดออกไปให้ได้เสียก่อน” ซูเฉินตอบ

ทุกคนตะลึงไป

ผ้าเท่อลั่วเค่อรีบเอ่ย “ข้าเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่อาจแตะต้องสิ่งใดได้ ไม่อาจทำร้ายพวกเจ้าได้หรอก”

เยว่หลงซาอดเอ่ยขึ้นมาบ้างไม่ได้ “ใช่แล้ว เขาจับต้องสิ่งใดไม่ได้ แล้วจะทำร้ายเราได้อย่างไร ?”

“เขาจับต้องวัตถุไม่ได้หมายความว่าเขาไร้ความสามารถอื่นหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะเย็นชา “แล้วที่เปลี่ยนร่างเมื่อครู่ได้เล่า ?”

เยว่หลงซาชะงักไป “เจ้าหมายความว่า……”

“เขารู้มากกว่าที่เจ้าคิดเยอะ” ซูเฉินเอ่ย “ไม่เช่นนั้นเขาจะสื่อสารกับเราได้อย่างไร ? คนเช่นเขาที่รู้ภาษามนุษย์ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ดูถูกไม่ได้เป็นอันขาด”

ทุกคนพลันฉุกคิดว่าพวกตนคล้ายกับจะมองข้ามเรื่องบางอย่างไป ผ้าเท่อลั่วเค่อผู้นี้ใช้ภาษาเดียวกับพวกเขาในการสื่อสารมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว