ภาคที่ 2 บทที่ 178 ผู้คุม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 178 ผู้คุม

เสียงที่พลันดังขึ้นเสียงนี้ทำให้ทุกคนตกใจไป

ทุกคนค่อย ๆ หันมาพร้อมกัน พวกที่มีอาวุธก็เตรียมเงื้ออาวุธ ส่วนคนที่ไม่มีก็เตรียมรวมพลังต้นกำเนิด ไม่ว่าจะมีอาวุธหรือไม่ต่างก็เตรียมพร้อมต่อสู้กันทั้งสิ้น

แต่เมื่อหันมาทางต้นเสียงก็พบว่าผู้พูดไม่ใช่คนจริง ๆ

ไม่ห่างออกไปนักมีโต๊ะหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนนั้นมีแผ่นหินสีเทาแผ่นหนึ่งวางอยู่ ทั้งตัวโต๊ะหินและแผ่นหินสีเทาเต็มไปด้วยลายสลักสลับซับซ้อนงดงามยิ่ง แผ่กลิ่นอายลึกล้ำออกมา

เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาเห็นว่ามีภาพ 3 มิติของคนผู้หนึ่งกำลังฉายลอยอยู่บนโต๊ะหิน

เขาสวมชุดคลุมเวทย์เผ่าอาร์คาน่า ในมือถือไม้เท้าสามหัวรูปร่างคดเคี้ยว ไม่สูงมากนัก มีนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม แน่นอนว่าเป็นเผ่าอาร์คาน่าไม่ผิดแน่

“เกิดอะไรขึ้น ?” ทุกคนค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โต๊ะหินตัวนั้น

ซูเฉินเหลือบมองแผ่นหินและโต๊ะหิน สังเกตว่าลายสลักบนโต๊ะนั้นลากยาวลงมาจนถึงที่พื้น จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปคล้ายกับใยแมงมุม เขาพลันเข้าใจสถานการณ์ เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ดูท่าท่านจะเป็นกลไกควบคุมกลางของที่นี่กระมัง”

กลไกควบคุมกลาง ?

ได้ยินแล้วทุกคนจึงเข้าใจสถานการณ์ในพลัน

ก่อนหน้าตอนที่กำลังเดินทางขึ้นเขามา ค่ายกลพลังต้นกำเนิดสามารถปรับเปลี่ยนไปได้เองครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายกับมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาคอยควบคุมอยู่ หากแต่เวลาผ่านไป 3 หมื่น 6 พันปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้

แต่ตอนนี้สาเหตุแห่งความลึกลับนั่นกลับมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

จี้ลั่วอวี่มองภาพสามมิติเผ่าอาร์คาน่าผู้นั้นด้วยสายตาตกตะลึง “นี่น่ะหรือกลไกควบคุมกลาง ? เขาเป็นตัวอะไรกัน ? จิตวิญญาณเครื่องมือหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “แม้เครื่องมือต้นกำเนิดระดับสูงมักจะมีจิตวิญญาณเครื่องมือสถิตอยู่ แต่ก็มีหลังจากที่อาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลายไปแล้วเท่านั้น คนตรงหน้าเราไม่น่าจะใช่จิตวิญญาณเครื่องมือ คิดว่าคงเป็นผีหรือไม่ก็วิญญาณเสียมากกว่า เป็นวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในกลไกควบคุมนี้”

ได้ยินแล้วทุกคนก็หันมองภาพ 3 มิตินั่นด้วยความตกตะลึง

ภาพ 3 มิติเผ่าอาร์คาน่าที่ฉายขึ้นมากระตุกเล็กน้อย “เช่นนั้นอาณาจักรอาร์คาน่าถูกทำลายไปแล้วหรือ? เช่นนั้นตอนนี้ทวีปต้นกำเนิดก็คงมีมนุษย์เป็นผู้ปกครองสินะ”

“จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แล้วท่านเป็นใครกัน ? เหตุใดจึงมาอยู่ในแผ่นหินนี่ ?” ต้วนเจียงซานถาม

“ข้า……” บนใบหน้าจองภาพ 3 มิตินั่นปรากฏแววสับสน

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ข้าคิดว่าตนเองมีนามว่าอีไหลเอิน อีไหลเอินหลานป๋อเอิน เป็นผู้ช่วยของนายท่านผ้าเท่อลั่วเค่อผู้ยิ่งใหญ่…… ขออภัยด้วย แต่ข้าอยู่ที่นี่นานเกินไปจนเกือบจะจำชื่อตนเองไม่ได้เสียแล้ว”

“แต่ก็ยังไม่ลืมวิธีสร้างปัญหาให้พวกข้า” อวี๋เมิ่งหนานกอดอกแล้วเอ่ยเหน็บ

“โอ้ เจ้าหมายถึงเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้หรือ ? ถูกต้อง เป็นฝีมือข้าเอง” อีไหลเอินหลานป๋อเอินตอบ “แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไร้ประโยชน์”

“รวมทั้งเรื่องเผ่าคนเถื่อนด้วยหรือไม่ ?” ซูเฉินเอ่ย

เผ่าคนเถื่อน ? เกิดอะไรขึ้นกับเผ่าคนเถื่อนหรือ ?

ทุกคนต่างสับสนมึนงง

อีไหลเอินหลานป๋อเอินตอบ “ถูกต้อง ข้าเป็นคนปิดค่ายกลพลังต้นกำเนิดรอบเขา พวกนั้นจะได้ไล่ตามเจ้ามาได้”

“ว่าไงนะ ?” ต้วนเจียงซานอารมณ์พลุ่งพล่านในพลัน “เช่นนั้นพวกเผ่าคนเถื่อนตามเรามาทันได้ก็เพราะท่านหรือ ? บัดซบ !”

เพิ่งจะเป็นตอนนี้ที่ต้วนเจียงซานรู้ว่าสาเหตุที่เผ่าคนเถื่อนไล่ตามมาได้รวดเร็วนักเป็นเพราะเช่นนี้

เขาพุ่งเข้าไปหมายทำลายภาพ 3 มิตินั้น หากแต่ภาพของอีไหลเอินหลานป๋อเอินกลับสลายไปเพียงครู่หนึ่งยามต้วนเจียงซานสะบัดมือผ่าน จากนั้นก็ไม่มีอันใดเกิดขึ้นอีก

“พอแล้วเจียงซาน สู้กับวิญญาณไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งกับวิญญาณที่ถูกกักขังมานาน 3 หมื่นกว่าปีเช่นเขา”

“อี้กู่ตายเพราะเขานะ !” ต้วนเจียงซานตอบ

“ข้ารู้ แต่ทำเช่นนั้นไปก็เอาอี้กู่กลับมาไม่ได้ อีกอย่าง เขาเป็นเจ้าของที่นี่ มีสิทธิ์ไม่เปิดทางเข้าให้เราอยู่แล้ว เดิมทีเราก็เป็นผู้บุกรุก จะโทษที่เขาไม่ต้อนรับคงไม่ได้หรอก” ซูเฉินพูดขึ้นช้า ๆ

ทุกคนชะงักกับคำของซูเฉิน อีไหลเอินหลานป๋อเอินเองก็ยิ้มออกมา “ข้ายินดีนักที่ได้พบกับคนที่คุยกันด้วยเหตุผล พวกเราคงจะคุยกันสนุกเป็นแน่”

“จะสนุกหรือไม่ อย่างไรท่านก็หยุดเราไม่ได้” ต้วนเจียงซานคำราม “พวกเราจะขนสมบัติที่นี่ไปให้หมด”

“เจ้าหมายถึงของพวกนี้หรือ ?” อีไหลเอินหลานป๋อเอิน ยิ้มบาง “หากพวกเจ้าต้องการของเหล่านี้เพียงอย่างเดียวข้าก็ไม่ขัดขวาง”

“หืม ?” ต้วนเจียงซานชะงักไป

อีไหลเอินหลานป๋อเอินหัวเราะ “ก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นเพียงวิญญาณที่ตายมาแล้ว 3 หมื่นกว่าปี ที่ยังอยู่ที่นี่ได้เป็นเพราะเหตุการณ์ไม่ปกติบางอย่างเท่านั้น ข้าไม่สนใจสมบัติเหล่านั้นหรอก ข้าไม่ต้องใช้มันอีกต่อไป”

“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ปล่อยให้พวกเราเข้ามาเล่า ?” เยว่หลงซาถาม

“ข้าเพียงไม่อยากให้พวกเจ้าทำความผิดใหญ่หลวง” อีไหลเอินหลานป๋อเอินเอ่ย “เจ้าหวังสมบัติหรือ ? ไม่ว่าจะสิ่งใดก็นำไปได้เลย สิ่งเดียวที่พวกเจ้าไม่ควรแตะต้องคือก้อนผลึกนั่น”

“มันคือสิ่งใด ?” อวี๋เมิ่งหนานถาม

“กุญแจ”

“เป็นกุญแจอะไรกัน ?” จี้ลั่วอวี่ถามขึ้น

อีไหลเอินหลานป๋อเอินโบกมือคราหนึ่ง ทำให้ผนังที่อยู่ไม่ห่างไปนักก็เริ่มโปร่งแสงขึ้น

ทุกคนมองเข้าไป ต่างเห็นว่าด้านในมีสิ่งชีวิตรูปร่างประหลาดอยู่ในนั้น

รูปร่างมันแปลกเป็นเพราะมันคล้ายกับกองโลหะวางทับถมกันเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะบนกองเหล็กนั่นมีปากละก็ พวกเขาก็คงคิดว่ามันเป็นเพียงกองเหล็กกองหนึ่งเท่านั้น

“คือสิ่งใดกัน ?”

“ฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อ !” อีไหลเอินหลานป๋อเอินถอนใจ “เจ้าอาจคิดว่ามันไม่แข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่เชื่อคำข้า มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่นี่แล้ว หากเจ้าปลดปล่อยมันสู่ภายนอก ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี เจ้านี่จะต้องครองทวีปต้นกำเนิดได้เป็นแน่”

ทุกคนมองหน้ากัน

ซูเฉินถาม “มันคือสิ่งใดกันแน่ ?”

“เป็นสิ่งมีชีวิตผสมจากห้องทดลองของผ้าเท่อลั่วเค่อ ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำตามความใฝ่ฝันของเรา” อีไหลเอินหลานป๋อเอินตอบ “สิ่งมีชีวิตนี้ไม่อาจทำลายลงได้ ไม่ว่าจะใช้ไฟหรือน้ำหรือวิธีต่าง ๆ มันก็ไม่ตาย อีกทั้งยังกินไม่รู้จักอิ่ม เหล็ก พืชพันธุ์ แร่ มันกินได้ทุกอย่าง และเมื่อมันกินจนถึงระดับหนึ่งมันก็จะคายออกมา แยกร่างออกมาเป็น 2 ตัว 4 ตัว และแยกร่างเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด……”

ซูเฉินและคนอื่น ๆ อึ้งไป

ไม่แปลกที่อีไหลเอินหลานป๋อเอินกล่าวว่ามันเป็นฝันร้าย หากสิ่งมีชีวิตเช่นนี้หลุดออกมาละก็ ต้องเกิดภัยใหญ่แน่

“เหตุใดพวกท่านจึงทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเจ้าตัวพวกนี้ด้วย ?” ต้วนเจียงซานถามเสียงโกรธ

“ทำไมน่ะหรือ ? ก็เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะขึ้นมาอย่างไรเล่า” อีไหลเอินหลานป๋อเอินถอยหายใจ

สิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ ?

สิ่งนี้คือจุดมุ่งหมายของเจ้าของห้องทดลองแห่งนี้สินะ

อีไหลเอินหลานป๋อเอินเอ่ย “ผ้าเท่อลั่วเค่อใฝ่ฝันว่าตนจะสามารถไขว่คว้าความเป็นนิรันดร์ได้ เขาเป็นปรมาจารย์ด้านชีวภาพศาสตร์ ทำการทดลองมานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็ได้เป็นฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อออกมา หากแต่มันยังไม่ใช่ต้นแบบดั้งเดิม เดิมทีมันมีชื่อว่าฝันแห่งนิรันดร์ นับเป็นความหวังและความฝันทั้งหมดของพวกเราก็ว่าได้”

“ในตอนนั้นเราค้นพบแล้วว่าพลังชีวิตของเรามาจากสสารพื้นฐานในร่างกายของเราเอง การขยายพลังของสิ่งมีชีวิตขึ้นอยู่กับว่าสสารพื้นฐานนั้นแยกตัวออกมาได้มากเพียงไหน และจำนวนในการแยกตัวของมันมีอยู่จำกัด ดังนั้นเราจึงมีอายุขัยจำกัด เราจึงพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตที่สามารถแยกสสารตัวนี้ได้อย่างไม่จำกัดจำนวนครั้งขึ้นมา จากนั้นก็สกัดพลังออกจากมัน”

“เราทำสำเร็จ แต่ก็ล้มเหลวไปพร้อมกัน สิ่งมีชีวิตนั้นมีความสามารถในการแยกสสารอย่างไม่จำกัดก็จริง แต่จะทำเช่นนั้นได้มันต้องกลืนกินทุกสิ่งอย่างตรงหน้ามัน ทว่าเมื่อเราค้นพบปัญหานี้มันก็สายไปเสียแล้ว”

ใบหน้าของเขาเผยแววหวาดกลัวขึ้น “เราเริ่มแตกตื่นและพยายามหาทางทำลายมันทิ้ง แต่ถึงตอนนั้นเรื่องทุกอย่างก็อยู่เหนือการควบคุมไปแล้ว……”

ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมาเขาจึงเอ่ยต่อ “พวกเราพยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจสังหารมันได้ อีกทั้งยังถูกมันโจมตีจนบาดเจ็บหนัก สุดท้ายเราก็ทำได้เพียงขังมันไว้ในคุกนิรันดร์แห่งนี้ ส่วนข้าก็ถูกมันสังหารจากการต่อสู้เพื่อกักขังมัน ข้าลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองกลายเป็นดังที่พวกเจ้าเห็นแล้ว ดังนั้นข้าจึงยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้”

เรื่องราวเป็นมาเช่นนี้นี่เอง

“แล้วเผ่าอาร์คาน่าคนอื่น ๆ ที่รอดชีวิตเล่า ?” อวี๋เมิ่งหนานถาม

“พวกเขาคงจะจากไปกันหมดแล้วกระมัง ในเมื่อมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นเช่นนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำให้ตนเองปลอดภัยและนำสถานที่นี้ใส่ไว้ในพลังงานสูญเสีย ส่วนข้าก็มีหน้าที่คอยเฝ้าฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อไว้ คงจะเป็นเหตุผลที่พวกเขาฟื้นคืนชีพให้ข้าในร่างนี้ด้วย”

ฟังเขาอธิบายจนจบแล้ว ทุกคนก็พอเข้าใจว่าเพราะเหตุใดอีไหลเอินหลานป๋อเอินจึงลงมือทำเรื่องเช่นนั้นลงไป

เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้ามาได้ เป็นเพราะเขาเกรงกลัวว่าจะมีใครเผลอไปปล่อยเจ้าฝันร้ายนั่นออกมา

“ตราบเท่าที่เจ้าไม่สัมผัสก้อนผลึกนั่น ข้าก็ช่วยพวกเจ้าค้นหาสมบัติที่มีอยู่ในนี้ได้ ข้ารู้ว่าสมบัติถูกซ่อนไว้ที่ใดบ้าง”

ทุกคนได้ยินแล้วก็ตื่นเต้นยิ่งนัก

“ดีเลย !” จี้ลั่วอวี่พูดขึ้น “พวกเราตกลง !”

คนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับเช่นกัน

ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธคำของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

ซูเฉินเอ่ยขึ้น “แล้วสมบัติซ่อนอยู่ที่ใด ?”

“พ่อหนุ่มไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก” อีไหลเอินหลานป๋อเอินหัวเราะ “อย่างแรกเจ้าต้องหยิบแผ่นหินนี่ออกจากโต๊ะหินก่อน เห็นรูตรงนั้นหรือไม่ ? เจ้าเสียบแผ่นหินไว้ตรงนั้นแล้วหมุน 3 ครั้ง เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ”

“ตกลง” จี้ลั่วอวี่ตอบและกำลังจะคว้าแผ่นหินนั่นขึ้นมา

ซูเฉินหยุดเขาไว้ “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงขุมสมบัติงั้นหรือ ?”

“มันเป็นวิธีเปิดห้องสมบัติอย่างไรเล่า” อีไหลเอินหลานป๋อเอินตอบ

หากแต่ซูเฉินยังไม่หายระแวง ยังคงเอ่ยถามต่อ “ท่านเปิดเองไม่ได้ ?”

“ข้าเป็นเพียงวิญญาณ” อีไหลเอินหลานป๋อเอินตอบ “แม้จะมีความคิด แต่ก็ไม่สามารถจับต้องวัตถุใดได้”

“อ้อ เช่นนั้นหรือ ?” ชายหนุ่มพึมพำ

“คราวนี้จะลงมือได้หรือยัง ?” อีไหลเอินหลานป๋อเอินหัวเราะพลางถามซูเฉิน

จี้ลั่วอวี่กำลังจะเอื้อมมือคว้าแผ่นหินอีกครั้ง หากแต่ซูเฉินก็ยั้งเขาไว้อีกครา

ทุกคนมองซูเฉินด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนชายหนุ่มเองก็ก้มหน้าลงดูครุ่นคิด

อีไหลเอินหลานป๋อเอินเริ่มหมดความอดทน “เจ้าคิดอันใดของเจ้าน่ะพ่อหนุ่ม ? ไม่สนใจขุมสมบัติลับหรอกหรือ ?”

ซูเฉินเอ่ยช้า ๆ “ข้าเพียงกำลังคิดว่าหากท่านไม่สามารถจับต้องวัตถุใดได้ เช่นนั้นท่านจะควบคุมค่ายกลพลังต้นกำเนิดเหล่านั้นได้อย่างไร ? และหากทิ้งท่านไว้เฝ้าฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อทั้งที่ท่านไม่อาจทำสิ่งใดได้ แล้วมันจะมีประโยชน์ใดกัน ?”

อีไหลเอินหลานป๋อเอินชะงักไป

ทุกคนเองก็ชะงักไปเช่นกัน

ซูเฉินว่าต่อ “หากผู้คุมยังใช้กุญแจไม่ได้แต่อ้างว่าตนเป็นผู้คุมที่คอยดูแลคุกแห่งนี้ งั้นแล้วมันไม่ฟังดูน่าขันมากหรอกหรือ ?”

“หรือก็คือ ท่านไม่ใช่ผู้คุมกระมัง ? แต่ท่านเป็นนักโทษที่ถูกคุมขังเสียเอง ถูกต้องหรือไม่ ท่านปรมาจารย์ผ้าเท่อลั่วเค่อ !”