บทที่ 177 ก้อนผลึก
ในขณะที่กลุ่มคนพากันเดินผ่านโถแก้วขวดแก้วนับไม่ถ้วนและมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุดพวกเขาก็พบกับแท่นทดลองขนาดใหญ่
บนแท่นนั้นมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองอยู่ทุกประเภท ลองมองประเมินดูจากเครื่องมือทั้งหลายแล้ว ห้องนี้น่าจะเป็นห้องทำงานของปรมาจารย์อาร์คาน่าไม่ผิดแน่
“เครื่องวัดพันองศา ไม้วัดแปดฉื่อ กระจกต้นกำเนิด เข็มแห้งเหือด…… หึ มีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น” ซูเฉินกวาดตามองของต่าง ๆ แล้วเริ่มรู้สึกตื่นเต้น
หลาย ๆ อย่างเป็นของที่ซูเฉินอยากได้มาโดยตลอดแต่ไม่สามารถหามาใช้ได้ บางชิ้นก็เป็นของที่สูญหายไปหลังจากอาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลายลง
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของซูเฉินแล้ว จี้ลั่วอวี่ก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าไม่เข้าใจความคิดของคนผู้นี้จริง ๆ ไม่ต้องการสมุนไพรพันปี สมบัติโบราณล้ำค่า หรือวัตถุดิบหายากทั้งหลาย แต่กลับมองเครื่องมือไร้ค่าเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้นเสียอย่างนั้น”
เยว่หลงซาตอบ “เพราะสมุนไพรพันปี สมบัติโบราณล้ำค่า หรือวัตถุดิบหายากทั้งหลายเหล่านั้นมันได้ประโยชน์เพียงคนเดียวอย่างไรเล่า แต่สิ่งที่เขาต้องการจะช่วยเหลือคนนับพันได้”
เยว่หลงซายังรู้สึกซาบซึ้งกับความนึกคิดของซูเฉินอยู่
หากแต่ซูเฉินกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้มีจิตใจกว้างขวางอย่างที่เจ้าคิดหรอกหลงซา ข้าเพียงรู้สึกว่าสมุนไพรพันปี สมบัติโบราณล้ำค่า หรือวัตถุดิบหายากพวกนั้น อย่างไรในใต้หล้านี้ก็ยังมีอยู่ ใช้เงินซื้อหามาได้บ้าง หากเป็นสิ่งที่สามารถใช้เงินซื้อได้แล้ว สิ่งของเหล่านั้นก็จะมีมูลค่าจำกัด” ที่
“และข้าต้องการคือสิ่งที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาแทนได้ อีกทั้งยาล้ำค่าและวัตถุดิบเหล่านี้เมื่อใช้แล้วก็หมดไป แต่ที่ข้าต้องการคือการสรรสร้างบางอย่างขึ้นมา เป็นความสามารถในการสร้างสมบัติล้ำค่าขึ้นมาด้วยมือของตนเองที่มีมูลค่าอย่างแท้จริง และที่สำคัญที่สุดคือพวกระดับสูงจะไม่มานั่งสนใจของเหล่านี้ ส่วนสมุนไพรพวกนั้นเป็นของล้ำค่า อย่างไรก็ส่งทำการส่งมอบให้พวกเขา ของที่พวกเขามองว่าเป็น ‘กากเดน’ ข้าก็สามารถเก็บไว้เองได้”
ซูเฉินเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาแล้วคลี่ยิ้มบาง
ยอดขายตำราเปิดพลังไคฮวงนั้นพุ่งขึ้นสูงมากจนกระทั่งซูเฉินมีเงินร่ำรวยระดับเศรษฐี ดังนั้นมุมมองต่อโลกของเขาจึงกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย
ตั้งแต่นั้นมา เขาก็พบว่าหากตนเองเลือกประเมินสิ่งของใด ๆ จากราคาของมันแล้ว การค้นสมบัติในซกโบราณยิ่งได้เงินน้อยกว่าการขายข้อมูลเสียด้วยซ้ำ
อารามนิรันดร์เสียเวลาและทรัพยากรไปมากเพื่อไขว่คว้าเอาดอกซากวิญญาณเหล่านั้นมา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงเรื่องของหินพลังต้นกำเนิด 100 ล้านก้อนเท่านั้น
หรือก็คือการที่สามารถบีบให้อารามนิรันดร์ยอมเชื่อฟังคำได้โดยใช้ ‘เพียง’ หินพลังต้นกำเนิด 100 ล้านก้อนเท่านั้น
และด้วยเหตุผลเดียวกันนั้นเอง อาณาจักรหลงซางและชนเผ่ากิ้งก่ากรวดต่างเต็มใจส่งคนมากฝีมือ 80 คนเข้าไปต่อสู้แย่งชิงสมบัติในซากโบราณ สมบัติเหล่านั้นมีค่ามากเพียงไรกัน ?
ซูเฉินลองประเมินดูแล้ว หากนำมูลค่าทรัพยากรทั้งหมดมารวมกันแล้วก็จะได้ประมาณหินพลังต้นกำเนิดราว 200 หรือ 300 ล้านก้อน
หากเทียบกันแล้ว ความรู้นั้นดู ‘ไร้ค่า’ ไปเลย แต่หากนำความรู้ไปใช้ในทางที่ถูกที่ควรแล้ว จากไร้ค่าก็จะกลายเป็น ‘ล้ำค่า’ จนสามารถนำไปสร้างเงินได้ในจำนวนเท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นซูเฉินจึงตื่นเต้นยิ่งนัก
ส่วนเรื่องที่เยว่หลงซาบอกว่าเขาต้องการทำในสิ่งที่ช่วยเหลือผู้คนมากมายนั้นก็ไม่ใช่ว่าผิดไปเสียทั้งหมด
เขาอยากทำเรื่องนั้นให้สำเร็จด้วยใจจริง จริง ๆ แล้วไม่ว่าใครที่ไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายจนเกินไปก็อยากทำเรื่องเช่นนั้นกันทั้งสิ้น
หากแต่มันไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ชายหนุ่มต้องการลงมือทำสิ่งนี้ ไม่ได้หมายความว่ายามทำสิ่งใดเขาจะต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมไปเสียทุกอย่าง หากจะกล่าวว่าเขาคิดทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่ทำให้เผ่ามนุษย์ก้าวหน้าขึ้นก็คงจะฟังดูมีเหตุผลมากกว่า
และที่สำคัญคือเขาไม่อยากให้ผู้อื่นยกย่องเขาจนสูงส่งเกินไป
หากคนอื่นปฏิบัติกับเขาเช่นพ่อพระ เช่นนั้นเขาจะขยับไปทางใดก็ต้องทำตัวเช่นพ่อพระ แล้วซูเฉินจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ?
กระทั่งโยนขยะลงพื้นชิ้นเดียวก็จะถูกรอบข้างตราหน้า กลายเป็นความผิดร้ายแรงใหญ่หลวงได้แล้วกระมัง
ดังนั้นซูเฉินจึงพยายามหักล้างคำของเยว่หลงซา และแสดงให้เห็นว่าที่เขาทำลงไปเป็นเพราะความสนใจส่วนตัวเป็นหลัก
ได้ยินซูเฉินกล่าวเช่นนั้นแล้ว เยว่หลงซาก็ชะงักไป “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ ?”
“เจ้าผิดหวังหรือไม่ ?” ซูเฉินหัวเราะ
น่าแปลกที่เยว่หลงซายิ้มออกมา “ไม่เลย ข้าดีใจที่ได้ยินเจ้าว่าเช่นนั้น”
“ดีใจ ?” ครั้งนี้เป็นซูเฉินที่ชะงักไป
“ถูกต้อง ข้าดีใจ เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ที่แบกภาระหนักหน่วงของใต้หล้าไว้บนบ่า ดังนั้นยามยืนเทียบเจ้าแล้วจึงรู้สึกด้อยค่าน่าละอายอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก ยังใส่ใจผลประโยชน์ส่วนตน ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก นี่คือซูเฉินในแบบที่ข้าอยากให้เป็น” เยว่หลงซาค่อย ๆ เอ่ย
เวรแล้ว !
แม้คำพูดของนางจะไม่ซับซ้อน น้ำเสียงเองก็ฟังดูอ่อนโยนและมีไหวพริบ เหตุใดจึงรู้สึกว่าเบื้องหลังคำของนางมีสิ่งใดแฝงไว้กันแน่ ?
จิตใจซูเฉินสะท้านไปเล็กน้อย
ต้วนเจียงซานและเหล่าผีไม่ใช่คนประณีตเท่าไรนัก ดังนั้นจึงไม่อาจรับรู้ถึงความนัยของเยว่หลงซาได้ พวกเขาหันไปหัวเราะกัน “ถูกต้อง ! ถูกต้อง ! เช่นนี้ซูเฉินจะได้เหมือนมนุษย์ปกติธรรมดาเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีสิ่งใดคล้ายเขาเลยกระมัง ?”
อวี๋เมิ่งหนานคล้ายจะสัมผัสบางอย่างได้ แต่นางไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
แต่น่าแปลกที่ประโยคของจี้ลั่วอวี่ที่เอ่ยมาอย่างไม่คิดอันใดมากกลับแทงตรงจุดเข้าอย่างจัง “ถูกต้องแล้ว ! เดิมทีศิษย์พี่ซูเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องทดลอง ข้าก็นึกว่าเขาชอบเก็บตัวเสียอีก แต่ที่จริงเป็นเพราะมีจุดมุ่งหมายนี่เอง ? ใช่แล้ว พวกเราต่างก็เป็นคนหนุ่มสาว ต้องมีเวลาหาความสุขใส่ตัวบ้าง หากไม่หาแม่นางสักหลาย ๆ คนหรือไม่ไปย่านบุปผาเสียบ้าง (1) เช่นนั้นจะนับเป็นการใช้ชีวิตในวัยหนุ่มให้เต็มที่ได้แล้วหรือไร ?”
ซูเฉินใจสั่นไปเล็กน้อย เริ่มเข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมา
ผีเยวี๋ยนหงยกมือขึ้นหวดเข้าที่ท้ายทอยจี้ลั่วอวี่ทีหนึ่งอย่างไม่จริงจังนัก “เจ้ามีดีแต่พูดอะไรไร้สาระ ในหัวเจ้าคิดอะไรอยู่กัน ?”
หลังจากเวลาผ่านไป บาดแผลเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เรี่ยวแรงกลับมาเล็กน้อย หากแต่แรงหวดเมื่อครู่ก็ยังทำให้จี้ลั่วอวี่ร้องเสียงดังออกมาอยู่ดี
เช่นนี้แล้ว ซูเฉินก็ไม่ได้เอ่ยคำใดมาก เพียงแต่เอ่ยว่า “ปล่อยเจ้าพวกนี้ให้ข้าจัดการเถอะ พวกเจ้าไปสำรวจตรงอื่นว่ามีสมบัติเหลืออยู่อีกหรือไม่”
พูดจบเขาก็เดินไปยังแท่นทดลองและเริ่มเก็บบันทึกการทดลองและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่วางอยู่บนนั้น
เมื่อเห็นว่าซูเฉินหันหลังกลับไปแล้ว เยว่หลงซาก็ถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะออกตามหาสมบัติอื่น ๆ ภายในห้องทดลองต่อ
อาจเป็นเพราะที่นี่คือห้องทดลองของปรมาจารย์อาร์คาน่า ดังนั้นภายในห้องจึงมีของล้ำค่าอยู่มากมาย ข้าง ๆ โต๊ะมีตู้สูงอยู่ตัวหนึ่ง ในลิ้นชักมีแต่วัตถุดิบมีค่ามากมาย สมุนไพรวิญญาณนั้นแห้งเหี่ยวจนไม่อาจใช้การได้อีก แต่หากเป็นของที่ไม่มีพลังชีวิตอยู่ภายใน เช่นแร่เหล็กหายาก ก็ยังนับว่าใช้การได้อยู่
“แร่ดาว ศิลาเย็นยะเยือก ผงดารา…… ฮ่า ที่นี่มีแต่ของดีทั้งนั้นเลย !” ต้วนเจียงซานและผีเยวี๋ยนหงร้องขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
เยว่หลงซาเปิดหีบหนึ่งขึ้นแล้วพบหนังอยู่ด้านใน
เป็นหนังสีโลหิตแดงฉาน มีอักขระสลับซับซ้อนสลักอยู่ทั่ว เมื่อนางยกมันขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณอันลึกล้ำที่แผ่ออกมาจากมัน
หนังแผ่นนี้ยังมีพลังเหลืออยู่ !
เวลาผ่านไปแล้ว 3 หมื่น 6 พันปีแต่มันยังกักเก็บพลังชีวิตไว้ได้อีก
เยว่หลงซารู้ดีว่าเช่นนี้ไม่ได้หาได้ง่ายนัก นางรีบเก็บมันไปทันที จากนั้นเดินทางหาสมบัติอื่น ๆ ต่อไป
จี้ลั่วอวี่เห็นของชิ้นหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง
สิ่งที่เขาเห็นคือก้อนผลึกก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเขานัก
ปรมาจารย์อาร์คาน่าในครั้งโบราณมักใช้ก้อนผลึกเหล่านี้เพื่อทำการร่ายเวทย์ ดูท่าก้อนผลึกพิเศษเหล่านี้จะไม่ได้มีความสามารถในการเหนี่ยวนำพลังต้นกำเนิดได้เพียงอย่างเดียว แต่พวกมันยังสามารถจดจำพลังต้นกำเนิด ทำให้เมื่อใช้วิชาโบราณอาร์คาน่าแล้วจะได้ผลพิเศษออกมาด้วย
ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นก้อนผลึกวิชาอาร์คาน่า
จี้ลั่วอวี่ยื่นมืไป หมายจะคว้าก้อนผลึกนั่น
เป็นตอนนั้นเองที่มีน้ำเสียงไม่คุ้นหูพลันดังขึ้น “ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่แตะต้องมัน”
เชิงอรรถ
ย่านบุปผา หรือ ย่านโคมแดง