ภาคที่ 2 บทที่ 176 การทดลองทางชีววิทยา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 176 การทดลองทางชีววิทยา

การฟื้นฟูร่างในระดับชีววิทยาเช่นมนุษย์หรือ ?

หุ่นเชิดที่สร้างจากเหล็กและค่ายกลพลังต้นกำเนิดจะมีความสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างไร ?

นี่มันเรื่องน่าขันอันใดกัน ?

หากแต่เรื่องจริงได้เกิดขึ้นให้เห็นตรงหน้าไปแล้ว หุ่นเชิดทมิฬสองตัวกระโดดเข้ามา ใบมีดที่แขนส่องล้อแสงจันทร์

วิถีการต่อสู้ของพวกมันนั้นดุดันยิ่ง ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด จุดด้อยเพียงอย่างเดียวคงมีแต่ท่าโจมตีที่มีอยู่ท่าเดียวของมัน นั่นคือการใช้ใบมีดที่แขนทั้งสองฟาดฟันใส่ศัตรู แต่เมื่อควบรวมกับความสามารถในการฆ่าไม่ตายของมันแล้วก็นับว่ารับมือยากไม่น้อย

ฟ้าว ! ฟ้าว ! ฟ้าว ! ฟ้าว !

ต้วนเจียงซานยังคงปล่อยดาบทลายขุนเขาแปดกระบวนท่าออกไปอีก 4 ท่า ล้มหุ่นเชิดไปได้ 4 ครั้ง แต่มันก็ลุกกลับขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้งเช่นกัน

“บัดซบ เจ้าพวกนี้ฆ่าไม่ตายเลยหรือไร ?” ต้วนเจียงซานคำรามขึ้น

“ไม่มีสิ่งใดฆ่าไม่ตายหรอก” ซูเฉินตอบ “แต่หากแกนพลังในร่างมันยังอยู่ มันก็จะสามารถฟื้นฟูตนเองได้ไปตลอด”

“เจ้าบอกว่ามันมีความสามารถในการฟื้นฟูตนเองไม่ใช่หรือ ? แล้วเหตุใดมันจึงยังต้องใช้แกนพลังด้วยเล่า ?” ต้วนเจียงซานถาม

“เพราะพวกมันคือหุ่นเชิดอย่างไร ไม่ใช่ว่าควรมีแกนพลังอยู่ภายในหรอกหรือ ?” ซูเฉินตอบกลับ

ต้วนเจียงซานเถียงไม่ออก อึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนตะโกนขึ้นมา “หงุดหงิดจริง !” จากนั้นก็ฟาดดาบออกไปอีกครา

เยว่หลงซาและอวี๋เมิ่งหนานได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ก็หัวเราะ พวกนางยืนมองสถานการณ์อย่ด้านข้างโดยไม่เข้าไปขัดอันใด

สุดท้ายเป็นจี้ลั่วอวี่ที่เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลาย เร่งมือหน่อยเถอะ ! อีกไม่นานพลังงานสูญก็จะทลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ซูเฉินเห็นด้วย “ดูท่าเราจะรอให้พลังงานมันหมดลงเองไม่ได้เสียแล้ว…… หุ่นเชิดเช่นนี้ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์อาณาจักรอาร์คาน่ามาก่อน ซึ่งก็หมายความว่าพวกมันไม่ใช่ผลงานที่ออกมาสมบูรณ์ อย่างไรก็ต้องมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่”

“เป็นจุดอ่อนประเภทใดกัน ?” ทุกคนเอ่ยถามขึ้น

ซูเฉินพึมพำกับตนเอง ซัดพลังโต้เจ้าหุ่นเชิดกลับไป “จุดอ่อนประเภทนี้ควรจะดูออกไม่ยากนัก อีกทั้งยังใช้ประโยชน์ได้ง่าย ไม่เช่นนั้นก็คงมีการผลิตมันออกมามากมายแล้ว…… หากเป็นเช่นนั้น…… ยังมีวิชาใดที่เรายังไม่ได้ลองอยู่บ้าง……”

ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาก็ส่องประกายวาบ เขาจ้องหุ่นเชิดทมิฬเขม็ง ก่อนจะส่งการโจมตีจิตเข้าใส่มัน

การโจมตีจิตเรียบง่ายเช่นนี้ หากคนที่มีพลังจิตเป็นปกติธรรมดาก็จะสามารถต้านได้ไม่ยาก กระทั่งคนธรรมดายังสามารถรอดพ้นไปได้บ้าง แต่เมื่อหุ่นเชิดทมิฬถูกการโจมตีเรียบง่ายนี้เข้าไป มันก็หยุดเคลื่อนไหว เซไปเซมา แล้วล้มคว่ำลงในพลัน

ครั้งนี้มันไม่ลุกขึ้นมาอีก

“นี่มันเรื่องอันใดกัน !” ต้วนเจียงซานเห็นแล้วชะงักไป

อวี๋เมิ่งหนานเองก็ส่งการโจมตีจิตออกไปเช่นกัน หุ่นเชิดที่ต้วนเจียงซานกำลังประมืออยู่ล้มคว่ำลงเช่นกัน

“พวกมันแพ้วิชาโจมตีจิตสินะ” ซูเฉินเอ่ยขึ้น

“เหตุใดหุ่นเชิดจึงกลัววิชาโจมตีจิตเล่า ?” ต้วนเจียงซานชะงักค้างไป

หุ่นเชิดควรเป็นสิ่งของที่ไร้ชีวิต ดังนั้นการที่แพ้วิชาโจมตีจิตจึงฟังดูไร้เหตุผลมาก เพราะวิชาประเภทนี้ส่งผลเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

“เพราะพวกมันไม่ใช่เพียงหุ่นเชิด…… พวกมันเป็นหุ่นเชิดที่ถูกสริมพลังชีวิตเข้าไป” ซูเฉินตอบ

เขาใช้มือต่างดาบ สับเปิดร่างหุ่นเชิดออกมา ด้านในเห็นว่ามีอวัยวะหลายอย่าง อีกทั้งยังมีชิ้นส่วนกลไกหน้าตาประหลาดอยู่ด้วย

การวิเคราะห์ของซูเฉินถูกต้อง หุ่นเชิดเหล่านี้ถูกปรับแต่งจนไม่อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งหรือหุ่นเชิดกันแน่

พริบตาต่อมา ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้าก็ทำเอาทุกคนตกตะลึงไป

ทุกคนเห็นว่าร่างของหุ่นเชิดทั้งสองตัวเริ่มหลอมละลายกลายเป็นกองกากโลหะ ซึ่งไม่นานก็หลอมกลายเป็นกองของเหลวสีเหลืองคล้ำ เหลือไว้เพียงชิ้นส่วนกลไกและผลึกแก้วต้นกำเนิดชิ้นหนึ่งที่ทำหน้าที่ให้พลังงานเท่านั้น

ซูเฉินหยิบผลึกแก้วต้นกำเนิดขึ้นมาตรวจสอบดู เป็นผลึกแก้วระดับสูงพอสมควร อยู่ในระดับที่ได้มาจากอสูรกายระดับเจ้าอสูรกายเป็นอย่างน้อย

ดูท่าการผลิตหุ่นเชิดเหล่านี้ขึ้นมาต้องใช้เงินมากมายนัก

หุ่นเชิดเหล่านี้มีต้นทุนสูงแต่กลับมีจุดอ่อนร้ายแรง ไม่แปลกที่ไม่ถูกนำมาผลิตต่อ

เขาโยนผลึกแก้วต้นกำเนิดให้จี้ลั่วอวี่ “เจ้าเอานี่ไปเสีย น่าจะแลกคะแนนผลงานได้บ้าง ส่วนของพวกนี้ข้าจะเก็บเอาไว้”

เขาเก็บชิ้นส่วนหุ่นเชิดไปทั้งหมด วางแผนจะนำพวกมันกลับไปศึกษาทดลองในภายหลัง

เมื่อไร้หุ่นเชิดทมิฬทั้งสองคอยขวางทางแล้ว กลุ่มคนทั้งหมดก็เดินผ่านห้องใหญ่นั่นไป แล้วพบกับพื้นที่แดกว้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ฝั่งตรงกันข้าม

ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ในห้องทดลองขนาดยักษ์

เมื่อเดินเข้าไป พวกเขาก็เห็นขวดแก้ววางเรียงรายกระจายเต็มทั่วห้อง

การทำขวดแก้วหรือขวดยาจากแก้วในสมัยอาณาจักรอาร์คาน่านั้นนับว่าเป็นเรื่องซับซ้อนไม่น้อย มักต้องใช้ต้นทุนสูง หากแต่ห้องทดลองแห่งนี้กลับมีขวดแก้วอยู่เต็มไปหมด

ในขวดแก้วขนาดใหญ่เหล่านั้นล้วนเป็นตัวอย่างทางชีวภาพทั้งหลาย

มีทั้งหัววัว ลำตัวม้า เขากวาง กระดองเต่า ชิ้นส่วนครึ่งมนุษย์ครึ่งหมาป่า เหยี่ยวหัวเป็นม้า และสิ่งที่มีหน้าตาไม่น่าอภิรมย์อีกหลากหลายอย่าง

พวกเขาเห็นมนุษย์หน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งที่มีหน้าท้องยื่นออกมา ภายใต้ผิวหนังที่โปร่งแสงเห็นไปถึงภายในคือหนวดแปดหนวดที่ไม่น่าใช่มนุษย์อยู่ในท้องนั่น

พวกเขาเห็นหัวของเผ่าคนเถื่อนที่ถูกหั่นออกจากร่าง มีท่อและสายต่าง ๆ หน้าตาแปลกประหลาดมากมายโยงอยู่ คล้ายกับเป็นท่อเหล่านี้ที่ทำให้เผ่าคนเถื่อนยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

พวกเขายังพบชิ้นส่วนของเผ่าช่างฝีมือ เผ่านี้มีร่างกายอ่อนแอยิ่งกว่าเผ่าอาร์คาน่า แต่มีมือที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วแม่นยำนัก เกิดมามี 6 นิ้ว แต่ละนิ้วสามารถงอได้จนสุด เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หากแต่ตอนนี้กลับมีปีกคู่หนึ่งที่เป็นของเผ่าปักษางอกออกมาจากหลัง ปีกขนาดใหญ่โอบล้อมร่างขนาดเล็กไว้ เป็นภาพน่าตกใจไม่น้อย

ซึ่งตัวอย่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่กล่าวมาต่างก็สิ้นชีพไปหมดแล้ว

พวกเขาสิ้นใจมายาวนานเกือบ 3 หมื่น 6 พันปี

หากแต่ร่างถูกเก็บรักษาไว้และไม่เสื่อมสลายไปด้วยค่ายกลพลังต้นกำเนิด

“นี่…… นี่มันอะไรกัน ?” เยว่หลงซาและอวี๋เมิ่งหนานเอ่ยถามด้วยความตกใจ พวกนางเป็นสตรี จึงไม่อาจทนมองภาพเช่นนี้ไหวอีกต่อไป

“คงจะเป็นการทดลองบางอย่าง” ซูเฉินตอบ เขาคุ้นเคยกับการทดลองโดยใช้สิ่งมีชีวิตดี แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งโหดร้ายถึงขั้นที่เวลาหลายหมื่นปีผ่านไปยังทำให้คนมองขวัญผวาได้

“การทดลองอันใดต้องทำถึงขั้นนี้ด้วย ?” ต้วนเจียงซานเองก็ตกใจไปไม่น้อย

“ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของพวกนั้นจะเป็นอย่างไร แต่นายท่านของที่นี่ก็ทำไม่สำเร็จ” ซูเฉินตอบ

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน ?”

“ไม่ว่าจะเป็นการทดลองที่โหดร้ายถึงเพียงไหน อย่างไรก็ต้องมีจุดมุ่งหมายสูงส่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง ดูจากของในขวดแก้วเหล่านี้ เหมือนจะเป็นการทดลองเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดจะสร้างเผ่าใหม่ขึ้นมา หากมองจากมุมนี้ พวกเขาอาจจะพยายามตามหาสสารแห่งชีวิตอยู่ หรือไม่ก็คงพยายามหาทางพัฒนาเผ่าพันธุ์อัจฉริยะให้แกร่งมากขึ้น แต่ไม่ว่าจุดมุ่งหมายจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์กลับไม่เผยแพร่ออกสู่ใต้หล้า ดังนั้นจึงเดาได้ว่าคงค้นคว้าทดลองกันไม่สำเร็จ”

เขาไม่เหมือนกับเยว่หลงซาและคนอื่น ๆ ที่มองเห็นเพียงตัวอย่างชิ้นส่วนที่ดูวิปลาสผิดวิสัยเท่านั้น ประสบการณ์ในการทำการทดลองของซูเฉินทำให้เขาสามารถมองลึกไปถึงปมของปัญหาได้

“ไม่ว่าจะเป็นการทดลองที่โหดร้ายถึงเพียงไหน อย่างไรก็ต้องมีจุดมุ่งหมายสูงส่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง…… เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เสียสติคิดกันหรอกหรือ ?” เยว่หลงซาพึมพำแล้วเหลือบมองซูเฉิน

ภายในห้องทดลองบนภูเขาหินของซูเฉินนั้น สีหน้าของเหล่าเผ่าคนเถื่อนมีแต่ความหวาดกลัวและทุกข์ทรมาน ทำให้ทุกคนแอบรู้สึกเกรงกลัวนักวิทยาศาสตร์เสียสติเช่นซูเฉินอยู่ภายในลึก ๆ

พอถึงตอนนี้ เยว่หลงซาจึงเริ่มเข้าใจอยู่เล็กน้อยว่าในหัวของซูเฉินนั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่

ซูเฉินตอบ “ก็ไม่ผิดนัก แต่ตัวทดลองของข้าจะเป็นผู้ที่คิดสังหารข้าทั้งสิ้น ข้าไม่เคยเผยความเมตตากับศัตรู”

“เช่นนั้นก็จำคำของเจ้าไว้ให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามขยายวงการหาตัวทดลองออกมาอีกเด็ดขาด” เยว่หลงซาเอ่ยตามตรง

ซูเฉินหัวเราะตอบนาง “แน่นอน เจ้าคลายกังวลได้ ข้าควบคุมตนเองได้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำตามหลักการของตน ส่วนหลักการเหล่านี้ก็จะเป็นเครื่องป้องกันข้าเช่นกัน”

เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสริมขึ้น “เพราะอย่างไร ในโลกนี้ก็ขาดแคลนหลายอย่าง แต่กลับไม่ขาดศัตรู”