บทที่ 175 หุ่นเชิดทมิฬ
แม้จะเหลือเวลาอยู่อีกไม่มาก ซูเฉินก็ยังไม่ลืมมองหาชั้นเก็บตำราทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ข้างกายเขาจะมีหนวดอากาศสองหนวดเลื้อยวนอยู่รอบกาย มันดูคล้ายกับหางยาว ๆ สองหาง แต่เป็นหางที่เมื่อเขาเดินผ่านตำราเล่มใดไปก็จะยืดออกไปคว้าตำราเล่มนั้นมาเก็บไว้ในแหวนทันทีราวกับมีตามอง กระทั่งเศษกระดาษบนพื้นก็ยังไม่รอดพ้นสายตาพวกมันไป
ความกระหายซูเฉินความรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นของเขาทำให้ทุกคนเห็นภาพนั้นแล้วพูดไม่ออกไป
แต่กับคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก
สมุนไพรล้ำค่า เหล็กหายาก วิชาโบราณอาร์คาน่า เครื่องมือต้นกำเนิด หุ่นต่าง ๆ หากสามารถเก็บไปได้ก็จะเก็บไปทั้งหมดไม่ว่าจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่
จี้ลั่วอวี่เก็บของทุกสิ่งอย่างเข้าแหวนไป ปากก็ร้องขึ้นมาไม่หยุด “รวยแล้ว ! เรารวยแล้ว !”
แม้เขาจะรู้ว่าของเหล่านี้สุดท้ายก็ไม่ใช่ของตน แต่เมื่อนึกถึงคะแนนผลงานที่จะได้รับก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ในตอนที่ทุกคนกำลังทำการปล้นของกันอยู่ จี้ลั่วอวีก็ชี้นิ้วไปยังทิศนางหนึ่งแล้วร้องขึ้น “ดูนั่น !”
เบื้องหน้าพวกเขาคือสวนขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ใหญ่กว่าสวนส่วนตัวที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้นัก สมุนไพรล้ำค่ามากมายถูกเพาะปลูกไว้ในสวนแห่งนี้ อีกทั้งคุณภาพยังดีกว่าสมุนไพรในสวนที่แล้วมาก ซูเฉินพบสมุนไพรระดับตำนานเติบโตอยู่ที่นี่อยู่หลายต้นด้วยกัน
สมุนไพรเหล่านี้หายากพอ ๆ กับดอกซากวิญญาณ แต่กลับเติบโตอยู่กันอย่างหนาแน่นภายในสวนแห่งนี้
หากแต่ในสวนแห่งนี้กลับมีคนอยู่ด้านในแล้ว
เฮ่ออวิ๋นตง ชีเว่ยเยี่ยน ฝาแฝดแซ่เสิ่น และคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ในสวนทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีเผ่าคนเถื่อนอีก 7 หรือ 8 คนอยู่ด้วย ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เมื่อจี้ลั่วอวี่เห็นเหตุการณ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกังวล “ดีเลย ในที่สุดก็เจอพี่ใหญ่เฮ่อและคนอื่น ๆ สักที เข้าไปช่วยพวกเขาเถอะ !”
จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไป
แต่ซูเฉินกลับพูดขึ้นว่า “เราจะไม่เข้าไป”
“ว่าอย่างไรนะ ?” ทุกคนพลันชะงักค้างไป
ซูเฉินตอบ “เราเหลือเวลาไม่มาก ตอนนี้หน้าที่หลักของเราไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการเอาของมีค่าและสมบัติทุกอย่างออกไปจากที่นี่ต่างหาก ! ไม่เช่นนั้นหากพลาดโอกาสนี้ไป ถึงจะสังหารเผ่าคนเถื่อนได้ทั้งหมดก็คงเปล่าประโยชน์แล้ว”
“แต่พี่ใหญ่เฮ่อและคนอื่น ๆ เขา……”
“หัวหน้าเฮ่อไม่แพ้หรอก” ซูเฉินตอบ “เจ้าดูให้ดี ตอนนี้เป็นฝ่ายพวกเราได้เปรียบ ตอนนี้เผ่าคนเถื่อนครึ่งหนึ่งไม่ตายก็บาดเจ็บ ด้านพละกำลังนับว่าอ่อนแอกว่าเราแล้ว”
ในช่วงการต่อสู้ก่อนจะเข้าปราสาทมา เผ่ามนุษย์สังหารเผ่าคนเถื่อนไปได้หลายคนด้วยกัน อีกทั้งยังโค่นนักรบอารามสองคนได้ สูญเสียไปเพียงเฟิงอี้กู่เท่านั้น
ดังนั้นเฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ จึงมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องให้ซูเฉินช่วยเหลือ
“แต่……” ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังดูลังเล
สิ่งที่ซูเฉินพูดไว้นั้นไม่ผิด แต่จะให้ทิ้งสหายร่วมรบให้ต่อสู้กับศัตรู ส่วนตนเองหลบไปเก็บสมบัติเช่นนี้ พวกเขาไม่สบายใจนัก
สุดท้ายเป็นผีเยวี๋ยนหงที่เอ่ยขึ้นมา “ซูเฉินพูดได้ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ภารกิจที่สำคัญที่สุดคือการนำของในซากโบราณออกไป ในเมื่อเหล่าเฮ่อและคนอื่น ๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ เราก็จะปล่อยให้พวกเขาจัดการสวนแห่งนี้ไปเสีย ส่วนห้องทดลองหลักจะเป็นหน้าที่ของเรา”
ในเมื่อเหล่าผีออกปากมาเช่นนี้ จึงไม่คิดมีใครคิดโต้แย้งอีก ทุกคนจึงเดินจากไปพร้อมกับซูเฉิน
พวกเขาวิ่งตามทางในแผนที่ ในที่สุดก็มาถึงห้องขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หากดูจากในแผนที่แล้ว ห้องทดลองหลักนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องขนาดใหญ่ห้องนี้เท่านั้น
แต่ในตอนที่ทุกคนกำลังจะข้ามห้องไปนั้น ก็มีหุ่นเชิดสีดำสองตัวปรากฏขึ้นตรงหน้า
เทียบกับหุ่นเชิดเหล็กแล้ว หุ่นเชิดทมิฬเหล่านี้แข็งแกร่งกว่ามาก ที่แขนของมันมีใบมีดคมกริบแทงออกมา ด้านหลังก็มีหนามแหลมคมอยู่อีกนับไม่ถ้วน แท้จริงแล้วหน้าตามันไม่เหมือนหุ่นเชิดเท่าไร แต่คล้ายกับสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายประเภทหนึ่งเสียมากกว่า
ดังนั้นแล้วก็ไม่ต้องเอ่ยอันใดให้มากความอีก
ซูเฉิน เยว่หลงซา ต้วนเจียงซาน และอวี๋เมิ่งหนานพุ่งเข้าใส่พวกมันพร้อมกัน จี้ลั่วอวี่รั้งอยู่ด้านหลังคอยปกป้องผีเยวี๋ยนหง
ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !
ระเบิดเหยี่ยวเพลิงฝูงหนึ่งปะทะเข้ากับปะทะเข้ากับหุ่นเชิดทมิฬตัวหนึ่ง
ฝูงระเบิดเหยี่ยวเพลิงนี้นับเป็นทักษะต้นกำเนิดประจำกายของซูเฉิน แม้แต่เผ่าคนเถื่อนยังจดจำพลังระเบิดรุนแรงของมันได้ไม่เสื่อมคลาย แต่เมื่อปะทะเข้ากับหุ่นเชิดทมิฬพวกนี้ เหยี่ยวเพลิงก็ทำได้เพียงระเบิดออกมาเป็นเปลวไฟเท่านั้น หุ่นเชิดทมิฬเพียงแค่เซไปเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ซูเฉินต่อ ยามมันเข้าใกล้ก็กระโดดเข้ามาในพลัน เงื้อแขนขนาดยักษ์ซัดเข้าใส่ซูเฉิน คลื่นพลังรุนแรงถูกปล่อยออกมาแล้วพุ่งไปทางซูเฉินทันที
ด้วยชายหนุ่มไม่กล้าฝืนสกัดการโจมตีอันแข็งกล้าเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษพลิกตัวหลบแล้วปล่อยกระสุนพลังต้นกำเนิดออกมาแทน
แต่ดูท่ากระสุนพลังต้นกำเนิดก็ไม่สามารถทำอันใดกับหุ่นเชิดเหล่านี้ได้ ที่อีกด้าน เยว่หลงซาโยนหินแสงจันทร์ออกไป ริ้วแสงจันทร์ส่องสว่างปะทะเข้ากับร่างของหุ่นเชิด แต่ก็ดูจะไร้ผลเช่นกัน
เกิดเสียงปะทะดังสนั่นขึ้นสองครา เป็นซูเฉินและหุ่นเชิดเข้าแลกสองกระบวนท่ากัน ก่อนจะถูกบีบให้ถอยออกไป แต่ตอนที่ถอยก็สามารถปล่อยดาบวาโยและดาบอัสนีบาตสองครั้งออกมาได้
คมดาบไร้ตัวตนซัดเข้าใส่ร่างหุ่นเชิด ทิ้งรอยบากจาง ๆ ไว้บนร่างของมัน
ซูเฉินนัยน์ตาเป็นประกายวาบ “ระวังด้วย เจ้าพวกนี้มีความสามารถในการต้านทานพลังต้นกำเนิดสูงมาก ใช้การโจมตีระยะประชิดจัดการมันเสีย !”
วิชาโบราณอาร์คาน่านั้นใช้เพียงพลังต้นกำเนิด ไม่เกี่ยวพันถึงความแข็งแกร่งภายในของผู้ใช้ เมื่อครั้งที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังรุ่งเรือง หุ่นเชิดเหล่านี้จึงเป็นเสมือนศัตรูตัวฉกาจของปรมาจารย์อาร์คาน่าทั้งหลาย น่าเสียดายที่หลังจาก 3 หมื่นปีผ่านไปทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน กระทั่งผู้ที่ศึกษาวิชาโบราณอาร์คาน่าโดยละเอียดอย่างซูเฉินก็ยังไม่สามารถละทิ้งการบ่มเพาะพลังทางด้านร่างกายไปได้ เพราะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถเพิ่มพลังชีวิตและพละกำลังขึ้นมาได้
ต้วนเจียงซานหัวเราะ “ของถนัดข้าเลยล่ะ !”
ดาบทลายขุนเขาพลันเสือกเข้าร่างศัตรูอย่างดุดัน
ดาบทลายขุนเขาตระกูลต้วนนั้นนับว่าเป็นวิชาที่เหมาะกับการโจมตีระยะประชิดมาก เป็นวิชาที่รุนแรงไม่เป็นรองวิชาใด คมดาบตวัดลงบนร่างหุ่นเชิดทมิฬอย่างรุนแรง ทิ้งรอยบากลึกเอาไว้
เจ้าหุ่นเชิดเหล่านี้มีพลังป้องกันวิชาระยะประชิดไม่สูงเท่าไรนัก
ต้วนเจียงซานเผยอริมฝีปาก ยกยิ้มดุร้ายออกมา “ก็เท่านี้…… ดาบทลายขุนเขาแปดกระบวนท่า กระบวนท่าที่หนึ่ง สะเทือนขุนเขา !”
ต้วนเจียงซานทิ่มดาบเข้าไป เรียบง่ายและตรงไปตรงมาหากแต่แฝงไปด้วยพลังสูงส่งจนน่าตกใจ
หุ่นเชิดทมิฬใช้แขนเหล็กสองข้างรับเพลงดาบ แต่ก็ไม่อาจต้านทานไหว คมดาบยังเสือกเข้าไปด้วยพลังมหาศาล แทงทะลุหัวของมัน อีกทั้งยังเฉือนลงมายังร่างกายเบื้องล่าง แยกหุ่นเชิดออกเป็นสองส่วน
“สำเร็จ !” ต้วนเจียงซานเปล่งเสียงร้องดีใจออกมา
เขาหันไปส่งสายตาให้ซูเฉิน ก่อนพบว่าสว่านทะลวงเกราะของซูเฉินเพิ่งจะทะลวงอกหุ่นเชิดไป
“หึ !” ต้วนเจียงซานคลี่ยิ้ม คิดในใจตนว่าอย่างไรเขาก็ยังเร็วกว่าอีกฝ่าย
แต่เมื่อนึกได้ว่าซูเฉินนั้นไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด รู้วิชาโบราณอาร์คาน่า ทั้งยังปรุงยาได้ เขาก็ไม่เหลือสิ่งใดให้ภาคภูมิใจเท่าไรนัก ในใจหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยว่าเหตุใดเจ้าหุ่นเชิดไม่แข็งแกร่งกว่านี้อีกสักหน่อย เช่นนั้นแล้วเขาจะได้ปล่อยกระบวนท่าอื่น ๆ ของดาบทลายขุนเขาออกมาบ้าง
เพิ่งจะคิดจบเขาก็พบว่าหุ่นเชิดสองตัวที่นอนอยู่กับพื้นกำลังค่อย ๆ ลุกขึ้นมาใหม่ บาดแผลบนร่างของพวกมันค่อย ๆ จางหายไป
ที่น่าประหลาดคือการฟื้นฟูของบาดแผลบนร่างของหุ่นเชิดนั้นคล้ายกับการฟื้นฟูบาดแผลบนร่างของมนุษย์ยิ่งนัก
“นี่มัน…… อะไรกัน ?” ต้วนเจียงซานชะงักค้างไป
เขามองหุ่นเชิดที่ตนเพิ่งผ่าครึ่งร่างค่อย ๆ ดึงร่างที่แยกออกจากกันของตนเข้ามาประกบกันใหม่แล้วพุ่งเข้ามาราวกับไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นนิ่ง
ซูเฉินขมวดคิ้ว “เจ้าพวกนี้ไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดา”
“สารเลวนัก ก็ต้องไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดาอยู่แล้ว !” ต้วนเจียงซานตะโกน “เจ้าเคยเห็นหุ่นเชิดที่ถูกดาบจนร่างแยกออกจากกันกลับมารวมร่างกันใหม่ดังเดิมงั้นหรือ ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น…… เช่นนั้นไม่ใช่การรวมร่าง”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ?” ต้วนเจียงซานชะงักไป
“มันเป็นการฟื้นฟูร่าง !” ซูเฉินเอ่ยขึ้น “เป็นการฟื้นฟูระดับเดียวกับที่ร่างกายของมนุษย์ใช้ฟื้นฟู”