ภาคที่ 2 บทที่ 174 ค้น (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 174 ค้น (2)

ซูเฉินเก็บบันทึกเล่มนั้นไว้ จากนั้นก็เดินออกจากห้องเพื่อทำการสำรวจห้องต่อไป

ห้องทดลองแห่งนี้มีขนาดใหญ่และมีห้องอยู่ภายในหลายห้อง ซูเฉินเดินสำรวจห้องไปทีละห้อง มองหาตำราทุกอย่างที่หาได้และเก็บกลับมาไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม

เมื่อมาถึงห้องแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มก็พบว่ามันเป็นห้องตำราที่เต็มไปด้วยตำราและบันทึกต่าง ๆ มากมาย เขาตื่นเต้นยินดีนัก

ในยุคสมัยนี้ บันทึกโบราณอาร์คาน่านั้นหายากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกที่ได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี

หลังจากลองไล่เปิดดูหลาย ๆ เล่มแล้ว เขาก็พบว่าตำราส่วนมากเป็นคำอธิบายเรื่องทฤษฎีพื้นฐานของพลังต้นกำเนิด

ทฤษฎีเหล่านี้ไม่มีข้อไหนที่เหมือนทักษะต้นกำเนิดสักนิด พวกมันไม่ได้ช่วยทำให้คนอ่านแข็งแกร่งขึ้นได้แม้สักเล็กน้อย เป็นเพียงการวิเคราะห์โลกธรรมชาติและพลังต้นกำเนิดเท่านั้น ตำราเหล่านี้ทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจตามมาได้ดี

สำหรับคนอื่นอาจมองว่าตำราไร้นี่ไร้ค่า แต่สำหรับซูเฉินแล้วพวกมันนับเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น

ใต้หล้านี้ไม่หลงเหลือสิ่งใดที่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องพลังต้นกำเนิดไว้มากนัก เผ่ามนุษย์นั้นนิยมการปฏิบัติ ในขณะที่เผ่าอาร์คาน่านิยมเรื่องความรู้ต่าง ๆ

ในเรื่องการนำพลังต้นกำเนิดไปใช้นั้น เผ่ามนุษย์ได้สร้างทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยที่เหนือกว่าวิชาโบราณอาร์คาน่าของเผ่าอาร์คาน่าขึ้นมาได้ หากแต่ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลายค้นพบพลังต้นกำเนิดมามากกว่า 3 หมื่นปีแล้ว แต่ความเข้าใจกลับถดถอยลด

ดังนั้นการค้นพบข้อมูลพื้นฐานที่เผ่าอาร์คาน่าทำการศึกษาพลังต้นกำเนิดไว้เช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อซูเฉินมาก

ในสายตาเขา ไม่มีสมุนไพรพันปี เครื่องมือต้นกำเนิดทรงพลัง หรือวิชาบ่มเพาะพลังที่วิเศษเช่นไรจะสามารถเทียบกับความรู้ที่นับเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งเช่นนี้ได้

สิ่งเหล่านี้ก็คล้ายกับกฎแห่งบรูคและค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด สามารถทำให้ซูเฉินรังสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้

ยามประตูแห่งความรู้เปิดออกให้เจ้าเข้าไปค้นหา เช่นนั้นแล้วก็มีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนกำลังรอเจ้าอยู่ !

ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีตำรามากมายถึงเพียงนี้ ซูเฉินจึงดีใจนัก หนวดอากาศนับไม่ถ้วนยืดออกไปคว้าตำราเหล่านั้นไว้แล้วนำมาเก็บไว้ในแหวนต้นกำเนิด พริบตาเดียวตำราทั้งห้องก็หายไปจนหมด

จี้ลั่วอวี่เองก็ค้นพบบางอย่างเช่นกัน เขาวิ่งถือบางสิ่งบางอย่างเข้ามาแล้วร้องขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “เหล็กจักรวาล ! ดูสิ คือเหล็กจักรวาล !”

ในมือเขาคือเหล็กสีดำสนิทก้อนหนึ่ง หากเขาไม่รู้จักมันมาก่อนก็ยากที่จะรู้ได้ว่าเหล็กก้อนนี้คือเหล็กจักรวาล

เหล็กจักรวาลนั้นไร้ซึ่งพลังต้นกำเนิดภายใน อีกทั้งยังเป็นฉนวนกันพลังต้นกำเนิด ดังนั้นเหล็กชนิดนี้จึงไม่นิยมนำมาสร้างเครื่องมือต้นกำเนิด แต่เหมาะกับการใช้สร้างเกราะมากกว่า เกราะที่ทำจากเหล็กจักรวาลนั้นมีความสามารถในการป้องกันทักษะต้นกำเนิดสูง ในยุคร่วมสมัยเช่นนี้ เหล็กจักรวาลก้อนหนึ่งมีมูลค่าอย่างน้อยราวหินพลังต้นกำเนิด 1 ล้านก้อน

ในห้องทดลองเช่นนี้อย่างไรก็ต้องพอมีสมบัติล้ำค่าอยู่บ้าง

“ไม่เลว” ซูเฉินเห็นของในมือเขาแล้วพลันเอ่นชม จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องตำรา

เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่ได้มีท่าทีใส่ใจอันใดมากนัก ความตื่นเต้นยินดีของจี้ลั่วอวี่ก็พลันหดหาย ได้แต่พึมพำเสียงเบาขึ้น “ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านจึงชอบตำราเหล่านั้นนัก ไม่สนใจกระทั่งสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ช่างเถอะ ท่านไม่เอา แต่ข้าเอา”

จากนั้นก็เขาก็รีบเก็บมันไว้ในแหวนต้นกำเนิดทันที

หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง คนทั้งสามก็มาถึงสวนกลางแจ้งแห่งหนึ่ง

จี้ลั่วอวี่เห็นแล้วก็ร้องเสียงดัง “ที่นี่มียาวิญญาณ !”

สวนแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางมาก แต่มีสมุนไพรขึ้นอยู่หนาแน่นทั่วพื้นที่

ที่สำคัญคือที่สวนแห่งนี้ไร้ซึ่งค่ายกลพลังต้นกำเนิด ยาวิญญาณเหล่านี้เติบโตมาเป็นอย่างดี เกือบทุกต้นมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม

ด้วยพวกมันถูกเพาะเลี้ยงอยู่ในเขตห้องทดลอง ดังนั้นจึงมีคุณภาพดีกว่าสมุนไพรป่ามากนัก อีกทั้งยังมีหลายตั้นที่มีอายุกว่าพันปี

สมุนไพรเช่นอ้อยก้านหยก ผกาพันตา หญ้าน้ำกรดดำและเบอร์รีมังกรนับว่าเป็นสมุนไพรล้ำค่าหากยากในโลกทั้งสิ้น แต่ที่นี่กลับมีพวกมันขึ้นอยู่เต็มจนแน่น จี้ลั่วอวี่เห็นแล้วยินดีจนแทบคลั่งไป

ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เลว ทีนี้เราก็มีของไปให้พวกตำแหน่งสูงแล้ว ลั่วอวี่ เจ้าไปเก็บสมุนไพรเหล่านั้นให้พวกเขาเถอะ”

“รับทราบ !” จี้ลั่วอวี่รีบพุ่งเข้าไปเก็บสมุนไพรทั้งหมดด้วยความระมัดระวัง

ในตอนที่กำลังเก็บก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ศิษย์พี่ซู ท่านจะไม่เก็บไว้บ้างหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “ของพวกนี้อย่างไรก็ต้องนำไปส่งมอบ ข้าจำเป็นต้องตื่นเต้นยินดีมากงั้นหรือ ?”

อาณาจักรหลงซางไม่คิดส่งคนไปมากมายเพื่อให้คนเหล่านั้นเข้ามาหาสมบัติแล้วเก็บเป็นของตนเองเท่านั้น สมบัติที่สามารถนำมาใช้ได้เลยก็นับว่าเสียไป แต่ของต่าง ๆ ที่นำติดตัวออกมาจะต้องส่งมอบให้อาณาจักรหลงซางทั้งสิ้น ทางอาณาจักรไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น

“…… ท่านพูดไม่ผิด” จี้ลั่วอวี่ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ความเร็วในการเก็บสมุนไพรลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเห็นหน้าตาบูดเบี้ยวของอีกฝ่ายแล้วซูเฉินก็หัวเราะแล้วยีหัวอีกฝ่ายเล่น “ข้าหลอกเล่นเถอะเจ้าคนซื่อนี่ เบื้องบนจะให้รางวัลพวกเราตามผลงาน และยาวิญญาณเหล่านี้ย่อมมีผลกับผลงานแน่ ข้าปรุงยาไว้ตั้งมาก อีกทั้งยังทำบันทึกการสังหารศัตรูของพวกเราเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงไม่ใส่ใจเรื่องผลงานข้าอีก ส่วนเจ้าต้องพยายามเก็บเกี่ยวของพวกนี้ติดตัวไปเสีย”

ซูเฉินปรุงยาไว้เยอะมาก อีกทั้งยังจัดการเผ่าคนเถื่อนด้วยตัวคนเดียวไปถึง 4 คน ช่วยเหลือสหายร่วมภารกิจไว้ก็มาก เป็นคนวางแผนการสังหารเฟ้ยลาหลัวและเหมินตี้ย่านั่ว อีกทั้งยังเป็นคนต้นคิดสร้างจุดนัดพบเพื่อที่เผ่ามนุษย์จะได้มารวมตัวกันเร็วกว่าอีกฝ่ายถึงสองวัน ทำให้สามารถสังหารเผ่าคนเถื่อนได้เพิ่มขึ้นอีกสิบคน หากว่ากันเรื่องผลงานแล้ว เขานั้นอยู่เหนือกว่าคนอื่น ๆ มาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดนำสมุนไพรที่เป็นตัวยาเหล่านั้นกลับไปเป็นผลงานอีก

แต่สำหรับจี้ลั่วอวี่แล้ว คะแนนผลงานยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่

จี้ลั่วอวี่พลันมีนัยน์ตาเป็นประกาย “เข้าใจแล้ว”

ในขณะที่จี้ลั่วอวี่กำลังพยายามเก็บเกี่ยวทุกสิ่งอย่างในสวนแห่งนี้ ซูเฉินก็เหลือบมองโดยรอบ พบกับแผ่นหินที่แขวนไว้บนสวนที่เขียนด้วยอักษรโบราณอาร์คาน่าว่า “สวนของข่าฟูหลัวเท่อ”

เห็นแล้วซูเฉินก็หัวเราะ “เจ้าเร่งมือหน่อยเถอะ ดูท่าสวนแห่งนี้จะเป็นเพียงสวนส่วนตัวของผู้ช่วยเท่านั้น ไม่ใช่เป็นของหัวหน้าสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า…… ยังมีสมบัติอื่น ๆ ให้เราค้นหาอยู่อีก”

ได้ยินแล้วจี้ลั่วอวี่ก็ยิ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วขึ้น

หลังจากเก็บเกี่ยวสมุนไพรไปทั้งหมดแล้ว คนทั้งสามก็มุ่งหน้าไปต่อ

เดินทางไปยังไม่ทันเท่าไรก็พบกันคนอีกสามคนเข้า

คืออวี๋เมิ่งหนาน ต้วนเจียงซาน และเยว่หลงซา

เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ซูเฉินทักทายพวกเขา “หลงซา เจ้าเห็นหานหลินเสียหรือไม่ ?”

เยว่หลงซาหัวเราะ “ข้านึกว่าเจ้าจะถามหาชิงลั่วก่อนเสียอีก”

ซูเฉินคลี่ยิ้ม “ชิงลั่วแข็งแกร่ง ทั้งยังรวดเร็ว ข้าไม่ห่วงนางเท่าไร พวกข้าเพิ่งจะพบสวนแห่งหนึ่ง เก็บสมุนไพรทำยามาได้มากมาย หากหานหลินเสียอยู่ด้วยนางคงสามารถกลั่นเอาพลังยาออกมาแล้วป้อนให้เหล่าผี ช่วยให้เขาอาการดีขึ้นได้บ้าง”

“ตอนที่ร่วงลงมา ข้าเห็นหลินเสียอยู่กับเว่ยหยางและเจียงหานเฟิง”

ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ทั้งสามคนถูกปกป้องอยู่ภายใน ดังนั้นจึงอยู่ด้วยกันอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อได้ยินว่าอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซูเฉินก็โล่งอก ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี”

เขาต้องยอมรับว่าการโจมตีของตานปานั้นน่าปวดหัวไม่น้อย

มนุษย์นั้นต่อสู้รวมกันเป็นกลุ่มได้ดี ในขณะที่เผ่าคนเถื่อนนั้นเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ตัวต่อตัว

หากแยกมนุษย์ออกจากกันได้ เผ่าคนเถื่อนก็สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลัง

นักรบอารามสองคนนั้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หากมีโอกาสสำแดงกำลังที่แท้จริงแล้ว ฝ่ายมนุษย์ต้องเสียหายหนักเป็นแน่

ดังนั้นมนุษย์ที่อยู่ตัวคนเดียวจึงตกอยู่ในอันตรายขั้นสุด

เมื่อได้ยินว่าหานหลินเสียรวมกลุ่มอยู่กับคนอื่น ๆ ซูเฉินก็โล่งใจ เช่นนี้ก็จะปลอดภัยขึ้นอีกหน่อย

แต่สิ้นเสียงถอนหายใจไปได้ไม่เท่าไรก็พลันได้ยินเสียงร้องลั่นขึ้น

“นั่นมันเสียงสุ่ยตง !” เยว่หลงซาจำเสียงนั้นได้

“เขาอยู่ตรงนั้น !” ซูเฉินหมุนตัวกลับแล้วพุ่งไปยังโถงทางเดินอีกด้าน

เขาวิ่งสุดฝีเท้า แต่กลับพบเพียงร่างของสุ่ยตงนอนจมกองเลือดอยู่ ที่ปากมีฟองสีเลือดฟอดออกมา กลางอกมีรูขนาดใหญ่

“สุ่ยตง !” ต้วนเจียงซานร้องขึ้น พุ่งเข้าไปช้อนหัวสุ่ยตงขึ้นมาจากพื้นอย่างแผ่วเบา

เขาหันมาตะโกนใส่ซูเฉิน “ช่วยเขาเร็ว !”

ซูเฉินส่ายหัว “ขออภัยด้วย เขาไม่รอดแล้ว”

หัวใจสุ่ยตงถูกควักออกมา อย่างไรเขาก็ไม่อาจรอดชีวิตต่อไปได้อีก

สุ่ยตงจ้องซูเฉินอ้าปากกว้าง คล้ายกับอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับไม่มีโอกาสเอ่ยคำใดออกมา นัยน์ตาก็พลันปิดลง แขนทั้งสองร่วงลงพื้นไป

ทุกคนรู้สึกปวดใจที่ต้องเสียสหายร่วมทัพไปอีกหนึ่ง

เป็นจี้ลั่วอวี่ที่เอ่ยขัดบรรยากาศโศกเศร้าขึ้น “เราเหลือเวลาไม่มาก พลังงานสูญกำลังจะสลายโดยเร็วแล้ว”

“ไปเถอะ !” ซูเฉินสงบสติอารมณ์แล้วเริ่มออกเดินทางต่อ

“พวกเราจะไปไหนกัน ?”

“ไปยังห้องทดลองที่เป็นห้องที่สำคัญที่สุดของที่นี่”

“แต่เราไม่รู้ว่าห้องทดลองหลักอยู่ตรงจุดใดกระมัง ?”

“ข้ารู้” ซูเฉินตอบ

“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?” ทุกคนเอ่ยถาม

ซูเฉินหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา “เพราะข้าดูแผนที่”

ห้องตำราไม่ได้มีเพียงตำราเท่านั้น แต่ยังมีแผนที่ภายในปราสาทแห่งนี้ด้วย ในขณะที่จี้ลั่วอวี่มัวแต่เห็นเหล็กจักรวาลแล้วดีใจเป็นล้นพ้น หากแต่ซูเฉินกับเห็นแผนที่นี้แล้วดีใจเป็นล้นพ้นแทน