ภาค 3 บทที่ 165 ไม่รู้จักไม่ยอมรับ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หน้าบ้านตกสู่ความเงียบพักหนึ่ง 

 

 

“พี่สะใภ้” เซี่ยหย่งร้องเรียก 

 

 

เขาจะก้าวเท้าตามเข้าไป หยางจิ่งก็ขวางเขาไว้แล้วส่ายศีรษะ 

 

 

“แต่ นั่นเป็นพี่ใหญ่…” เซี่ยหย่งเอ่ยอย่างตื่นเต้นชี้จดหมายที่คุณหนูจวินถืออยู่ 

 

 

“พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ลำบาก” หยางจิ่งเอ่ยเสียงเบา ตบหัวไหล่เซี่ยหย่ง 

 

 

ได้ยิน “ก็ลำบากสามคำ” เซี่ยหย่งสีหน้าปั้นยาก หยุดแล้วมองบ้านด้านนั้นนิดหนึ่งถอนหายใจ 

 

 

คุณหนูจวินก้าวเท้าไล่ตามไปแล้ว 

 

 

“อาจารย์หญิง” นางร้องเรียก ยืนอยู่ตรงประตู 

 

 

ไม่รู้ว่าประตูเปิดอยู่หรือว่าลงกอนไว้ แต่ไม่เชิญก็ไม่อาจฝืนฝ่าได้ 

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านจำคนผิดแล้วจริงๆ” ด้านในเสียงอ่อนโยนของผู้หญิงลอยมา “ข้าไม่รู้จักอาจารย์ของท่าน อาจารย์หญิงคำเรียกขานนี้ไม่อาจรับ” 

 

 

“อาจารย์หญิง ท่านอย่าโกรธเลย ท่านลองดูจดหมายก่อน” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

“คุณหนูจวิน ข้าขอบคุณท่านมากที่ปกป้องพวกเราไม่ให้พวกเราขัดแย้งกับทหาร หากท่านอยากอยู่ที่นี่สักหลายวัน พวกเราก็ยินดีต้อนรับยิ่ง” ผู้หญิงเอ่ยอยู่ด้านใน พลางเพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อย “น้องหยาง เจ้ากับน้องเซี่ยต้อนรับคุณหนูจวินให้ดีนะ” 

 

 

คุณหนูจวินยังอยากพูดอีก หยางจิ่งก็ก้าวเข้ามาขวาง 

 

 

“คุณหนูจวิน ตอนนี่อย่าเพิ่งพูดเลย” เขาเอ่ยเสียงเบา 

 

 

“ใช่แล้ว ข่าวนี้กะทันหันเกินไปแล้ว ให้พี่สะใภ้ใจเย็นลงหน่อยเถอะ” เซี่ยหย่งก็เอ่ยเสียงเบา 

 

 

คุณหนูจวินมองบ้านแล้วก็มองพวกเขา 

 

 

ใช่แล้ว กะทันหันเกินไปจริงๆ 

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านไปกับพวกเราพักผ่อนเสียหน่อยเถิด” เซี่ยหย่งเอ่ย ยื่นมือทำท่าเชิญ 

 

 

ก็ได้แต่เป็นเช่นนี้ไปก่อนแล้ว ในใจคุณหนูจวินถอนหายใจพยักหน้า ตามเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งจากไป 

 

 

ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกจากไปไกล เด็กสาวในห้องก็มองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงทำงานเย็บปักทีหนึ่ง นางจดจ่ออยู่กับการปักด้าย เด็กสาวลังเลครู่หนึ่งถึงย้ายไปริมหน้าต่างช้าๆ มองทะลุช่องหน้าต่างออกไปข้างนอก 

 

 

บนทางภูเขามองไม่เห็นเงาคนแล้ว 

 

 

“ระหว่างอาจารย์ของข้ากับพวกท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” 

 

 

“อาจารย์ของข้าเป็นใคร?” 

 

 

“เขาจากที่นี่ไปตั้งแต่เมื่อไร?” 

 

 

“เขา…” 

 

 

เสียงพูดของคุณหนูจวินสะท้อนก้องในป่า หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งเดินเงียบๆ อยู่ด้านหน้า ได้ยินถึงตรงนี้เซี่ยหย่งก็หยุดเท้าหมุนตัวมา 

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าตื่นเต้นทั้งยังคาดหวังมองเขา 

 

 

เห็นแววตาของเด็กสาวคนนี้ เซี่ยหย่งพลันถอนหายใจ 

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านไม่ต้องถามแล้ว” เขาเอ่ยแล้วมองบนเขาทีหนึ่ง “ก่อนหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเราเอ่ยปาก…” 

 

 

เขาพูดพลางส่ายศีรษะ 

 

 

“พวกเราไม่รู้จักอาจารย์ของท่าน” 

 

 

คนเหล่านี้แม้ไม่มีแค้นกับอาจารย์ แต่ต้องมีเคืองแน่ คุณหนูจวินถอนหายใจบ้าง ไม่รู้ที่แท้ก่อนหน้ามีเรื่องอะไรกัน 

 

 

“พวกท่านดูสิ่งนี้ก่อนก็ได้” นางเอ่ย เอาจดหมายออกมาอีกครั้ง 

 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งถอยหลังทันที 

 

 

“คุณหนูจวิน ของของอาจารย์ท่าน พวกเราไม่กล้าและดูไม่ได้” พวกเขาเอ่ย 

 

 

คนพวกนี้นี่นะ คุณหนูจวินทำอันใดไม่ได้ได้แต่เก็บกลับมา 

 

 

เมื่อถึงตีนเขา ชาวบ้านที่รวมตัวกันก็แยกย้ายกันไปแล้ว กลับมาทำงานก่อนหน้านี้อีกครั้ง เหมือนสิ่งใดก็ไม่เคยเกิดขึ้น ภรรยาของเซี่ยหย่งเก็บกวาดที่พัก พวกเขาสามีภรรยาจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่นี่ยกให้ขบวนคนของคุณหนูจวิน 

 

 

วันนี้ไปหาอาจารย์หญิงอีกไม่ได้แล้ว ได้แต่ค่อยเป็นค่อยไป 

 

 

“ไปรับหลิ่วเอ๋อร์มา” คุณหนูจวินเอ่ยกับเหลยจงเหลียน 

 

 

แม้หลิ่วเอ๋อร์ต้องการมาด้วย แต่คิดถึงสู้กันขึ้นมาอันตรายยิ่งนัก เหลยจงเหลียนกับจินสือปาจึงกล่อมให้หลิ่วเอ๋อร์รั้งอยู่ที่เต๋อเซิ่งชางในเมือง 

 

 

เหลยจงเหลียนขานรับ 

 

 

“แล้วองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น…” เขาเอ่ยเสียงเบาอีกครั้ง 

 

 

ตอนที่คุณหนูจวินให้ทุกคนวางอาวุธ พวกองครักษ์เสื้อแพรมณฑลเหอเป่ยซีที่จินสือปาพามาก็ไม่เว้น นอกจากนี้เมื่อคุณหนูจวินต้องการให้พวกทหารจากไป จินสือปาก็ให้พวกเขาตามพวกผู้คุ้มกันของเต๋อเซิ่งชางจากไปด้วย 

 

 

ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะถามที่อยู่ของจินสือปาหรือไม่ 

 

 

“ตอนนี้คงไม่ จินสือปาคงบอกพวกเขาว่าไม่เรียกไม่ต้องมา แล้วก็คงไม่ให้พวกเขาตั้งคำถาม” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

ส่วนหลังจากนี้… 

 

 

คุณหนูจวินมองไปรอบด้านทีหนึ่ง มีชาวบ้านเดินอยู่ ไกลออกไปมีเด็กเลี้ยงวัวปล่อยวัวพลางร้องเพลง นางนั่งลงบนเก้าอี้โยกที่ถักจากเส้นไม้หยาบๆ โยกเก้าอี้แกว่งไกวขยับไหวดังกึกกึก 

 

 

“ข้าไม่ได้ตัวคนเดียว” นางหนุนหัวบนแขน ตาปรือเอ่ยขึ้น “ตอนนี้พวกเราไม่ได้มีแค่พวกเราแล้ว” 

 

 

แน่นอนเดิมทีนางก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว นางมองตระกูลฟาง เป็นบ้านและครอบครัวจริงๆ แต่พูดให้ชัดเจนจริงๆนั่นเป็นบ้านและครอบครัวของจวินเจินเจิน ในฐานะฉู่จิ่วหลิง บ้านของอาจารย์ทำให้นางรู้สึกต่างออกไป 

 

 

บ้านของอาจารย์ก็คือบ้านของนาง 

 

 

แม้คนที่นี่ตอนนี้ยังไม่ยอมรับนางแต่ก็ปกป้องนาง ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่ก็คงไม่ฟังเพียงหนึ่งประโยคของนางก็ไม่ลังเลสักนิดจับพวกจินสือปาไว้ 

 

 

นี่ก็คงเป็นที่ผู้คนเรียกว่าเลือดข้นกว่าน้ำกระมัง 

 

 

นางกับพวกเขามีคนรู้จักคนเดียวกัน ร่ำเรียนความสามารถเดียวกัน ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวล้วนคุ้นเคยกัน รู้สึกใกล้ชิดกัน 

 

 

คุณหนูจวินหลับตาลงยิ้ม โยกเยกแกว่งไกว 

 

 

เหลยจงเหลียนโบกมือให้บรรดาผู้คุ้มกัน ทุกคนมือเบาเท้าเบาถอยออกไปแล้ว 

 

 

“นายท่านเหลย คุณหนูจวินมีอาจารย์ตอนไหน?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่ตามขึ้นเขาไปก่อนหน้านี้อดไม่ได้เอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

“แน่นอนก่อนหน้านี้ไง” เหลยจงเหลียนเอ่ย “ก่อนหน้านี้คุณหนูจวินอยู่ที่แดนเหนือ ใต้เท้าจวินเป็นนายอำเภอธุระยุ่ง เชิญอาจารย์ให้ลูกสาวก็สมเหตุสมผล” 

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้ บรรดาผู้คุ้มกันพยักหน้า 

 

 

“ยังเป็นนายท่านเหลยท่านรู้มาก” พวกเขาเอ่ย 

 

 

เขาสิ่งใดล้วนไม่รู้ เพียงแต่เห็นคุณหนูจวินคนนี้เอ่ยปากโกหกง่ายๆ มากเข้าก็เอ่ยปากพูดออกมาได้บ้างเท่านั้น 

 

 

ไม่เช่นนั้นเล่า? จี้ถามว่าทำไมก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นวิชาแพทย์ที่สืบทอดในตระกูล ตอนนี้กลับพูดว่าเป็นอาจารย์ที่กระทั่งชื่อก็ไม่รู้คนหนึ่งสอนให้? 

 

 

มีอะไรน่าถาม บนโลกนี้ไหนเลยมีทำไมมากปานนั้น อย่างไรทำตามคุณหนูจวินคนนี้ก็ไม่ผิด 

 

 

เหลยจงเหลียนสีหน้าขรึมโบกมือให้บรรดาผู้คุ้มกัน 

 

 

“ไปรับแม่นางหลิ่วเอ๋อร์มาเถอะ” เขาเอ่ยสั่ง 

 

 

………………………………………. 

 

 

เมื่อแสงอรุณเริ่มสว่าง คนที่เดินอยู่ในหมู่บ้านภูเขาก็ไม่น้อยแล้ว 

 

 

“พวกเจ้าไปบนเขาเลี้ยงวัวหรือ?” คุณหนูจวินมองเห็นเด็กหลายคนไล่วัวอยู่ ยิ้มเอ่ยถาม 

 

 

เด็กทั้งหลายบนหลังล้วนแบกตะกร้า ข้างเอวห้อยเคียว มองเห็นนางก็เขินอายอยู่บ้าง 

 

 

“ไม่ใช่ พวกเราไปด้านโน้น ไม่ขึ้นเขา” เด็กที่โตหน่อยคนหนึ่งเอ่ย 

 

 

พูดจบไม่รอคุณหนูจวินเอ่ยอีกก็ก้มศีรษะรีบร้อนเดินผ่านไป 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มมองพวกเขา ยังยื่นมือลูบศีรษะเด็กน้อยคนสุดท้ายด้วย 

 

 

เด็กน้อยตกใจสะดุ้งเหมือนกระต่ายวิ่งออกไปแล้ว 

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังจากนั้นก็ขึ้นไปบนเขา 

 

 

ผู้หญิงกำลังย้อมผ้าอยู่ในลานกับลูกสาว เด็กสาวมองเห็นนางเข้ามาก็หมุนตัวเข้าไปทันที ผู้หญิงยิ้มให้คุณหนูจวิน 

 

 

“คุณหนูจวินตื่นเช้ามากเหมือนกันนะ” นางเอ่ย 

 

 

“ใช่” คุณหนูจวินเอ่ย “ก่อนหน้านี้ติดตามอาจารย์ เขาพักผ่อนเป็นระเบียบยิ่งนัก นอนเร็วตื่นเช้า…” 

 

 

รอยยิ้มบนหน้าของผู้หญิงสลายไป เก็บผ้าเดินเข้าไปในบ้าน 

 

 

“อา…” คุณหนูจวินรีบร้องเรียก แต่คิดได้ว่านางไม่ชอบใจจึงรีบกลืนคำว่าอาจารย์หญิงสองคำลงไป “ท่านน้า ท่านนามว่าอะไรหรือ?” 

 

 

ผู้หญิงหยุดก้าวเท้า 

 

 

“ข้าแซ่” นางหันหน้ามา หยุดครู่หนึ่ง “เซียว” 

 

 

เซียวหรือ คุณหนูจวินยิ้ม 

 

 

“แซ่นี้ดีนะ” นางเอ่ย 

 

 

ผู้หญิงมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม 

 

 

“แซ่นี้ดีหรือ?” นางเอ่ย “คุณหนูจวินไม่คุ้นชินกับการพูดคุยกับคนใช่หรือไม่?” 

 

 

ไม่เสียทีเป็นอาจารย์หญิง คุณหนูจวินยิ้มขัดเขิน นางคุยกับคนไม่เก่งจริงๆ 

 

 

“อาจารย์ก็ไม่ชอบคุย…” นางเอ่ย 

 

 

“คุณหนูจวิน” ผู้หญิงขัดนาง “ข้าก็ไม่คุ้นชินการพูดคุยกับคน หากท่านอยากพูดคุยก็ไปหาน้าเซี่ยเถอะ นางชอบพูดยิ่งนัก” 

 

 

ไม่ชอบพูดคุยที่ไหนเล่า ไม่ชอบได้ยินนางพูดถึงอาจารย์ต่างหาก คุณหนูจวินถอนหายใจ 

 

 

เอาเถอะ นางก็ไม่คุ้นกับการพูดคุย ถ้าอย่างนั้นก็มีคำพูดก็พูดตรงๆ แล้วกัน 

 

 

“ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ระหว่างพวกท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ข้ายังอยากให้ท่านดูจดหมายนี่” นางเอ่ย เอาจดหมายออกมาอีกครั้ง 

 

 

“ข้าเคยบอกแล้ว ข้าไม่รู้จักอาจารย์ของท่าน ข้าก็จะไม่ดูของของอาจารย์ของท่าน” ผู้หญิงเอ่ย 

 

 

“ท่านน้า” คุณหนูจวินก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไรอาจารย์ก็คิดถึงพวกท่าน เขาไม่เคยลืมเลือนพวกท่านเลย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ใช้เขาจางชิงซานเป็นชื่อแซ่” 

 

 

จางชิงซาน เขาจางชิงซาน 

 

 

ร่างกายของผู้หญิงชะงักไปวูบหนึ่ง แต่ครู่ต่อมาก็ยังคงยกเท้าเดินเข้าไปในบ้าน 

 

 

“ข้าจะอยู่ที่นี่รอจนท่านดู” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

ผู้หญิงไม่ได้พูดจาไม่ได้หันหน้ากลับมา ปิดประตูบ้านลง 

 

 

………………………………………. 

 

 

แสงตะวันค่อยๆ สว่างแล้วเคลื่อนคล้อยไหลเอียง เด็กสาวในบ้านยืนอยู่ริมหน้าต่างใช้มือแง้มรอยแยกเส้นหนึ่งเงียบๆ มองเห็นคุณหนูจวินยืนอยู่ในลาน 

 

 

จะวันหนึ่งแล้ว นางยืนอยู่ตรงนั้นตลอด มองผู้หญิงเดินเข้าๆ ออกๆ ทอผ้าตากเสื้อผ้า นางไม่ได้ก้าวเข้ามา เพียงแค่ถือจดหมายเล่มนั้นยืนอยู่เงียบๆ