หลังจากเฉินหวั่นชิงเดินออกจากบ้านตระกูลเฉิน เย่เทียนก็รออยู่บนรถมาสักพักแล้ว และเขาก็ยิ้มพูดกับเธอราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กลับไปด้วยกันใช่ไหม?”
“อื้ม” เฉินหวั่นชิงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นมองไปที่เย่เทียนอย่างละเอียด
เขาไม่ได้ดูหล่อมาก แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ เป็นประเภทที่พอดูได้
และทันใดนั้น เธอก็พบว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสามีที่มีใบทะเบียนสมรสของเธอคนนี้เลย และเธอก็ไม่เคยสนใจในตัวเขาด้วย
สิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเขาก็คือความเกียจคร้าน ความไร้ประโยชน์ ขยะสังคม หรือคนไร้ค่าที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
แต่แล้ว ด้วยพฤติกรรมในช่วงนี้ของเย่เทียน แล้วเขาจะเป็นคนไร้ค่าอย่างที่คิดได้อย่างไร? คนที่อยู่เบื้องหลังของเขาคือใครกันแน่? แล้วเขายังมีความลับอะไรอีกไหม?
“คุณอย่ามองผมแบบนี้สิ! ถึงแม้เราเป็นสามีภรรยากัน อีกอย่างต่อให้คุณจะรีบแค่ไหน แต่เราจะมีอะไรกันตอนกลางวันแสกๆ บนรถนี้ไม่ได้นะ?”
เย่เทียนหันมองไปที่เฉินหวั่นชิงที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่เขาตลอดเวลาและอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้มอันเย้ยหยัน “ที่สำคัญนี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้ใกล้ชิดกัน ผมคิดว่าเรากลับบ้านไปก่อนจะดีกว่า”
“พูดอะไรของคุณ!” เฉินหวั่นชิงกลอกตาใส่และหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ แต่ยังคงแอบมองจากเงาสะท้อนของกระจกรถไปที่เย่เทียน
ทั้งสองเงียบกันตลอดทาง
เมื่อกลับไปถึงวิลล่าเจียงเฉิง พวกเขาก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่งหลินอ้าวเสว่ได้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูวิลล่าแล้ว!
เย่เทียนขมวดคิ้วอย่างกะทันหันและพูดพึมพำอย่างสับสน “นางมาได้ไง?”
เฉินหวั่นชิงที่เห็นเช่นนี้ก็ต้องแอบน้อยใจ แม้ว่าเฉินชังไห่เคยเตือนเธอแล้วก็ถาม
เพราะถึงอย่างไรแล้วเธอก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี!
คนแรกก็คือตำรวจสุดสวยอย่างจี้เยียนหรัน จากนั้นก็คือเหลียงเยว่หรูเทพธิดาจากตระกูลเหลียง แล้วตอนนี้ยังมีสาวสวยโผล่ขึ้นมาอีกคน สรุปแล้วใครคือภรรยาที่ถูกต้องกันแน่?!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เฉินหวั่นชิงก็พูดขึ้นอย่างไม่พึงพอใจ “เพื่อนคุณ?”
“ก็ถือว่าใช่นะ”
เย่เทียนสัมผัสถึงความไม่พอใจของเฉินหวั่นชิงและส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “คุณเข้าบ้านก่อนสิ ผมคุยกับเธอสักแป๊บ เดี๋ยวตามเข้าไปนะ”
แม้ว่าเฉินหวั่นชิงจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้อยู่แล้ว เธอได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจแล้วเดินหน้าตั้งเข้าไปในวิลล่าก่อน
หลังจากเฉินหวั่นชิงเข้าไปแล้ว เย่เทียนถึงจะเดินเข้าไปหาหลินอ้าวเสว่ “ทำไมจู่ ๆ มาที่นี่ล่ะ?”
“เธอก็คือภรรยาของคุณเหรอ?” หลินอ้าวเสว่ถามอย่างขมขื่น
ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ เธอต้องประสบความทุกข์ภายในใจอย่างไม่ต้องสงสัย มีทั้งความสับสน ความขุ่นเคือง และแม้แต่ความไม่เต็มใจ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุที่ทำให้เธอต้องมาในวันนี้
เดิมทีการที่เธอรู้ว่าเย่เทียนผู้ซึ่งเป็นลูกชายที่ถูกตระกูลเย่ทอดทิ้งคนนี้เป็นถึงปรมาจารย์ปรุงยาและผู้แข็งแกร่งระดับดินก็ทำให้เธอไม่คาดคิดแล้ว แต่ที่ไม่คาดคิดมากกว่านั้นคือเย่เทียนกลับแต่งงานไปแล้ว ที่สำคัญคือ ภรรยาของเขายังไม่ต่างอะไรกับเธออีกด้วย!
“อื้ม”
สำหรับเรื่องนี้เย่เทียนไม่มีอะไรต้องปิดบัง ด้วยศักยภาพของตระกูลหลินนั้น มันจะถือว่าแปลกมากกว่า ถ้าพวกเขาไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้
“ฉันจะกลับไปเยี่ยนจิงแล้วนะ” หลินอ้าวเสว่พยายามสงบสติอารมณ์
“อ้อ” เย่เทียนก็ตอบอย่างเรียบง่าย
เมื่อสัมผัสถึงน้ำเสียงอันไร้อารมณ์ความรู้สึกของเย่เทียน คิ้วของหลินอ้าวเสว่ก็ขมวดขึ้นแน่นๆ และน้ำเสียงของเธอก็สูงขึ้นเล็กน้อย “ถ้ากลับไปฉันคงต้องหมั้นกับเยี่ยนจื่อเฉินแล้วนะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เทียน “ยินดีด้วยนะ!”
เพียงแต่ว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เทียนทำให้หลินอ้าวเสว่รู้สึกว่าเขากำลังประชดอยู่ เธอจึงพูดเสียงดังขึ้น “เย่เทียน ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาฉันผิด แต่คุณจะให้อภัยฉันไม่ได้เลยเหรอ?”
“มีอะไรให้ผมอภัยได้ล่ะ?”
เย่เทียนยักไหล่แล้วพูดอย่างผ่อนคลายว่า “ผมไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไรกับคุณมากนะ ในเมื่อไม่มีปัญหากัน แล้วผมจะเอาอะไรไปอภัยคุณล่ะ?”
“งั้นคุณกลับเมืองจินกับฉันสิ กลับไปบ้านตระกูลเย่กับฉัน!”
ดวงตาหลินอ้าวเสว่เปล่งประกายด้วยความคาดหวัง และเธอก็เอื้อมมือไปจับแขนของเย่เทียนอย่างกะทันหัน “ตอนนี้คุณเป็นปรมาจารย์ปรุงยาแล้ว ฉันเชื่อว่าคุณลุงเย่จะไม่ทำให้คุณลำบากใจอีกต่อไป ที่สำคัญคุณยังเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับดินด้วย!”
“ขอแค่คุณยอม เราจะกลับไปเหมือนเดิมได้ทุกอย่าง!”
แม้ว่าเยี่ยนจื่อเฉินก็ดีเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเย่เทียนแล้วมันก็ยังแต่งต่างกันมาก
และแม้ว่าการที่หลินอ้าวเสว่ตัดสินใจแบบนี้จะทำให้ตระกูลเยี่ยนไม่พอใจได้ แต่เธอก็เชื่อว่าผู้อาวุโสของตระกูลหลินจะเข้าข้างเธอ
เหตุผลนั้นไม่ใช่เป็นเพราะนามสกุลหลินเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเย่เทียนคนนี้มากกว่า!
ในยุคสมัยนี้อะไรสำคัญที่สุด?
แน่นอนว่าต้องเป็นพรสวรรค์อยู่แล้ว!
ตอนนี้เย่เทียนอายุเท่าไหร่? อายุเท่านี้ก็สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ปรุงยาและยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดินได้ แล้วถ้าหากให้เวลาเขาอีกล่ะ เขาจะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน?
ถ้าหากจับอีกคนผูกเชือกติดกับเรือพร้อมกับเย่เทียน เกรงว่าเย่เทียนคงแก้มัดแล้วว่ายน้ำถึงฝั่ง แต่อีกคนยังคงนอนอยู่บนเรือก็ได้
“จะให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมงั้นเหรอ?”
เย่เทียนส่ายหัวเบาๆ แล้วดึงแขนออกจากมือของสาวสวยคนนี้ “ผมเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“พูดตามตรงเลยนะ ผมไม่ได้โทษคุณหรอก เพราะจากจุดยืนของคุณในตอนนั้น สิ่งที่คุณเลือก มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณอยู่แล้ว”
“ปัญหาคือคุณก็เห็นการกระทำของตระกูลเย่ในตอนนั้นแล้ว สถานที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรมแบบนี้จะให้ผมเรียกว่าบ้านได้ยังไง? แล้วทำไมผมถึงต้องกลับไปด้วย?!”
หลินอ้าวเสว่กัดริมฝีปากล่างของเธอไว้แน่นๆ ดวงตาที่สดใสของเธอเต็มไปด้วยความชื้น จากนั้นเธอพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แทบจะวิงวอน “คุณจะกลับไปเพื่อฉันไม่ได้เลยเหรอ? คุณไม่อยากอยู่กับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ความรู้สึกนี้มันก็เหมือนกับแผลเป็น ต่อให้มันจะหายดี แต่แผลมันก็ยังอยู่ แล้วจะให้ลืมมันไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าความน่าสงสารของหลินอ้าวเสว่ เย่เทียนได้แต่ส่ายหัวตอบอย่างไม่แยแส “ตอนนี้ผมแต่งงานแล้ว และจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายของประเทศแล้วด้วย!”
“เมื่อกี้คุณก็บอกผมแล้ว หลังจากกลับไป มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณจะหมั้นกับเยี่ยนจื่อเฉิน และผมก็ขออวรพรให้คุณอย่างจริงใจ”
“เย่เทียน ฉันเกลียดคุณ!”
หลินอ้าวเสว่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่เธอพยายามควบคุมได้อีกต่อไป หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ที่ใสกระจ่างร่วงหล่นลงสู่พื้น เธอเปล่งเสียงความเจ็บปวดออกมาจากใจแล้วหันหน้าวิ่งออกไปด้วยความขมขื่น
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวคนนี้ที่เดินจากไป เย่เทียนได้แต่ส่ายหัวและไม่ได้คิดว่าจะไล่ตามเธอไปเลย
เวลาสามารถขัดเกลาได้ทุกสิ่ง แต่บางสิ่งนั้นถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สามารถขัดเกลาได้ด้วยเวลาอันสั้น!
เกลียดหลินอ้าวเสว่งั้นหรือ?
เขาเกลียดเธอในชาติที่แล้วก็จริง แต่ตอนนี้เขากลับมามีชีวิตใหม่แล้ว ซึ่งเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลังตั้งนานแล้วด้วย
ชีวิตคนเราสั้นๆ ไม่ถึงร้อยปี แทนที่จะกังวลถึงเรื่องในอดีต เราหันมาใช้ชีวิตของปัจจุบันให้มีความสุขและเตรียมพร้อมก้าวเดินต่อไปจะไม่ดีกว่าหรือ?
เมื่อเห็นหลินอ้าวเสว่เดินลับไปจากสายตา เย่เทียนยังไม่ได้รีบกลับเข้าไปในบ้าน แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาจี้เยียนหรัน
และเมื่อสายโทรติด น้ำเสียงเบื่อหน่ายของจี้เยียนหรันก็ดังขึ้น “ว่ามาสิ ครั้งนี้คุณมีเรื่องอะไรอีกแล้ว?”
“คุณรู้ได้ไงว่าผมมีเรื่องอีกแล้ว?” เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้น
จี้เยียนหรันเบะปากแล้วตอบอย่างไม่เกรงใจ “คุณก็แค่ไม่มีธุระก็ไม่โทรหาฉัน แล้วครั้งไหนที่คุณโทรหาฉันแล้วไม่มีเรื่องให้ช่วยล่ะ?”
เย่เทียนถึงกับผงะไปสักพัก จากนั้นเขาลูบจมูกด้วยความอึดอัดใจและพูดเข้าเรื่องทันที “ผมอยากให้คุณช่วยหาวัสดุยาหน่อย ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวผมจะส่งไปในข้อความ คุณช่วยเร่งหาให้ผมหน่อยนะ”
หลังจากกดวางสายและเขียนรายการยาเสร็จ ก่อนที่จะกดส่งออกเย่เทียนก็เหมือนนึกบางอย่างได้และเขียนเพิ่มเติมลงไปอีกว่า ‘หงจูซา’ ‘เหินหาวปี่’ และยังมีวัสดุยาอื่นๆ …..