บทที่ 129 เฉินหยังที่ไม่ยอมตายใจ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เฉินหวั่นชิงผู้ซึ่งดูวิดีโอนี้ด้วยก็รู้สึกซับซ้อนมาก

เมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เธอก็สามารถเข้าใจได้ถึงความรุนแรงและความหยาบคายของเย่เทียน

เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนนักบุญ ทุกคนก็ย่อมมีอารมณ์ความรู้สึก แม้แต่เธอเองยังมีอารมณ์ด้านลบเลย

เธอเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เย่เทียนที่ยังคงมีแววตานิ่งสงบ ในใจเธอรู้สึกผิดมาก แม้เธอจะไม่ยอมรับมัน แต่เธอก็รู้ตัวว่าเธอกำลังรู้สึกผิดอยู่

เธอรู้สึกผิดเพราะไม่ไว้ใจเย่เทียน

รู้สึกผิดที่ไม่ได้ยืนหยัดและเข้าข้างเย่เทียนตั้งแต่แรก

เธอรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนในช่วงนี้ แต่ทำไมเธอถึงไม่ยอมปล่อยวางแล้วลองทบทวนในตัวของเย่เทียนใหม่อีกครั้ง?

“หวั่นชิง เข้ามาหาปู่นี่สิ”

ในท่ามกลางความคิดที่ฟุ้งซ่าน เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นในหูเฉินหวั่นชิงก็ดึงสติกลับมาได้ และรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเฉินชังไห่

“หวั่นชิง ถึงแม้หนูไม่เคยบ่นกับปู่ แต่ปู่รู้ดีว่าหนูไม่พอใจกับการจัดการของปู่สักเท่าไหร่ ปู่รู้ว่าบางทีหนูอาจจะรู้สึกน้อยใจบ้าง แต่ว่า……”

เฉินชังไห่กุมมือเฉินหวั่นชิงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “หนูต้องเข้าใจก่อนนะ ว่าปู่ยังไงก็คือปู่ของหนู และปู่จะไม่มีวันทำร้ายหนูอยู่แล้ว”

“คุณปู่คะ หนูไม่ได้รู้สึกน้อยใจเลยนะคะ” เฉินหวั่นชิงส่ายหัว

“ปู่ไม่ได้แก่จนสมองเบลอหรอกนะ”

เฉินชังไห่ส่ายหัวอย่างขมขื่น “ปู่ดูออกอยู่ว่าทัศนคติของหนูที่มีต่อเสี่ยวเทียนนั้นเป็นอย่างไร”

“เสี่ยวเทียนเคยทำตัวเหลวไหลก็จริง แต่ช่วงนี้เขาก็เปลี่ยนตัวเองไปมากแล้ว หนูเองก็น่าจะรู้สึกได้เหมือนกันนะ ปู่หวังว่าหนูจะปล่อยวางอคติที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้ได้ ยังไงก็ลองเปิดใจให้เสี่ยวเทียนสักครั้ง”

“คุณปู่คะ หนูขอถามอะไรคุณปู่หน่อยได้ไหม?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉินหวั่นชิงก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ “ทำไมตอนนั้นคุณปู่ถึงให้หนูแต่งงานกับเย่เทียนคะ?”

เฉินหวั่นชิงกวาดสายตาไปที่เฉินชังไห่แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “ถึงแม้เย่เทียนจะเป็นคนของตระกูลเย่จากเมืองจินก็จริง แต่เขาถูกทอดทิ้งไปแล้วนะคะ……”

“หวั่นชิง ตอนนี้หนูก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องบางเรื่องถึงควรถึงเวลาที่ต้องบอกหนูแล้วล่ะ”

เฉินชังไห่ตบมือเรียวงามของเฉินหวั่นชิงเบาๆ แล้วพูดอย่างลึกซึ้งว่า “ต่อให้ตระกูลเย่จะละทิ้งเย่เทียนไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลยนะ”

ดวงตาขุ่นมัวของเฉินชังไห่เปล่งประกายความทรงจำที่ลึกซึ้ง “ที่สำคัญ คนคนนั้นก็แค่หายตัวไปเท่านั้น ไม่มีหลักฐานว่าเขาตายจริงหรือเปล่า แล้วถ้าหากวันหนึ่งเขาปรากฏตัวขึ้นมาล่ะ ตระกูลเย่จะนับประสาอะไรได้?!”

“คุณปู่พูดถึงใครคะ?” เมื่อรับฟังคำอธิบายที่ไม่ใช่คำอธิบายนี้ เฉินหวั่นชิงกลับรู้สึกสับสนมากขึ้น

ในฐานะนักธุกิจคนหนึ่ง เธอรู้ดีกว่าตระกูลเย่นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าใครกันแน่ที่สามารถทำให้ครอบครัวใหญ่อย่างตระกูลเย่ถึงกับเทียบกับเขาไม่ได้

“เรื่องนี้ปู่ยังบอกหนูไม่ได้ชั่วคราวนะ แต่ถึงเวลานั้น หนูก็จะรู้เองว่าปู่หมายถึงใคร”

เฉินชังไห่ส่ายหัวแล้วพูดอย่างลึกซึ้ง “โดยสรุปแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ ปู่หวังว่าหนูจะมีชีวิตที่ดีกับเย่เทียน ไม่ใช่ทำเพื่อตระกูลเฉินของเราเท่านั้น แต่เพื่อความสุขของตัวหนูเองด้วยนะ”

“คุณปู่คะ หนู……” เฉินหวั่นชิงทำท่าสับสน

แต่ก่อนที่เธอจะถามคำถาม เฉินชังไห่ก็โบกมือแล้วพูดแทรกว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้เราคุยกันเท่านี้ก่อน ปู่เหนื่อยแล้ว หนูก็รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเลย”

“หนู……” เฉินหวั่นชิงยิ่งฟังก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ แต่สำหรับคำสั่งของเฉินชังไห่นั้น ในที่สุดเธอก็ทำได้เพียงจากไปด้วยความสงสัย

“เสี่ยวฝู ข้าถูกหรือผิดที่ทำแบบนี้?”

หลังจากเฉินหวั่นชิงจากไป เฉินชังไห่ก็ดูเหมือนจะแก่ไปมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าสหายเก่าของเขาอย่างลุงฝูคนนี้ เขาถึงจะกล้าถอดหน้ากากบนใบหน้าของเขาออกไป

“นายท่าน ทุกสิ่งที่ท่านทำก็เพื่อตระกูลเฉิน และผมเชื่อว่าคุณหนูหวั่นชิงต้องเข้าใจได้ครับ”

ลุงฝูพูดอย่างลึกซึ้งว่า “จะว่าไป ช่วงนี้คุณชายเย่เปลี่ยนไปมากเลยนะครับ ผมยังสงสัยเลยว่า……”

“เอ็งหมายถึงเขาคนนั้นจะมาหาเย่เทียนเป็าการส่วนตัวเหรอ?”

เฉินชังไห่ถึงกับตกตะลึง

“จะใช่เขาคนนั้นหรือไม่ ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่ที่ผมแน่ใจคือมีคนมาหาคุณชายเย่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ?”

รอยยิ้มร่าเริงปรากฏขึ้นที่มุมปากของลุงฝู จากนั้นเขาเหมือนเล่นกลและหยิบเอกสารชุดหนึ่งแล้วยื่นออกไป “นายท่าน ท่านลองดูเองสิครับ นี่คือพฤติกรรมช่วงนี้ของคุณชายเย่ครับ”

……

“ว่าไงนะ? เรื่องนี้จบแค่นี้เหรอ?”

เฉินหยังที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “แม่ครับ ผมบาดเจ็บสาหัส แต่ไอ้ชาติหมาคนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยนะครับ แล้วคุณปู่จะปล่อยให้เรื่องมันจบแบบนี้ได้ยังไง?!”

“แกหุบปากเลยนะ!”

เฉินจุนเหอไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของลูก “แกเป็นคนลงมือทำร้ายคนอื่นก่อนไม่ใช่เหรอ ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้แล้วยังทำตัวกร่างแบบนี้!”

“คุณนั่นแหละหุบปาก!”

ในวินาทีต่อมาเกาหย่าหยุนก็ตะคอกขึ้นด้วยความโกรธ “ตอนนี้รู้จักใส่อารมณ์แล้วเหรอ? เมื่อกี้ต่อหน้าไอ้แก่คนนั้น อารมณ์ความรู้สึกของคุณอยู่ไหน? ไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างคุณ นอกจากจะตำหนิลูกชายตัวเองแล้วคุณทำอะไรได้บ้าง?!”

“คุณนี่มันไร้เหตุผลจริงๆ!”

เฉินจุนเหอหัวร้อนจนพูดไม่ออกและทิ้งประโยคสิ้นท้ายก่อนจะออกจากห้องผู้ป่วยด้วยความโกรธ

และหลังจากเฉินจุนเหอออกไป เกาหย่าหยุนจึงเก็บท่าทางของมนุษย์ป้าแล้วพูดกับเฉินหยังด้วยความรัก “เสี่ยวหยัง ลูกไม่ต้องกังวลนะ แม่จะไม่มีวันปล่อยให้ลูกต้องถูกทำร้ายฟรีๆ หรอก”

“แต่ว่า ไอ้แก่คนนั้นมันปกป้องเย่เทียน เราอย่าเพิ่งไปทำอะไรมันตอนนี้เลยจะดีกว่า รอให้สถานการณ์มันคลี่คลายลงก่อน แล้วแม่จะแก้แค้นให้ลูกเอง!”

มารดาผู้เป็นที่รักคนนี้ ต่อให้เฉินหยังจะเป็นคนผิด แต่เกาหย่าหยุนก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดของเฉินหยัง

ยิ่งไปกว่านั้น คลิปในกล้องวงจรปิด เฉินหยังแค่ผลักเย่เทียนเท่านั้น แต่กลับถูกเย่เทียนทำร้ายจนสาหัสขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้คนเป็นแม่คนนี้ทุกข์ใจและจะไม่โกรธได้อย่างไร?

เพียงแต่ว่า เกาหย่าหยุนก็เป็นลูกหลานของนักธุรกิจ อย่างน้อยเธอก็มีมันสมองอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงไม่เลือกที่จะทำอะไรโง่ๆ อย่างแน่นอน

“เสี่ยวหยัง ช่วงนี้ลูกพักผ่อนเยอะๆ นะ แม่จะกลับไปบ้านตา แล้วแม่จะทำซุปเห็ดหลินจือร้อยปีจากบ้านคุณตามาให้ลูกบำรุงร่างกายนะ”

เมื่อมองดูเกาหย่าหยุนจากไป สีหน้ามารยาทดีแต่เดิมของเฉินหยังก็กลายเป็นความอาฆาตแค้นทันที จากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างหมอนขึ้นมาแล้วกดโทรออกไปหาคนคนหนึ่ง

“พี่เจิ้น เรื่องที่พี่เจิ้นให้ผมทำก่อนหน้านี้ ผมรับปากนะครับ!”

เสียงของเจิ้นเซ่าเฉินดังขึ้นจากปลายสาย “ฮ่า ๆ พี่รู้อยู่แล้วว่าน้องหยังไม่ทำให้พี่ผิดหวังหรอก”

เฉินหยังเสนอความเรียกร้อง “แต่พี่เจิ้นครับ ผมมีเรื่องจะขอร้องเรื่องหนึ่งครับ!”

เจิ้นเซ่าเฉินหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า “มีเรื่องอะไรน้องหยังว่ามาเลยนะ ขอแค่พี่ชายคนนี้ทำได้ พี่จะรับปากน้องอย่างแน่นอน!”

““หลังจากเรื่องนี้จบลง ผมอยากให้เย่เทียนคุกเข่าขอร้องผมครับ!” เฉินหยังกัดฟันพูด

“พี่ก็คิดว่ามีเรื่องใหญ่อะไร น้องหยัง เรื่องนี้พี่รับปาก!”

เจิ้นเซ่าเฉินหัวเราะแล้วพูดต่อ “ขอแค่ไม่มีอะไรผิดพลาด พี่รับปากว่าจะให้เย่เทียนคุกเข่าอ้อนวอนน้องเอง!”

หลังจากวางสาย เฉินหยังก็มองไปที่ประตูทางเข้าที่ซึ่งเป็นห้องผู้ป่วยระดับวีไอพีที่มีพยาบาลหญิงโดยเฉพาะ และเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “มานี่สิ!”

“หืม? คุณเฉินคะ อย่าทำแบบนี้สิ หนูมีแฟนแล้วนะคะ”

“ครั้งละแสน!”

นัยน์ตาของพยาบาลสาวเป็นประกายด้วยความปีติ เธอลืมแฟนหนุ่มของเธอทันที และจากนั้นเธอก็ถอดเสื้อผ้าออกอย่างเชื่อฟังแล้วเดินเข้าไปหาเขา……