ตอนที่ 1886 จุดจบของพระสนมฉิน (7) / ตอนที่ 1887 จุดจบของพระสนมฉิน (8)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1886 จุดจบของพระสนมฉิน (7)

ตอนแรกตระกูลฉีไม่ได้มีอิทธิพลมากขนาดนี้ และเมื่อรวมกับความมั่นใจในตัวเองของเขา เขาจึงไม่ได้ปิดบังความจริงอะไรและไม่ได้สังหารแพทย์ทำคลอดคนนั้นด้วย

ต่อให้มีคนสืบเรื่องนี้ สิ่งที่เขาทำก็สมเหตุสมผลอยู่ดี ใช่แล้ว ฉีเจิ้งเชื่อว่าการกระทำของเขามีเหตุผลสมควรดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าเรื่องจะถูกเปิดเผย อีกอย่างเขาก็พาฉีมั่วเข้ามาเพื่อป้องกันไม่ให้ฉีหลิงรู้สึกเจ็บปวดมากนัก

ส่วนเจี่ยนเฟยเฟย…นางอยากจะจัดการแพทย์ทำคลอดเอง แต่ว่าแพทย์ทำคลอดคนนั้นก็เจ้าเล่ห์มากจนไม่เหลือโอกาสให้เจี่ยนเฟยเฟยได้ลงมือ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเจี่ยนเฟยเฟยก็ไม่ได้สูงมากพอในตอนที่แพทย์ทำคลอดหนีไป สุดท้ายฉีซูก็ทุ่มเทกำลังไปมากเพื่อตามหาแพทย์ทำคลอดคนนั้น

“ข้าน้อยคำนับฝ่าบาทเพคะ” องครักษ์สองคนเดินนำแพทย์ทำคลอดเข้ามาจากนั้นนางก็คุกเข่าลงตรงหน้าจักรพรรดิแล้วตัวสั่น

ทันทีที่เจี่ยนเฟยเฟยเห็นแพทย์ทำคลอดปรากฏตัว นางก็ซวนเซจนเกือบจะเป็นลม

“พูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” มู่เจิ้นเทียนถามด้วยสีหน้าเย็นชา

แพทย์ทำคลอดตัวสั่น “เป็น…เป็นเจี่ยนเฟยเฟยเพคะ นางมอบขวดยาขวดหนึ่งให้หม่อมฉันไปโรยลงบนดอกไม้แล้วให้หม่อมฉันบอกผู้นำตระกูลฉีว่าเด็กที่เกิดมาจะนำโชคร้ายมาให้ เจี่ยนเฟยเฟยจะได้ฉวยโอกาสเสนอบุตรชายให้เข้าไปอยู่ในจวนได้ ฝ่าบาท เจี่ยนเฟยเฟยสัญญากับหม่อมฉันว่าจะให้ค่าจ้างหนึ่งร้อยตำลึงเงิน แต่ตอนที่หม่อมฉันกลับบ้านบังเอิญเผลอพูดเรื่องนี้กับบุตรชาย บุตรชายของหม่อมฉันเป็นคนฉลาด แล้วบอกว่าเจี่ยนเฟยเฟยต้องส่งมือสังหารมาปิดปากหม่อมฉันแน่…”

“ดังนั้น…” เสียงของนางสั่นอย่างต่อเนื่องขณะพูด “หม่อมฉันจึงหนีโดยไม่รับเงินค่าจ้าง ฝ่าบาทหม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันทำผิดไป ได้โปรดละเว้นหม่อมฉันเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่ได้รับเงินมาเลย”

มู่เจิ้นเทียนแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าก็รู้ว่าการกระทำของตัวเองทำให้ชีวิตบริสุทธิ์หนึ่งชีวิตต้องตายไม่ใช่หรือ การชดใช้ชีวิตด้วยชีวิตก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว!” หลังจากพูดจบ เขาก็มองเจี่ยนเฟยเฟยเคร่งเครียด เมื่อฉีเจิ้งเห็นท่าทางของนาง เขาก็รู้ว่าแพทย์ทำคลอดคนนั้นพูดความจริง

“เจี่ยนเฟยเฟย!” เขารีบตะโกนขึ้นมาอย่างเดือดดาล หลายปีมานี้เหตุผลที่ฉีเจิ้งรักเจี่ยนเฟยเฟยมากคืออะไร ไม่ใช่เพราะจิตใจที่ดีงามของนางหรอกหรือ

เมื่อปีนั้นหลังจากที่เขาบีบคอบุตรชายจนตาย เขาก็กังวลว่าจะอธิบายให้หลินฉิงฟังว่าอย่างไรดี เจี่ยนเฟยเฟยเป็นคนที่เสนอตัวอย่างน่านับถือด้วยการบอกว่านางยินดีเสียสละเพื่อให้หลินฉิงได้เติมเต็มความปรารถนาที่จะมีบุตรชาย!

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขารู้สึกผิดต่อนางมาก แล้วยังเชื่อว่าหลินฉิงกีดกันนางเพราะเรื่องบุตรชาย เขาไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะแผนที่นางวางเอาไว้…

สีหน้าของฉีเจิ้งดูเศร้าสร้อยและเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เขายังเผลอฝันด้วยว่าถ้าบุตรชายคนโตของเขายังอยู่ทุกอย่างก็คงต่างออกไป ความรุ่งเรืองของตระกูลฉีก็คงเป็นของเขา และตำรับน้ำยาผสานฌานก็คงเป็นของเขาด้วยเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉีซูก็คงกตัญญูต่อเขาด้วย…

แม้แต่ตอนนี้ฉีเจิ้งก็ยังไม่เห็นความผิดของตัวเองแล้วโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้เจี่ยนเฟยเฟย เพราะการตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาลของฉีเจิ้งทำให้ปราการป้องกันสุดท้ายของเจี่ยนเฟยเฟยพังทลายลง นางทรุดตัวลงกับพื้น

สีหน้าของนางซีดราวกับศพและดูหวาดกลัวมาก นางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“พอ!” เมื่อเห็นว่าฉีเจิ้งกำลังจะดุด่าเจี่ยนเฟยเฟย ฉีซูก็ตะโกนขึ้นมาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีสิทธิ์ลงโทษนาง สตรีผู้นี้กล้าลงมือกับมารดาข้าอย่างโหดร้ายและยังทำให้พี่ชายของข้าต้องตาย ข้าจะจัดการนางด้วยตัวเอง…”

“ส่วนเจ้า” ฉีซูยิ้มเย็น “เจ้าไม่คิดว่าความตายจะสบายเกินไปสำหรับเจ้าหรือ”

ไม่มีทาง! เขาจะทำให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานไปทั้งชีวิต!

อวิ๋นลั่วเฟิงเอนพิงต้นไม้และเมื่อเห็นแววตาชั่วร้ายของฉีซู นางก็เผลอยกยิ้ม

สำหรับมนุษย์แล้ว ความตายเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด

…………………………

ตอนที่ 1887 จุดจบของพระสนมฉิน (8)

แต่ยังมีอีกวิธีที่เรียกว่าการทำให้พวกเขาอยู่มิสู้ตาย! ส่วนเรื่องทั้งหมดนี้ อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้ไปมีส่วนร่วมเพราะนางรู้ว่าฉีซูจะจัดการด้วยตัวเองได้

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของฉีซูทำให้ฉีเจิ้งหวาดกลัวมากจนเสียงสั่น “ซูเอ๋อร์ ข้าเป็นบิดาเจ้านะ”

“บิดาอย่างนั้นรึ” ฉีซูเยาะเย้ย “บิดาข้าตายไปตั้งแต่ตอนที่เขาสังหารพี่ชายข้าแล้ว”

สีหน้าของฉีเจิ้งซีดเผือดขณะที่ร่างของเขาซวนเซจนล้ม ใบหน้าของเขาขาวซีดและดวงตาก็ปรากฏความเจ็บปวด เขาเสียใจจริงๆ! เสียใจที่ตัวเองหลงเชื่อเรื่องหลอกลวงแล้วสังหารบุตรแรกเกิดของตัวเอง เขายิ่งรู้สึกเสียใจ…ที่ดูแลฉีซูได้ย่ำแย่หลังที่อวิ๋นเยว่ชิงหายตัวไป

น่าเสียดาย ทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว และการรู้สึกเสียใจก็ไม่มีประโยชน์

“ฉีซู” ภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดที่หนักอึ้ง จู่ๆ เสียงเฉยชาก็ดังขึ้นจนทำให้สายตาของทุกคนหันไปมองใบหน้างามจนลืมหายใจของนาง

ตอนแรก มู่เจิ้นเทียนไม่ได้สนใจอวิ๋นลั่วเฟิงมากนัก เขารู้แค่ว่านางเป็นผู้มีพระคุณของเขา แต่ว่า…เมื่อตอนนี้เขาเห็นใบหน้าน่าหลงใหลและท่าทางสง่างามของนาง ดวงตาของเขาก็ฉายแววตะลึง

เหมือน! พวกนางเหมือนกันมาก!

นางและอวิ๋นเยว่ชิงหน้าคล้ายกันราวกับถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกันเลย เขาสงสัยว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ถ้าบอกว่าทั้งสองไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้นี้ก็ปรากฏตัวข้างกายฉีซูและยังรับฉีหลิงเป็นศิษย์ ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นเยว่ชิง เหตุใดนางถึงบังเอิญมารู้จักกับฉีซูและน้องสาวของเขาได้ ทั้งยังไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเขา

“นายหญิง” ฉีซูไม่ได้ปกปิดตัวตนของอวิ๋นลั่วเฟิงและเรียกนางอย่างอ่อนโยน เมื่อพระสนมฉินล้มลงแล้วก็ไม่มีอะไรที่ตระกูลฉีต้องกลัวอีก

ฉีเจิ้งที่ล้มอยู่ที่พื้นและยังไม่ได้ลุกขึ้นมาก็ตาเบิกกว้างทันทีเมื่อได้ยินฉีซูเรียกอวิ๋นลั่วเฟิง ขณะที่จ้องอวิ๋นลั่วเฟิงตาไม่กะพริบ

“เจ้าเป็นใครกันแน่!” ถึงแม้ว่าสตรีผู้นี้และอวิ๋นลั่วเยว่ชิงจะมีใบหน้าคล้ายกันมาก เขาก็ไม่ได้คิดว่าพวกนางเกี่ยวข้องกัน เหตุผลก็เพราะระหว่างสตรีสองคนนี้ คนหนึ่งมีพรสวรรค์โดดเด่นและกล้าหาญ ในขณะที่อีกคนประจบประแจงฉีซู…

ใช่แล้ว ในสายตาของทุกคนอวิ๋นลั่วเฟิงอาศัยที่มีใบหน้าเหมือนอวิ๋นเยว่ชิงเข้าหาฉีซูเพื่อหวังเงินทองและฐานะของฉีซู ถึงแม้ว่าฉีซูจะโดนไล่ออกจากตระกูลฉี แต่ใครยืนยันว่าเขาจะไม่ได้กลับเข้ามาอีก แต่…แท้จริงแล้ว ฉีซูเรียกสตรีผู้นี้ว่านายหญิงงั้นหรือ

มู่เจิ้นเทียนและบุตรสาวดูภายนอกเหมือนไม่ได้รับผลกระทบแต่ในใจของพวกเขากลับปั่นป่วนไปแล้ว โชคดีที่พวกเขาคาดเดาตัวตนของอวิ๋นลั่วเฟิงไว้คร่าวๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ตะลึงเท่าคนอื่น

“เจ้าเชื่อว่าความสัมพันธ์ของข้ากับนางเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นล่ะ”

ภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคน อวิ๋นลั่วเฟิงก็พูดขึ้นมาช้าๆ ด้วยเสียงอ่อนโยนดุจสายลมพร้อมรอยยิ้มบาง นางไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าอวิ๋นเยว่ชิงกับไป๋หลิงเป็นคนเดียวกันก็ตาม!

ฉีซูเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “นายหญิง ท่านกับอาจารย์ของข้า…มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกันจริงๆ หรือขอรับ”

“เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ถ้าข้าบอกว่าไม่รู้” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วหันไปหาฉีซู “ที่สำคัญไม่ว่าจะอยู่ในที่สาธารณะหรือไม่ก็ไม่ต้องเรียกข้าว่านายหญิง! หลิงเอ๋อร์เป็นศิษย์ของข้า เจ้าเรียกชื่อข้าตรงๆ ก็ได้”

ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดไป๋หลิงคืออวิ๋นเยว่ชิงจริงๆ…ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงยุ่งเหยิงมาก

นางไม่รู้งั้นหรือ

ฉีซูชะงักไปเล็กน้อย ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ดังนั้นเหตุใดนางถึงไม่รู้

“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ารีบจัดการเรื่องที่นี่ให้เสร็จเถอะ อย่าให้พวกเขามารบกวนข้า” อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ต้องการอธิบายไปมากกว่านี้ นางบิดขี้เกียจแล้วเดินผ่านฝูงชนเข้าไปในตระกูลฉี