ตอนที่ 455 จัดการ
เมื่อเห็นหลักฐานที่อันหลิงเกอนำออกมา สีหน้าของแม่ทัพลวี่ก็เปลี่ยนไปทันที
“เด็กเด็ก นำตัวเนี่ยอันอันออกไป ! ”
“ท่านแม่ทัพ ไม่นะเจ้าคะ ! ”
หลังจัดการเรื่องในจวนลวี่เสร็จแล้ว อันหลิงเกอกับมู่จวินฮานก็เตรียมตัวกลับจวนอ๋อง
“เกอเอ๋อ ! ” เป็นซูเอ๋อที่เดินมาขอบคุณอีกครั้ง
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เดิมทีมู่จวินฮานตั้งใจค้างคืนที่เรือนฝูหลิง แต่ขณะที่เขากำลังเข้าใกล้อันหลิงเกอ อยู่ ๆ หนอนกู่ตัวแม่ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นอันหลิงเกอขมวดคิ้ว เขาก็รู้ทันทีว่าหนอนกู่ตัวลูกในกายนางคงมีปฏิกิริยาบางอย่างเช่นกัน
“เจ้าพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้ามิค้างดีกว่า”
เมื่อเห็นมู่จวินฮานเปลี่ยนไปเช่นนี้ ภายในใจของอันหลิงเกอก็เกิดความรู้สึกที่บอกมิถูก
“ได้ยินว่าเมื่อคืนท่านอ๋องออกจากเรือนฝูหลิงกลางดึก ! ”
“อย่างนั้นหรือ ? ดูท่าแล้วพระชายาแม้งดงามแต่กุมหัวใจท่านอ๋องไว้มิได้เสียแล้ว”
อันหลิงเกอที่เพิ่งตื่นนอนก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังอยู่นอกประตู แต่นางชินชากับคำพูดประชดประชันของคนเหล่านี้เสียแล้วจึงได้แต่ยิ้มเยาะออกมา
“ปี้จู เปลี่ยนชุด”
วันนี้นางต้องเข้าวัง แม้มีข่าวลือในจวนอ๋องมากเพียงใดก็เป็นแค่ข่าวลือ แต่ถ้าแต่งกายมิสุภาพจนเป็นเสียมารยาทในการเข้าวังก็จักเป็นเรื่องให้คนเอาไปหัวเราะเยาะได้จริง
“เจ้าค่ะ”
ทันทีที่พ้นประตูเข้าไปก็เห็นบรรดาเช่อเฟยและสนมยืนเรียงกันภายในเรือนของมู่จวินฮาน มิรู้ว่าพวกนางต้องการมาเคารพอันหลิงเกอหรือตั้งใจมาเยาะเย้ยกันแน่
พวกนางยืนกันโดดเด่นเช่นนั้น อันหลิงเกอที่อยากแสร้งทำมิเห็นก็ทำมิลง
“คารวะพระชายาเจ้าค่ะ”
หลิงอวี่หนิงทำความเคารพอย่างขอไปที การกระทำของนางตกอยู่ในสายตาของมู่จวินฮานที่อยู่มิไกลเข้าพอดี มิรู้เหตุใดภายในใจเขาจึงมิอยากเห็นอันหลิงเกอถูกล่วงเกินเช่นนี้
“ในจวนนี้มิเคยมีผู้ใดสอนเรื่องมารยาทพวกเจ้าหรือ ? ”
ตอนที่ได้ยินเสียงของมู่จวินฮาน อวี๋หมิงหลันยังแอบดีใจว่าจักได้เยาะเย้ยอันหลิงเกอเสียอีก เพราะหลายวันมานี้มู่จวินฮานเย็นชาต่ออันหลิงเกอมิน้อย
ทว่าพอมู่จวินฮานเดินมาหยุดตรงหน้าแล้วจ้องมองพวกนางจึงทำให้พวกนางตกใจมาก
“ท่านอ๋องเจ้าคะ ! ”
เสียงเข่ากระแทกพื้นของพวกนางทำให้อันหลิงเกอที่ได้ยินรู้สึกเจ็บแทนมิน้อยเลย
“กลับไป”
มู่จวินฮานมิชอบเรื่องการแก่งแย่งช่วงชิงของเหล่าสตรี แต่มิคิดว่าจักได้เห็นต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ บัดนี้ได้เวลาที่เขาและอันหลิงเกอต้องเข้าวังจึงมิควรมาเสียเวลาอีก
“ไปกันเถิด”
มู่จวินฮานเดินนำอยู่ด้านหน้าราวกับมิได้รออันหลิงเกอ แต่การที่เขาเข้ามาช่วยเมื่อครู่ก็ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกอบอุ่นใจมิน้อย
เรื่องในชาติก่อนเหมือนภาพที่ชัดเจนขึ้นบ้าง แต่นางคิดมิออกว่าชาติก่อนมีคนที่จริงใจและอ่อนโยนต่อนางหรือไม่
แม้ช่วงนี้มู่จวินฮานเย็นชาต่อนางบ้าง ทว่าอย่างไรเขาก็คือสามีของนาง
ระหว่างทางที่อยู่บนรถม้า มู่จวินฮานมิได้เปิดปากพูดแม้แต่คำเดียวและอันหลิงเกอก็มิใส่ใจเขาเช่นกัน
เรื่องเมื่อคืน พอนึกถึงทีไรนางก็อดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมามิได้
“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
เมื่อเห็นผู้ที่อยู่บนบัลลังก์มังกรแล้ว อันหลิงเกอมิรู้ว่าเหตุใดพอเข้าวังมาก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
“ลุกขึ้นเถิด ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง”
ฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั้นอันหลิงเกอมิค่อยได้พบพระพักตร์สักเท่าไร พระองค์ดูสง่างาม นิสัยก็อ่อนโยน เพียงแต่น่าเสียดายที่สู้คนเจ้าแผนการเยี่ยงหลี่กุ้ยเฟยมิได้แน่
เดิมทีอันหลิงเกอคิดว่าการเข้าวังมาวันนี้จักมีเพียงพวกนางสองสามีภรรยาเท่านั้น นึกมิถึงว่าอี้หมิงและอันหลิงอีก็ได้เข้าวังเช่นเดียวกัน จังหวะที่เห็นพวกเขาสองคนเดินเข้ามาในท้องพระโรง อันหลิงเกอก็เมินไปด้านอื่นทันที
โลกช่างกลมเสียจริง
การได้พบอันหลิงอีในสถานการณ์ที่มิได้เตรียมพร้อมทำให้ภายในใจของอันหลิงเกอถูกความแค้นเข้าครอบงำอย่างช่วยมิได้
ตอนนี้อันหลิงอีได้แต่งงานออกไป พวกนางจึงมิได้พบหน้ากันนานแล้ว เมื่อเห็นท้องที่นูนขึ้นของอันหลิงอี แววตาของอันหลิงเกอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในตอนที่นางกำลังหันหน้าหนีก็บังเอิญสบกับดวงตาที่แฝงความรู้สึกบางอย่างของมู่จวินฮานเข้าพอดี
คล้ายว่าเขาเองก็ตกใจกับการมาของสองสามีภรรยาคู่นี้มิน้อย
มู่จวินฮานมิเข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงเชิญพวกตนทั้งสี่คนมาพร้อมกันเช่นนี้
“ถวายพระพรฝ่าบาท…อ๋องมู่ก็มาด้วยหรือ”
อี้หมิงโค้งกายเล็กน้อย แต่อันหลิงเกอมองออกว่าท่าทางและคำพูดของเขาดูมิได้มีความเคารพแม้แต่น้อย มีเพียงท่าทีขำขันอยู่ตลอดเวลา
“วันนี้บุตรสาวทั้งสองของท่านโหวอันมาอยู่ที่นี่ด้วย ข้าจึงสั่งให้คนเตรียมงานเลี้ยงไว้เพื่อฉลองความร่วมมือของจวนอ๋องมู่และจวนอ๋องอี้ที่อีกมิกี่วันจักออกไปปราบชนเผ่าชายแดนด้วยกัน ! ”
ว่าอันใดนะ ?
ให้มู่จวินฮานไปกับคนโง่เง่าเช่นนี้หรือ?
ฮ่องเต้กำลังวางแผนอันใดอยู่กันแน่ มิกี่วันก่อนยังไว้วางพระทัยมู่จวินฮานอยู่เลย แต่วันนี้มีรับสั่งที่แปลกประหลาดเสียแล้ว
ส่วนอันหลิงอีได้แต่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเดินเข้ามาจับมือของอันหลิงเกอ แววตานางราวกับมีสายใยของพี่น้องเจืออยู่จริง
แต่อันหลิงเกอดึงมือออกอย่างแนบเนียนมิได้รู้สึกอันใด แล้วสายตาก็เมินหนีอันหลิงอีทันที
“พี่หญิง พวกเราได้มาพบกันในวังเช่นนี้ ทั้งฝ่าบาทยังตั้งพระทัยจัดงานเลี้ยงเพื่อพวกเราด้วย เช่นนั้นพวกเรามานั่งด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็รู้แล้วว่าอันหลิงอีมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่ ทว่าก็มิอาจปฏิเสธได้
“เช่นนั้นก็ดี ! ” กลับเป็นฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ตรัสขึ้นเสียก่อน
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อมู่จวินฮาน และถ้ามู่จวินฮานกับอี้หมิงสนิทสนมกันเช่นนี้ ต่อไป พวกเขาทั้งสองจวนจักได้ร่วมมือกันโดยง่ายเพื่อทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้แก่ต้าโจว
แต่ไหนแต่ไรมางานเลี้ยงในวังมิเคยเป็นงานเรียบง่ายอยู่แล้ว วันนี้ก็เช่นกัน
อันหลิงอีนั่งอยู่ด้านข้างอันหลิงเกอ ถัดไปก็เป็นอี้หมิงทำให้อันหลิงเกอรู้สึกมิเป็นสุขเท่าใด
อันหลิงเกอพยายามข่มอารมณ์ไว้เพื่อมิให้ระเบิดออกมาจนมือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำแน่น
“พี่หญิง เหตุใดเหงื่อของท่านออกเยอะเช่นนี้ ท่านมิสบายหรือเจ้าคะ ? ”
“เกอเอ๋อ เมื่อคืนเจ้าคงเหนื่อยและเป็นข้าที่ผิดเอง”
ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็กุมมือของนางเอาไว้ ก่อนเอ่ยกับอันหลิงอีอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติบนใบหน้าของมู่จวินฮานแล้ว อันหลิงอีจึงมิรู้ควรโต้ตอบเยี่ยงไร นางทำได้เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
มิรู้ว่าเหตุใดจังหวะที่มู่จวินฮานกุมมือนางเอาไว้ อยู่ ๆ อันหลิงเกอก็รู้สึกสบายขึ้นมา ความเครียดและโทสะที่ปะทุขึ้นเมื่อครู่ก็สงบลงทันที
นางจึงหันไปมองเขาก็เห็นว่าเห็นเขายกจอกสุราขึ้นดื่มกับคนด้านข้าง ภาพนั้นดึงดูดสายตาของนางโดยมิรู้ตัว
เขาช่างแตกต่างจากเหล่าเชื้อพระวงศ์คนอื่นเสียจริง
แม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนขัดแย้งกันอยู่ แต่อันหลิงเกอก็ยังเห็นข้อดีของมู่จวินฮานดังเดิม
แม้กลับชาติมาเกิดใหม่ก็ใช่ว่านางจักได้ใช้ชีวิตมากกว่าผู้อื่น นางแค่มีโอกาสได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งเท่านั้น เพียงแต่โอกาสนี้ทำให้นางมองเรื่องต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่าอดีตชาติ
“เอาล่ะ วันนี้ข้ามีความสุขมาก หากสนุกกันพอแล้วพวกเจ้าก็กลับจวนไปพักผ่อนเถิด ! ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“รับด้วยเกล้าเพคะ ! ”
ฮ่องเต้ระแวดระวังพระองค์เองมาแต่ไหนแต่ไรย่อมมิมีทางให้ท่านอ๋องทั้งหลายอยู่ค้างคืนในวังหลวง
เพียงแต่อันหลิงเกอมิคิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จักเป็นไปด้วยความสงบราบรื่น และอันหลิงอีที่นั่งอยู่ด้านข้าง นอกจากมองนางอย่างหยั่งเชิงมิกี่ครั้งแล้วก็มิได้แสดงอาการใดอีก
ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังสงสัยอยู่นั้น ทั้งสี่คนก็เดินออกจากท้องพระโรง ระหว่างเดินอยู่บนทางหินกรวดนั้น เสียงฝีเท้าย่อมดังชัดเจน และตอนนั้นเองภายในใจของอันหลิงอีก็กำลังเต้นแรงเช่นเดียวกัน