ตอนที่ 553 สัมพันธ์ลี้ลับแดนศักดิ์สิทธิ์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 553 สัมพันธ์ลี้ลับแดนศักดิ์สิทธิ์ โดย ProjectZyphon

หลินสวินมองไปด้านหลังสือจวิ้น ที่นั่นยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตจำนวนหนึ่ง ล้วนถือศาสตราวุธ สีหน้าเย็นชา

“ไม่คัดค้าน” หลินสวินสูดหายใจลึก สะกดกลั้นความไอสังหารภายในใจ

“ถึงยังไงเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน!” สือจวิ้นยิ้มเย็น สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ก่อนดึงหญ้าแสงจันทร์ต้นนั้นจากไป

“เอ๋ ธนูคันนี้ของเจ้าไม่เลวนี่ เอามาให้ข้าดูหน่อยซิ” ทันใดนั้นนัยน์ตาสือจวิ้นฉายแวววาบ มองมายัง ‘ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’ ข้างหลังหลินสวิน

“สหายยุทธ์ เจ้าทำเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง” หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง แท้จริงเตรียมพร้อมจะลงมือไว้แล้ว ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเองก็เป็นของล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่ง ใช้ลอบสังหารศัตรู ที่ลี้ลับเกิดคาดเดาที่สุดคือไม่อาจปัดป้องได้

ขณะเดียวกันธนูคันนี้มีพลานุภาพอัศจรรย์สองอย่างคือ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ และ ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ เพียงแค่จุดนี้ก็ใช่ว่าสมบัติทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่มีทางมอบธนูนี้ให้แน่

“สือจวิ้น เวลาเหลือไม่มากแล้ว ธิดาเทพกำลังรอพวกเราอยู่” ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยปาก เตือนสือจวิ้นว่าไม่อาจล่าช้าอีกต่อไป

สือจวิ้นมุ่นคิ้ว ยอมปล่อยไปชั่วคราว กล่าวว่า “มาเถอะ มากับพวกเรา”

“มีอะไรรึ” หลินสวินถาม ตีหน้าซื่อเก็บดาบหักและธนูวิญญาณไร้แก่นสาร

“อย่าพูดมาก ให้เจ้าไปก็รีบไป!” สือจวิ้นหมดความอดทนอยู่บ้าง สีหน้าท่าทางข่มขู่สุดกำลัง ไม่เห็นหลินสวินอยู่ในสายตาสักนิด

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ตระหนักว่าในทิศทางอื่นมีผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่เหมือนกับเขา ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตบีบบังคับคุมตัวประหนึ่งนักโทษมารวมกันอยู่ตรงนี้

หลินสวินหรี่นัยน์ตาลง เหลือบมองสือจวิ้นเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ข่มกลั้นเอาไว้ ไม่ได้ลงมือทันที

สือจวิ้นรู้สึกหนาวเยือกอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงแต่ความรู้สึกนี้พริบตาเดียวก็หายไป ทำให้เขาแทบจะนึกว่าคิดไปเอง

“รีบไป เวลาเหลือไม่มากแล้ว ธิดาเทพกำลังเรียกหาพวกเรา ตำหนักที่ซ่อนโอสถเทพนั่นใกล้ปรากฏขึ้นแล้ว” ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตะโกนลั่น

นั่นเป็นชายวัยกลางคนที่อาจหาญแข็งแกร่งคนหนึ่ง นัยน์ตาดุจอสนีบาต ฉายแววเย็นเยือกน่าตระหนก ท่วงทำนองมรรคแผ่กระจายทั่วร่าง เห็นชัดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะรุ่นอาวุโสคนหนึ่ง ศักยภาพทรงพลังน่าหวาดกลัว

เขามีนามว่าเป้าหยา เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิต

“ทุกท่าน เดินทางไปด้วยกันเถอะ” เป้าหยาเปิดปากพูดคุย

หลินสวินได้แต่ข่มกลั้นอดทน เดินทางไปพร้อมกับผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิต

มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากถูกจับกุมมาเหมือนกับเขา

ภายหลังหลินสวินจึงรู้ว่าเผ่าสิงห์โลหิตต้องการใช้พวกเขาเป็นเบี้ย มุ่งหน้าไปยังสถานที่ล่อแหลมอันตรายเกินคาดเดาแห่งหนึ่งเพื่อแสวงหาวาสนา

หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป

พวกเขาทั้งกลุ่มปรากฏตัวอยู่กลางทะเลทรายผืนหนึ่ง

ทะเลทรายเสมือนไร้ขอบเขต ไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต ปกคลุมไปด้วยกรวดทรายสีทองอร่าม

ไม่เหมือนทะเลทรายของโลกภายนอก ท้องฟ้าและผืนดินที่นี่เย็นเยียบเสียดกระดูกถึงที่สุด แม้ว่าเป็นเวลากลางวันก็เต็มไปด้วยอากาศหนาวเย็นอันน่าประหวั่น ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

เมื่อพวกหลินสวินมาถึงที่แห่งนี้ พบว่ายังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตอีกกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว รอคอยอยู่ตรงนั้น

ผู้นำคือหญิงสาวงามงดสีหน้าท่าทางหยิ่งทะนงเย็นชาคนหนึ่ง ผมสีโลหิตนุ่มสลวยทั้งศีรษะ รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง สวมเสื้อคลุมสีดำ ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ให้ความรู้สึกงดงาม เย็นชา แปลกแตกต่างไม่เหมือนใคร

“คำนับธิดาเทพ!”

เมื่อเห็นหญิงสาวคนนี้ พวกเป้าหยาสือจวิ้นต่างเปลี่ยนเป็นเคารพนอบน้อมขึ้นมา เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้สถานะสูงส่งในเผ่าสิงห์โลหิต ต้องเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคนหนึ่งแน่นอน

“นั่นคือธิดาเทพหลินหลางเผ่าสิงห์โลหิตรึ”

“น่าจะเป็นนาง ได้ยินว่าผู้หญิงคนนี้จิตใจอำมหิต ฝีมือโหดเหี้ยม พลังปราณทั่วร่างลึกล้ำยากหยั่งถึง พวกเราตกอยู่ในเงื้อมมือนาง ผลที่ตามช่างน่าหนักใจเหลือเกิน”

บรรดาผู้ฝึกปราณที่ถูกจับกุมมาพวกนั้นส่งเสียงกระซิบกระซาบ สีหน้าเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและกลัดกลุ้มใจ

หลินสวินกลับสีหน้าท่าทางนิ่งสงบ พิจารณาทุกสิ่งรอบด้านอย่างไม่เป็นที่สังเกต

“ธิดาเทพ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เป้าหยาก้าวไปข้างหน้าก่อนถามเสียงเบา

“ไม่สาหัสนัก” หลินหลางส่ายศีรษะ

“น่าแค้นใจนัก บุตรเทพอวี่เซียวเซิงเผ่าวาฬมังกรนั่น ถึงขั้นกล้าอาศัยช่วงชุลมุนดักซุ่มโจมตี แค้นนี้ต้องชำระ!” สือจวิ้นกัดฟันกรอด ส่งเสียงออกมาด้วยความโกรธ

“ไม่เพียงแต่ชำระแค้น ยังต้องชิงต้นกล้า ‘รุกขทรัพย์วิญญาณทอง’ ที่อริยะเพาะปลูกนั่นกลับมา! บนนั้นสลักความลับแห่งมหามรรคธาตุทอง คือสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน ไม่อาจตกอยู่ในเงื้อมมือเผ่าวาฬมังกรเด็ดขาด!” เป้าหยากล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ

“พอได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีโอกาสให้สะสาง เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือเข้าไปยังตำหนักหลังนั้นโดยเร็วที่สุด ภายในนั้นซ่อนโอสถเทพซึ่งครอบครองความอัศจรรย์ของศุภโชค มิอาจสูญเสียไปได้”

ธิดาเทพหลินหลางโบกมือ นำทุกคนเริ่มดำเนินการ มุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลทราย

‘ต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทอง…’

หลินสวินตะลึงงัน ในที่สุดก็รู้ว่าต้นไม้น้อยสีทองที่เห็นในป่าก่อนหน้านี้ ถึงกับเป็นต้นไม้ล้ำค่าซึ่งให้กำเนิดความลี้ลับแห่งมหามรรคธาตุทอง!

นี่ช่างหาได้ยากยิ่งนัก เรียกได้ว่าเป็นสิ่งไร้เทียมทาน เพียงแค่เพาะปลูกลงไป ชั่วขณะเดียวก็สามารถหยั่งถึงความเร้นลับของมหามรรคธาตุทอง

สมบัติล้ำค่าเช่นนี้เรียกได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้ แม้อยู่ในดินแดนโบราณก็ยากจะพบเห็นอย่างยิ่ง

เห็นชัดว่ากล้าไม้ล้ำค่าต้นนี้เดิมถูกเผ่าสิงห์โลหิตหมายตาไว้ แต่ผลระหว่างต่อสู้แย่งชิงกัน กลับถูกบุตรเทพเผ่าวาฬมังกรอวี่เซียวเซิงซุ่มโจมตีช่วงชิงไป

และธิดาเทพเผ่าสิงห์โลหิตหลินหลางนี่ ก็ได้รับบาดเจ็บจากการลอบโจมตีครั้งนั้น

ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจคิดมากความ ด้วยพวกเขาถูกพามายังส่วนลึกของทะเลทราย

ที่นี่ลมหนาวเย็นยะเยือกเสียดกระดูก ฟ้าดินถึงกับมีผลึกหิมะโปรยปรายโรยร่วง ลอยล่องล้อลม ประดุจดังขนห่านแวววาวเป็นประกาย

แม้หลินสวินจะอาศัยพลังปราณ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบเสียดกระดูกอยู่ระลอกหนึ่ง หนาวเกินไปแล้ว กระแสลมนั่นเสมือนลมยะเยือกเย็นพัดผ่าน ราวกับสามารถแช่แข็งทุกสรรพสิ่ง

ที่ทำให้หลินสวินงงงันมากที่สุดคือ ในทะเลทรายที่อุดมไปด้วยพายุหิมะ ลมหนาวเสียดกระดูก กลับปรากฏทะเลสาบหินหนืดแห่งหนึ่ง!

ทะเลสาบนั้นรัศมีเกือบพันจั้ง หินหนืดสีแดงเข้มม้วนซัดแผดเสียงคำราม ปะทุคลื่นอัคคีโหมกระหน่ำ เกิดอุณหภูมิสูงแสบร้อนหาใดเปรียบ

ผลึกหิมะที่โปรยปรายร่วงหล่นนั้น ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกหลอมละลายหายไปกลางอากาศ

นี่ช่างเป็นภาพมหัศจรรย์หาดูได้ยากอย่างหนึ่ง กลางทะเลทราย ไม่เพียงมีลมหิมะพัดเสียดกระดูก ยังมีทะเลสาบหินหนืดเดือดพล่านแห่งหนึ่ง คล้ายกับหนึ่งหยินหนึ่งหยาง ก่อเกิดหมุนเวียนวัฏจักร เติมเต็มสีสันอันเร้นลับ ณ ที่นี้

“ถึงแล้ว”

เหล่าผู้คนเผ่าสิงห์โลหิตแววตาเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ก่อนหยุดฝีเท้า

ธิดาเทพหลินหลางนำธงสีเหลืองผืนหนึ่งออกมา โบกสะบัดเพียงแผ่วเบา พลันปรากฏหมอกแสงเปล่งประกายสลับทับซ้อนผืนหนึ่งแผ่ขยายออกมา

ทันใดนั้นปรากฏการณ์เบื้องหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป พลันเห็นบนทะเลสาบหินหนืดนั่นปรากฏทางเดินตรงดิ่งสายหนึ่งเชื่อมต่อไปยังใจกลางทะเลสาบ

ณ ที่นั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปรากฏเกาะหนึ่งแห่ง ตลบอบอวลไปด้วยปราณม่วงทองพร่ามัว พอจะมองเห็นภูเขาลูกหนึ่งรางๆ สูงตระหง่านโดดเด่นหนักแน่นมีพลังราวกับหอคอยม่วงอำพัน แผ่กระจายแสงศักดิ์สิทธิ์เร่าร้อน มองเห็นเป็นระยะๆ

ที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงที่สุดคือ บนยอดเขานั่นยังมีตำหนักหลังหนึ่ง ตัวอาคารก่อร่างสร้างขึ้นจากไม้เก่าแก่เขียวชอุ่ม หลายจุดล้วนกระดำกระด่างไหม้เกรียม คล้ายกับเคยถูกอสนีบาตฟาดผ่า แผ่กระจายกลิ่นอายลึกลับยากจะเอ่ยออกมา

“โอสถเทพในตำนานซ่อนอยู่ในนั้นรึ” สือจวิ้นกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แววตาเร่าร้อนเจือความกระสันอยากและโลภโมโทสัน

คนอื่นต่างก็ตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า พายุหิมะม้วนกลืน ทะเลสาบหินหนืดซัดสาดโหมกระหน่ำ บาทวิถีเส้นหนึ่งเชื่อมต่อตรงไปยังเกาะใจกลางทะเลสาบ ภูเขาม่วงอำพันบนเกาะสูงเด่นตั้งตระหง่าน อบอวลด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และบนยอดเขายังมีตำหนักโบราณเขียวชอุ่มหลังหนึ่ง เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เร้นลับโดดเด่น

ภาพอันน่าพิศวงเช่นนี้ทำให้ทุกคนตาเป็นมัน ต่างรู้ดีว่าที่นี่ต้องซ่อนวาสนาอันยิ่งใหญ่ไว้แน่!

เพียงแต่สถานที่นี้ก็ล่อแหลมอันตรายถึงขีดสุด แม้ยังไม่กล้ำกรายเคลื่อนใกล้ แต่ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงพลังต้องห้ามเร้นลับไหลเวียนหมุนวนในห้วงอากาศ ไม่อาจระบุแต่น่าประหวั่น

สำหรับหลินสวินซึ่งเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ เมื่อได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตนเองก็ตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม สั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น

ที่แห่งนี้ช่างเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งจริงๆ ก่อเกิดปัญจธาตุ วิวัฒน์เป็นความเร้นลับไร้สิ้นสุด ผลึกหิมะคือน้ำ หินหนืดคือไฟ บาทวิถีดั่งดิน ภูผาคือทอง ตำหนักคือไม้…

ถังขั้นยังมีพลังแห่งวาโยแฝงอยู่ในผลึกหิมะ พลังแห่งอสนีบาตคงค้างอยู่ทั่วจตุรทิศของตำหนัก!

เขาม่วงอำพันกดทับเหนือหินหนืด คือรูปแบบของ ‘เพลิงหลอมสุวรรณ’ พฤกษาข่มคีรีก็มีลักษณ์แห่งการแปรจุติ…

ประหนึ่งปรากฏการณ์แต่ละแห่ง ไม่ว่ามีรูปหรือไร้รูป ล้วนเชื่อมต่อสอดประสาน กลมกลืนกับธรรมชาติ ขานรับซึ่งกันและกัน ก่อเกิดเป็นห้วงบรรยากาศอันสมบูรณ์!

วิธีเช่นนี้เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เทียมฟ้า!

ในปีนั้นเป็นใครกันที่สร้างสิ่งต้องห้ามอั่นน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ได้

ถึงขั้นชิงศุภโชคมาจนสิ้น ลึกลับไร้ขีดจำกัด!

แต่ขณะเดียวกันไอสังหารที่แฝงอยู่ในนั้นก็ทำให้หลินสวินมือเท้าเย็นเฉียบ อาศัยความเชี่ยวชาญในด้านการสลักวิญญาณของเขาในปัจจุบัน ยังยากจะมองอานุภาพที่แท้จริงภายในนั้นออก

แค่คิดก็รู้แล้วว่า ทันทีที่ผลีผลามบุกเข้าไป ผลที่ตามมาต้องไม่อาจคาดเดาได้เป็นแน่!

“ทุกท่าน ที่นี่คือดินแดนแห่งวาสนาแห่งหนึ่งในแดนลับอสูรมารอริยะ อาจซ่อนศุภโชคยิ่งใหญ่เอาไว้ ครั้งนี้พวกเจ้าโชคดีนักที่สามารถค้นพบสถานที่แห่งนี้กับพวกเรา ตอนนี้พวกเจ้าจงเริ่มดำเนินการเถิด”

ทันใดนั้นเป้าหยาแห่งเผ่าสิงห์โลหิตเปล่งเสียงออกมา

เมื่อสิ้นเสียง บรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตพวกนั้นก็เริ่มบีบบังคับพวกหลินสวินไปเบื้องหน้า ให้พวกเขาเดินนำสำรวจเส้นทาง แต่พวกตนกลับติดตามมาเบื้องหลัง

ผู้ฝึกปราณที่ถูกจับตัวมาเหล่านั้นสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที มีโทสะและหงุดหงิดอยู่บ้าง เกือบจะหลุดปากด่ายกใหญ่ แสวงหาวาสนาด้วยกันซะที่ไหน เห็นชัดว่าให้พวกเขาเป็นเบี้ยใช้แล้วทิ้ง!

“กลัวอะไร พวกเราก็อยู่ด้านหลังพวกเจ้า หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา แน่นอนว่าต้องช่วยพวกเจ้าอยู่แล้ว” สือจวิ้นกล่าวพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย

ขณะพูดเขาชี้ไปยังผู้ฝึกปราณคนหนึ่งในนั้น “เจ้า เดินเป็นคนแรก! หากไม่ทำตามจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!”

ผู้ฝึกปราณนั่นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าแปรเปลี่ยน วิงวอนร้องขอเสียงเบา “ทุกท่าน ข้าขอมอบสมบัติล้ำค่าติดตัวทั้งหมดให้ ขอแค่พวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้า…”

ฟุ่บ!

ไม่รอให้พูดจบ พลันเห็นปลายกระบี่พุ่งวาบ ศีรษะผู้ฝึกปราณคนนั้นถูกตัดขาด โลหิตกระเซ็นประหนึ่งน้ำพุพวยพุ่ง เกิดเป็นภาพนองเลือดอันน่าพรั่นพรึง

ผู้ที่ลงมือคือธิดาเทพหลินหลาง ผมสีโลหิตทั้งศีรษะของนางพลิ้วไสว บนใบหน้างามผุดผ่องฉายแววเย็นชาหยิ่งทะนง เมินเฉยจนน่าหวาดกลัว

“พวกเจ้าไม่มีทางเลือก ไม่นำไปข้างหน้าก็จงตายซะ” สายตานางกวาดมองบรรดาผู้ฝึกปราณที่ถูกจับมา ราวกับจ้องมองคนตายกลุ่มหนึ่ง

‘ผู้หญิงคนนี้เหี้ยมโหดอำมหิตดังคาด…’ ในใจหลินสวินเครียดขมึง ด้วยรู้ว่านี่คือนางมารคนหนึ่ง

ทุกคนแม้ในใจคับแค้นไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจไม่ก้มหัวยอมรับ ล้วนถูกวิธีของธิดาเทพหลินหลางขู่ขวัญ

“การฝึกปราณของพวกข้าต้องทวนกระแสน้ำขึ้นไป ไม่หวาดหวั่นอุปสรรคนานัปการ ทันทีที่ประสบภยันตรายก็กลัวกันหัวหด จากนี้จะประสบความความสำเร็จอะไรได้”

เป้าหยาเอ่ยพูดเรียบๆ “นี่คือโชควาสนาอย่างหนึ่ง พวกเจ้าต้องคว้าโอกาสไว้ให้ได้! อย่าทำให้ความเหนื่อยยากของพวกข้าเสียเปล่า”

ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนต่างเงียบสนิท ในใจด่าออกมายกใหญ่ ไอ้แก่นี่ช่างหน้าด้านใจทมิฬ เห็นชัดว่าส่งพวกเขาไปตาย ก็ยังดันทุรังพูดจาทรงเกียรติสง่าผ่าเผย น่าแค้นใจถึงที่สุด

แต่ว่าสถานการณ์บีบบังคับ พวกเขาได้แต่ยอมจำนน

ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาถูกข่มขู่ให้นำทางไปข้างหน้า ก้าวย่ำไปบนทางเหนือทะเลสาบหินหนืดสายนั้น มุ่งสู่เส้นทางลึกลับที่ทอดสู่เกาะใจกลางทะเลสาบ

……………………..