ตอนที่ 554 ระฆังสำริดสีเลือด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 554 ระฆังสำริดสีเลือด โดย ProjectZyphon

ทะเลสาบหินหนืดเดือดคลั่ง เกิดคลื่นไฟแผดเผาอันน่าสะพรึงปะทุใส่อากาศ

เส้นทางที่นำไปสู่เกาะกลางทะเลสาบกว้างเพียงสี่ฉื่อ ยาวร้อยจั้ง ตรงเหมือนไม้บรรทัด ไม่กลัวหินหนืดหลอมละลาย

ฮูม!

ทันทีที่เขาก้าวเท้าไปบนทางสายนี้ อากาศพลันแผ่คลื่นผนึกต้องห้ามอันน่าพรั่นพรึงออกมาทันที ภาพรอยสลักวิญญาณแน่นขนัดบินว่อน แสงประกายวาบวาวน่ากลัว

“อ๊าก…”

ผู้ฝึกปราณที่เป็นผู้นำเพิ่งก้าวขึ้นไปบนทางเส้นนี้ ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกคมดาบตัดขาด จู่ๆ ก็ระเบิดแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นฝนเลือดร่วงลงสู่พื้น

นี่ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปฉับพลัน ความหนาวเย็นพวยพุ่งในใจ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

เพิ่งจะก้าวไปได้ก้าวเดียว ก็มีคนประสบเคราะห์แล้ว น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!

“ผู้อาวุโส ที่แห่งนี้คือสถานที่มรณะ ไปแล้วไม่สามารถกลับมาได้อีกนะ!” มีคนเว้าวอนสีหน้าขาวซีด คำนับคารวะไม่หยุด ขอร้องให้ปล่อยเขาไป

ในเวลานี้เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตอย่างพวกสือจวิ้น เป้าหยาและธิดาเทพหลินหลางต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ตกใจกับผนึกต้องห้ามของสถานที่แห่งนี้

เพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็สังหารไปหนึ่งคนแล้ว ใครจะกล้าจินตนาการเล่า

ธิดาเทพหลินหลางก้าวออกมาข้างหน้า ในมือถือธงเหลือง นัยน์ตาเย็นเยียบเปล่งประกายแวววาว มองไปเบื้องหน้าราวกับกำลังอนุมานอะไรบางอย่าง

ครู่หนึ่งนางจึงชี้นิ้วไปที่ผู้ฝึกปราณคนที่อ้อนวอนพร้อมพูดว่า “เจ้า ก้าวขึ้นซ้ายไปห้าก้าว ยืนบนตำแหน่งตะวันตกเฉียงใต้ แล้วเดินไปข้างหน้าอีกสามก้าว”

ผู้ฝึกปราณคนนั้นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไป สุดท้ายก็กัดฟันเดินหน้าสำรวจทางตามคำชี้แนะของธิดาเทพหลินหลาง

ตามคาด ครั้งนี้เขาไม่ได้ประสบเคราะห์

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตลอบโล่งอก ตราบใดที่ผนึกต้องห้ามนี้ยังไม่ถูกทำลาย แม้พวกเขาจะจับผู้ฝึกปราณมากมายเพียงใดไปสำรวจทางก็ไร้ประโยชน์

โชคดีที่ธิดาเทพหลินหลางพอจะอนุมานทางรอดได้บ้าง ทำให้พวกเขามีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้งและมุ่งมั่นจะคว้าวาสนาบนเกาะกลางทะเลสาบ

หลินสวินคอยสังเกตอย่างเงียบๆ เมื่อเขาเห็นธิดาเทพหลินหลางแนะนำเส้นทาง ก็อดจะประหลาดใจไม่ได้ ตระหนักได้ว่านางมารคนนี้ก็มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การสลักวิญญาณอย่างลึกซึ้ง

“ก้าวไปทางขวาหนึ่งก้าว ยืนในตำแหน่งตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก้าวเดินไปทางตะวันตก” ธิดาเทพหลินหลางชี้แนะต่อ

ผู้ฝึกปราณคนนั้นฝืนทำตามคำสั่ง

ฟุ่บ!

แต่แล้วพอผู้ฝึกปราณทำตามจนเสร็จ ร่างกายของเขาเพิ่งจะหยุดบนตำแหน่งนั้น ทั้งร่างกายาก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟอันน่าสะพรึง กลายเป็นขี้เถ้าทันทีโดยไม่มีแม้แต่โอกาสกรีดร้องด้วยซ้ำ!

เร็วเกินไปแล้ว!

เปลวไฟนั่นราวกับโปร่งใส เผด็จการหาที่เปรียบ ประหนึ่งเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเผาผลาญสรรพสิ่งได้

ผู้ฝึกปราณคนนั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับหยั่งสัจจะ ทว่ายังไม่ทันได้ตอบสนองก็ประสบเคราะห์กลายเป็นขี้เถ้าไป ภาพนั้นชวนให้หนังหัวชาวาบ เหงื่อเย็นซึมไปทั้งตัว

สุดท้ายมีคนรับความกดดันเช่นนี้ไม่ไหว พลันหมุนตัวจะวิ่งหนีห่างออกไปอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ตะเบ็งเสียงว่า “ข้าไม่ไปตาย! ไม่ไป!”

“ไม่ไปก็ตาย!”

เป้าหยาส่งเสียงหัวเราะเหี้ยมโหด ชักทวนสีเลือดเล่มหนึ่งออกมาโบก เสียงฟุ่บดังขึ้นคราหนึ่งก็ตัดหัวคนผู้นั้นลง ละอองเลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้นดิน

ฉากนองเลือดนี้ทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง นี่คือการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อขู่และบีบบังคับพวกเขา ใครกล้าไม่ทำตาม นี่ก็คือจุดจบ!

“หึ ล้มเหลวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็กลัวจนไม่กล้าเดินหน้าต่อแล้ว ในอนาคตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร รีบตายไปซะยังดีกว่า”

เป้าหยาส่งเสียงอย่างเย็นชา ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นโกรธถึงขีดสุด เจ้าหมอนี่ช่างไร้ยางอายและโหดร้ายเกินไปแล้ว น่าชิงชังอย่างที่สุด

“สหายท่านนี้ ตาเจ้าแล้ว ไป ขึ้นไปฟังคำชี้แนะของธิดาเทพ!” เป้าหยาชี้ไปที่ผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง

คนผู้นั้นหน้าขาวซีด อยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้า

ในที่สุดสีหน้าของเขาดูไร้ความรู้สึก ก้าวไปข้างหน้า ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ก็จะถูกฆ่าทันที อย่างไรก็มีแต่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ลองสู้ดูสักตั้ง

เพียงแต่ถึงจะมีคำชี้แนะของธิดาเทพหลินหลาง สุดท้ายเขาก็ล้มลงอย่างไร้เสียง ถูกลำแสงไร้รูปตัดหัว นอนจมกองเลือดและระเหยหายไปในทันที

ทุกคนขนพองสยองเกล้า นี่คือหนทางสู่ดินแดนแห่งวาสนาซะที่ไหน เป็นทางมรณะที่กลืนกินชีวิตต่างหาก!

แม้แต่ธิดาเทพหลินหลานยังมีสีหน้าเคร่งขรึม ภายในนัยน์ตาวับวาวด้วยแสงเย็นเยียบน่ากลัว ดำเนินการอนุมานอย่างสุดความสามารถ

“ข้าจะสู้กับพวกเจ้า!” จู่ๆ ก็มีคนตะเบ็งเสียงขึ้นมา โจมตีอย่างอุกอาจ พุ่งสังหารไปทางสือจวิ้นที่อยู่ใกล้ที่สุด

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฟุ่บ เขาพลันถูกเป้าหยาสะบัดทวนฟันเอวจนร่างขาดเป็นสองท่อน ตายคาที่พร้อมความเคียดแค้น

“แมลงเม่าบินเข้ากองไฟหรือ น่าขัน!” เป้าหยาดูถูก

ทุกคนต่างโกรธมาก สีหน้าเขียวคล้ำกำหมัดแน่น ในใจอัดอั้นอย่างที่สุด ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเห็นพวกเขาเป็นเบี้ย ไม่สนความเป็นความตายของพวกเขา โหดเหี้ยมเย็นชาอย่างที่สุด

หลินสวินเงียบมาโดยตลอด ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเองก็กำลังสอดส่องและอนุมานพลังผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมที่แห่งนี้อยู่เช่นกัน

“ธิดาเทพ เวลากระชั้นชิด จะยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่สู้…ใช้สมบัติลับของเผ่าเปิดทางเล่า” ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งเอ่ยอย่างกังวล

ธิดาเทพหลินหลางขมวดคิ้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ “สมบัติลับชิ้นนั้นจะเอามาใช้ง่ายๆ ไม่ได้ ให้เวลาข้าอีกหน่อย”

สมบัติลับหรือ?

เหล่าผู้ฝึกปราณที่ถูกจับตัวมาลอบก่นด่าในใจ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเหล่านี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว พกสมบัติลับมาด้วยแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมเอาออกมาใช้ แต่จะเอาชีวิตของพวกเขาไปสำรวจทาง น่าชิงชังจริงๆ!

“เจ้าหนู เจ้าเตรียมตัว อีกเดี๋ยวก็ถึงตาเจ้าลงมือแล้ว”

เป้าหยากวาดสายตาไปหยุดที่หลินสวินแล้วสั่งเสียงเย็น

ดวงตาดำขลับของหลินสวินหรี่ลง สุดท้ายก็รับคำ

เพียงแต่ในเวลานี้จู่ๆ สือจวิ้นก็เดินเข้ามา พูดอย่างเย้ยหยัน “ก่อนลงมือ ส่งธนูในมือเจ้ามาก่อน ข้าจะช่วยเก็บไว้ให้เจ้า”

เห็นได้ชัดว่าเขายังคงอาลัยอาวรณ์ ‘ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’ ของหลินสวิน กลัวว่าถ้าหลินสวินประสบเคราะห์ ธนูนี้จะหายไปด้วย จึงชิงสร้างความลำบากใจให้หลินสวินก่อน!

หลินสวินเหลือบตามองสือจวิ้น แววตาไร้ซึ่งความรู้สึก

แต่สายตานี้ทำให้สือจวิ้นเย็นวาบในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกอึดอัดพิกล สีหน้าเขาพลันมืดทะมึนกล่าวเสียงเคร่ง “ยังไม่รีบส่งมา หรือต้องให้ข้าลงมือเอง”

เคร้ง! ดาบแหลมกระดูกขาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ไอสังหารพันรอบ สายตาเมื่อครู่นี้ของหลินสวินทำให้เขาอึดอัดมาก ในใจร้อนรนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ต้องการจะฆ่าหลินสวินในทันที

“แย่แล้ว มีคนมา!”

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตะโกนก้อง พลันทำให้พวกธิดาเทพหลินหลาง สือจวิ้น เป้าหยาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ก็เห็นว่าในทะเลทรายที่ห่างไปไกลมีวงแสงงดงามปรากฏ กำลังเคลื่อนมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันเข้าสู่แดนแห่งวาสนาบนเกาะกลางทะเลสาบก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้แล้ว มีศัตรูเข้ามาแย่งชิงแข่งขัน ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตร้อนรนไม่น้อย

แม้แต่สือจวิ้นยังไม่สนใจจะเล่นงานหลินสวินแล้ว มีศัตรูภายนอกเข้ามา นี่เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรง

ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาช่วงชิงต้นกล้าของ ‘รุกขทรัพย์วิญญาณทอง’ ก็ถูกบุตรเทพอวี่เซียวเซิงแห่งเผ่าวาฬมังกรแอบแย่งชิงไป พวกเขาไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

“ช่างเถอะ เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน!”

ธิดาเทพหลินหลางพลันกัดฟันโบกมือออกมา ระฆังสำริดสีเลือดใบหนึ่งปรากฏขึ้น ลึกล้ำเก่าแก่ แผ่ท่วงทำนองมรรคน่าประหวั่นออกมา

เสียงวู้มดังขึ้นคราหนึ่ง ระฆังสำริดสั่นสะท้าน คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่นลายมรรคอันลึกลับ แผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ

“ไป!”

ในเวลาเดียวกันนั้นธิดาเทพหลินหลางก็ควบคุมระฆังสำริดสีเลือด ให้มันปกคลุมทุกคนเอาไว้ แล้วพุ่งไปที่เกาะกลางทะเลสาบ

ครืน โครม โครม!

บนทางเดิน ผนึกต้องห้ามน่าสะพรึงตื่นจากการหลับใหล ปรากฏสัญลักษณ์ลายลับไม่มีที่สิ้นสุด แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้า เปลวเพลิง ลำแสง พายุและปรากฏการณ์ประหลาดน่าหวาดหวั่นมากมายเข้าสกัดกั้น

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าระฆังสำริดสีเลือดนั่นเป็นสมบัติที่ลึกลับน่าพรั่นพรึง มันส่งเสียงธรรมกังวานทรงพลัง ทำลายสรรพสิ่ง สลายพลังต้องห้ามทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าวิเศษลี้ลับและไร้เทียมทาน

ระยะทางร้อยจั้งหายไปในชั่วพริบตา

ไม่นานทุกคนก็ไปถึงเกาะกลางทะเลสาบอย่างปลอดภัย

ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตต่างยิ้มแย้มยินดี ถอนหายใจยาว แต่สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกปราณที่ถูกจับมากลับดูแย่มาก

ระฆังสำริดสีเลือดใบนี้แข็งแกร่งเพียงนี้ สามารถพุ่งผ่านเส้นทางนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตกลับไม่ยอมใช้ เอาชีวิตของพวกเขาไปสำรวจเส้นทาง ช่างต่ำช้านัก!

มีเพียงหลินสวินที่ดูนิ่งสงบไม่น้อย เขาคิดอยู่แล้วว่า ในเมื่อเผ่าสิงห์โลหิตหมายตาสถานที่แห่งนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเตรียมตัว

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า ระฆังสำริดสีเลือดที่ธิดาเทพหลินหลางเอาออกมาจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ทำลายได้แม้แต่ผนึกต้องห้ามน่ากลัวนั่น เป็นสมบัติลับที่เหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!

“น่าชังนัก!”

แม้ว่าจะมาถึงเกาะกลางทะเลสาบอย่างราบรื่นแล้ว แต่สีหน้าของธิดาเทพหลินหลางกลับเย็นชาน่าหวาดกลัว ใบหน้างดงามซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าการใช้ระฆังสำริดสีเลือดเมื่อครู่นี้ทำให้นางเสียแรงไปมาก

ตอนนี้สายตาของนางมองไปที่ฝั่งทะเลสาบซึ่งอยู่ห่างออกไป ก็พลันเห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งมาถึงตรงนั้น ผู้เป็นหัวหน้าคือคนหนุ่มในชุดคลุมหยก คิ้วดาบดวงตาดารา ท่าทางองอาจน่าเกรงขามยิ่ง

“อวี่เซียวเซิง เจ้าอีกแล้ว!”

เพียงมองเห็น ธิดาเทพหลินหลางก็จำอีกฝ่ายได้แล้ว เป็นบุตรเทพของเผ่าวาฬมังกร ก่อนหน้านี้ตอนแย่งชิงต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทอง นางก็ถูกอีกฝ่ายลอบจู่โจม ไม่เพียงได้รับบาดเจ็บ แม้แต่รุกขทรัพย์วิญญาณทองก็ถูกชิงไปด้วย

ตอนนี้เจ้าหมอนี่นำผู้แข็งแกร่งในเผ่ามาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าจงใจจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ[1]อีกแล้ว!

“ฮ่าๆๆ เกาะอริยะปัญจธาตุ! นี่คือสถานที่แห่งมหาวาสนาในแดนลับอสูรมารอริยะ ตำนานเล่ากันว่าโอสถเทพต้นหนึ่งซ่อนอยู่ในนี้ ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องหลินหลาง มิฉะนั้นคงหาที่นี่ไม่เจอ”

หน้าทะเลสาบอวี่เซียวเซิงหัวเราะลั่น น้ำเสียงเบิกบาน หากคนไม่รู้เรื่องราวคงนึกว่าเขากับธิดาเทพหลินหลางเป็นสหายที่สนิทกัน

ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเหล่านั้นสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมา ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อพบศัตรูยิ่งพาให้เดือดดาล

“ไม่ต้องสนใจเขา เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องขึ้นไปบนภูเขาเทพม่วงอำพัน ชิงวาสนาในตำหนักนั่นก่อน!”

ธิดาเทพหลินหลางสูดหายใจเข้าลึกๆ สายตามองไปยังยอดเขาที่เต็มไปด้วยไอสีทองม่วง

“ธิดาเทพ ข้าไปกับท่าน”

สือจวิ้นรีบพูดพลางเช็ดมือถูหมัด

“ไม่ พวกเจ้าอยู่ที่นี่ รอรับคำสั่งจากข้า บนนั้นมีเคราะห์สังหารมากมาย ยิ่งคนขึ้นไปมาก อันตรายที่จะประสบก็ยิ่งรุนแรง”

ธิดาเทพหลินหลางรีบพูด

แม้สือจวิ้นจะไม่จำยอม แต่ก็ต้องยอมรับ จู่ๆ สายตาของเขาก็มองไปที่พวกหลินสวินแล้วกล่าวว่า “จะเอาอย่างไรกับคนพวกนี้”

เห็นได้ชัดว่าธิดาเทพหลินหลางไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องเล็กแบบนี้ พูดตรงไปตรงมาว่า “แล้วแต่พวกเจ้าจะจัดการ แค่ไม่ปล่อยให้รอดไปได้ก็พอแล้ว”

ในขณะที่พูดร่างของนางก็แวบหายราวกับแสงรุ้ง เคลื่อนตัวขึ้นไปบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยไอสีทองม่วงนั่น

ส่วนสายตาของสือจวิ้นกลับมองมายังพวกหลินสวินอย่างเหี้ยมโหด…

——

[1] ตีชิงตามไฟ หมายถึง การฉกฉวยโอกาส หาประโยชน์ยามผู้อื่นอ่อนแอ