ได้ยินเสียงพูด หลิงม่อพลันหันขวับ และยืนบังเจ้าลิงผอมทันที
“…หื้ม? นี่แกกำลังทำอะไรน่ะ? หรือว่า…รู้ทั้งรู้ว่าแกติดกับดักเพราะหมอนี่ แต่กลับจะปกป้องมันอีกงั้นหรอ? หึหึ ดูท่าแล้ว ถึงแม้พลังของแกจะไม่เลว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนที่ฉลาดเท่าไหร่นะ ความจริงทฤษฎีเกี่ยวกับมนุษย์ของพวกแก ฉันเคยศึกษามาหมดแล้ว ถ้าอ้างอิงตามมาตรฐานของพวกแก หมอนี่ไม่เพียงเป็นตัวถ่วงพวกแกทุกคนในทีม แต่ยังทำให้แกตกอยู่ในอันตรายด้วย สมาชิกทีมไร้ประโยชน์อย่างนี้ ต้องกำจัดทิ้งไปตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ? เพราะยังไงเทียบกับซอมบี้อย่างพวกฉันแล้ว การแข่งขันภายในของมนุษย์อย่างพวกแกต่างหากที่ดุเดือดที่สุด หรือไม่จริง?” เสียงนั้นยังคงพูดต่อ
แต่เวลานี้หลิงม่อกลับมีสีหน้าตื่นตะลึง “ทำไมถึงเป็นเธอ…กู่ซวงซวง?”
ผู้มาพอได้ยินเช่นนั้น ก็กระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา “เป็นฉันไม่ได้หรอ? หึหึ…”
ใช่แล้ว เงาร่างที่ปรากฏตัวด้านหลังเขาอย่างเงียบงันตอนนี้ ก็คือกู่ซวงซวงนั่นเอง…ถึงแม้หลิงม่อคาดเดาไว้แล้วว่าคนที่สื่อสารกับเขาผ่านทางจิตเมื่อกี้อาจไม่ใช่กู่ซวงซวงตัวจริง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า กลับเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก…
เพราะว่า กู่ซวงซวงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ ดูอย่างไรก็คือกู่ซวงซวงตัวจริงแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์…แต่สายตา สีหน้าท่าทาง และคำพูดทั้งหมดของเธอ กลับไม่เหมือนเป็นตัวเธอเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ผิดไปจาก “การเลียนแบบ” ที่หลิงม่อคาดเดาไว้ในตอนแรกมาก…
“หึหึ…เหมือนแกจะตกใจมากนะ แต่ปฏิกิริยาอย่างนี้ของแก กลับทำให้ฉันสนุกขึ้นมานิดหนึ่งแล้วล่ะ…” “กู่ซวงซวง” หัวเราะอีกครั้ง จากนั้นก็บิดคอไปมาอย่างแข็งทื่อ บอกว่า “แกเข้าใจเรื่องพลังงานทางจิตของมนุษย์มากน้อยแค่ไหนกัน?”
“ไม่มาก” หลิงม่อยังคงจ้องเธอ พร้อมกับตอบไปสั้นๆ
สายตาคมปลาบของเขากลับทำให้ “กู่ซวงซวง” หัวเราะขึ้นมา “เอาเถอะ แค่แกยอมตอบก็ดีแล้ว เพราะนั่นแสดงว่าแกยังอยากคุยกับฉัน ใช่ไหมล่ะ? ฉันดูออกนะ ว่าแกสับสนมาก…”
“เหลวไหล!” หลิงม่อพลันตัดบทเธอ แล้วถามเสียงเข้ม “แกทำอะไรกับเธอ?”
“กู่ซวงซวง” อึ้งงัน ทว่าไม่นาน เธอก็ปรับสีหน้าให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วจ้องหน้าหลิงม่อที่ดูเหมือนผิดหวังเล็กน้อย พูดว่า “แกนี่มันเจ้าเล่ห์ไม่เบาเหมือนกันนะ อยู่ๆ ก็ใช้พลังจิตโจมตีฉันอย่างกะทันหัน…แต่ฉันขอเตือนแกว่าอย่าทำแบบนี้อีกจะดีกว่า เกิดไปทำร้ายเธอเข้า เรื่องมันจะแย่เอานะ…ถูกต้องแล้ว เธอยังมีชีวิตอยู่”
“…ถุย” หลิงม่อตอบกลับด้วยคำคำเดียว พร้อมกันนั้นก็ยังทำท่าทางประกอบด้วย…
“แก…” “กู่ซวงซวง” อึ้งงันไปอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันจางหาย “ทำไมจู่ๆ แกก็ถุยน้ำลายใส่ ร่างกายนี้ยังเป็นของเพื่อนแกอยู่นะ…อีกอย่าง ถึงแม้ตอนนี้จะถูกฉันควบคุมอยู่ แต่ยังไงนี่ก็ยังเป็นผู้หญิงนะ…ความเป็นคนที่แกพกติดตัวมาด้วยเมื่อกี้ล่ะ? มันหายไปไหนแล้ว?”
“ถุย!”
“ยังไม่ยอมหยุดอีก! ไม่ว่ายังไงก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ถึงแม้จะเป็นศัตรูก็ไม่ควรทำตัวเป็นเด็กและไร้ยางอายแบบนี้…” “กู่ซวงซวง” พลันกระโดดโหยง และโวยวาย
ถึงแม้ว่าหลิงม่อที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเพียงร่างดวงจิต…แต่การกระทำและการเคลื่อนไหวของเขาล้วนเหมือนจริงมาก!
“ถุย ถุย!”
“พอได้แล้ว! ทำอย่างนี้พวกเราจะคุยกันต่อไม่ได้แล้วนะ…”
ทว่าไม่นาน “กู่ซวงซวง” ก็พลันใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว
มันสะบัดหัวไปมาแรงๆ ครู่ต่อมาก็พูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “ที่แท้ก็อยากกระตุ้นคลื่นพลังจิตของเจ้าของร่างด้วยการทำแบบนี้นี่เอง…เป็นการพยายามที่ไม่เลวทีเดียว น่าเสียดาย…”
“อย่าเข้าใจผิด ฉันแค่อยากดูให้แน่ใจว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่เท่านั้น” หลิงม่อปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติในพริบตา พลางพูดเสียงเย็นชา “ตอนนี้ฉันรู้คำตอบแล้ว แกจะพูดอะไรก็พูดต่อได้เลย”
“กู่ซวงซวง” ปากอ้าตาค้างไปชั่วขณะ…หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเต็มๆ มันถึงเพิ่งระลึกถึงหัวข้อสนทนาเมื่อกี้ขึ้นมาได้ ซ้ำยังพูดเปิดบทสนทนาด้วยประโยคเดิม “เธอยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น…ตอนนี้แกคิดจะทำยังไง? แกน่าจะรู้ว่าถึงแม้ตอนนี้ฉันจะนอนนิ่งๆ รออยู่ตรงนี้ แกก็ไม่กล้าลงมือหรอก”
“แกก็ลองนอนลงดูสิ” หลิงม่อสวนกลับโดยไม่คิด
“…” “กู่ซวงซวง” พลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้…
“ดังนั้น คำพูดข่มขู่น่าเบื่อแบบนั้นทิ้งมันไปซะเถอะ แกเห็นสภาพฉันตอนนี้แล้ว แต่แกกลับดูไม่ตื่นเต้นซักนิด นั่นแสดงว่าแกคิดแผนรับมือไว้แล้ว บอกมาตรงๆ เถอะ ฉันเกลียดการพูดวกไปวนมากับศัตรู ความจริง ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้แกซ่อนตัวอยู่ในร่างเพื่อนของฉัน ฉันคงลงมือไปนานแล้ว” หลิงม่อบอก
“หึหึ แกนี่มีความมั่นใจมากนะ…แต่ว่า…”
“ตกลงว่าแกจะพูดไหม?” หลิงม่อขมวดคิ้วและตัดบทมันอีกครั้ง หลังจากเห็นสภาพของกู่ซวงซวงต่อด้วยสภาพของเจ้าลิงผอม ทำให้ตอนนี้อารมณ์ของหลิงม่อค่อนข้างฉุนเฉียว…คนหนึ่งเกือบตายไปต่อหน้าต่อตาเขา อีกคนถึงแม้ยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับถูกศัตรูยึดครองร่างกาย…ไม่มีอะไรทำให้เดือดดาลไปกว่านี้ได้แล้ว
“กู่ซวงซวง” ถูกขัดคอหลังพยายามพูดพร่ำอยู่หลายหน จึงได้เพียงพูดด้วยสีหน้าหน่ายใจ “ฉันต้องยอมรับว่าเมื่อกี้ฉันคิดจะลอบโจมตีแกจริงๆ แต่ไม่คิดว่าแกจะอยู่ในสภาพนี้…นั่นทำให้แผนการของฉันผิดรูปไปมาก ฉันก็เลยจำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหานี้ให้ดีในระหว่างคุยไร้สาระกับแก…แต่ว่าเจ้ามนุษย์ แกทำให้ฉันทึ่งได้ไม่หยุดหย่อนเลยนะ…”
“ง่ายมาก เงื่อนไขและวิธีการแลกเปลี่ยนล้วนเหมือนเดิม แกส่งตัวจริงของแกมา แล้วฉันจะคืนเพื่อนของแกให้” “กู่ซวงซวง” พูด…
“หรือไม่ ฉันก็ฆ่าแกตอนนี้เลย ทำแบบนี้อย่างน้อยฉันก็จะช่วยชีวิตเพื่อนอีกคนของฉันได้” หลิงม่อบอก
“กู่ซวงซวง” จ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ไม่ แกไม่ทำอย่างนั้นแน่”
“คำถามสุดท้าย…” หลิงม่อไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ กลับเปลี่ยนคำถาม “เมื่อกี้คนที่คุยกับฉัน ไม่ใช่แกสินะ?”
“กู่ซวงซวง” หน้าเปลี่ยนสีไปชั่วขณะ มันมองหน้าหลิงม่ออย่างสับสน พลางถามเสียงเบา “แกหมายความว่ายังไง?”
“หึหึ…” หลิงม่อหัวเราะเย็นชา
…………
“ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี?” บนทางเดิน มู่เฉินขมวดคิ้วแล้วถาม
เฮยซือหันกลับไปบอกว่า “เรื่องนี้น่ะ…ไม่ว่าตอนนี้หลิงม่อกำลังทำอะไรอยู่ อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือการมีตัวตนอยู่ของซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้น ดังนั้น พวกเราแค่ไปตามหามันก็พอแล้ว”
“พวกมันน่าจะสามารถกำบังตัวเองได้ด้วยไม่ใช่หรอ? งั้นพวกเราก็มองไม่เห็นพวกมันน่ะสิ…” เย่ไคคาดเดา
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่นายคิดว่าการกำบังต้องมีหลักการอย่างไรล่ะ? ทำไมเมื่อกี้พวกเราถึงต้องเห็นภาพมายาก่อน?” เฮยซือกลับหัวเราะ บอกว่า “ฉันคิดว่า ซอมบี้ตัวนั้นสะกดจิตพวกเรา”
“สะกดจิต?” อวี่เหวินซวนทำหน้าราวกับไม่อยากเชื่อ
จางซินเฉิงกลับหยิกตัวเองแรงๆ หนึ่งที จากนั้นก็บอกว่า “ไม่เหมือนอย่างนั้นเลยนี่…”
“นอกจากว่า การสะกดจิตของมันจะลึกล้ำกว่านี้…” สวี่ซูหานพูดขึ้น
“ใช่แล้ว การสะกดจิตที่ลึกล้ำกว่า…ดังนั้น เธอคิดว่ามันสามารถสะกดจิตพวกเราได้กี่ครั้ง? อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเราเคลื่อนไหวต่อกันเถอะ” เฮยซือพูดจบก็เดินขึ้นไปข้างบนต่อ
สวี่ซูหานจ้องแผ่นหลังของเฮยซือ ขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญคำพูดของเธอเมื่อกี้ไปด้วย…การคาดเดาที่เกี่ยวกับพลังจิตเหล่านั้น รวมถึงน้ำเสียงอันมั่นใจนั่น ไม่ว่าฟังอย่างไร ก็เหมือนเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของหลิงม่อ…ถ้าอย่างนั้นประโยคสุดท้ายที่เธอพูด หมายความว่า…
เบี่ยงเบนความสนใจของซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้น!
สิ่งที่ซอมบี้ร่างแม่ต้องการ คือทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว และแยกหลิงม่อออกไป แต่สิ่งที่หลิงม่อตัดสินใจทำ กลับเป็นการหันกลับมาใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ทำให้ซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นไม่อาจปลีกตัวได้ การเดิมพันของทั้งสองฝ่ายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยมีพวกเขาอยู่ตรงกลาง
การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงการปะทะกันซึ่งหน้าของซอมบี้ร่างแม่และหลิงม่อเท่านั้น แต่สิ่งที่เหล่าสหายร่วมทีมของเขาสามารถทำได้ ก็เป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญกว่าก็คือ พวกเขาต้องทำอย่างไร จึงจะหลีกเลี่ยงไม่ให้การเคลื่อนไหวของตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้หลิงม่อที่ “ล่องหน” อยู่โดยไม่ตั้งใจ…ทว่าความจริงแล้ว การบอกใบ้ครั้งแล้วครั้งเล่าของเฮยซือ ได้แก้ไขปัญหานี้ไปเรียบร้อยแล้ว
เธอกำลังบอกว่า เธอสามารถสื่อสารกับหลิงม่อได้ ดังนั้น…ให้ทุกคนเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่เลย…
………….
“หรือว่าแกอยากจะลองขัดขืนสักครั้งงั้นหรอ? ฉันว่าแกยอมแพ้เถอะ ถึงแม้พวกแกจะมีคนเยอะกว่า แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครช่วยแกได้ซักคน วางใจเถอะ วิธีการกลืนกินของฉันไม่เหมือนกับแก ดังนั้นในช่วงที่ฉันกลืนกินแก แกจะได้เห็นพวกพ้องของแกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยแน่นอน แม้กระทั่งโกดังอาหารแห่งนี้ ฉันก็จะทิ้งไว้ให้พวกแก” “กู่ซวงซวง” พูด “ถึงยังไงฉันก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน…อีกอย่าง ถ้าหากฉันเป็นแก ฉันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปหรอก เพราะว่ามันทั้งเหนื่อย และลำบาก…
“ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตอนนี้ผ่อนคลายเท่าไหร่นัก” หลิงม่อกลอกตาขาว แล้วพูดขึ้น
“ไม่ๆ แกไม่เข้าใจที่ฉันพูด…” “กู่ซวงซวง” เผยสีหน้าแปลกๆ “ตั้งแต่ที่ฉันได้สติ ฉันก็เคยไปมาหลายที่แล้ว และเคยเห็นอะไรมานักต่อนัก…แกคิดว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมันเกิดขึ้นเองงั้นหรอ? มันเป็นสิ่งที่โลกใบนี้กำลังก่อตัว…”
“แกหมายถึง…ภัยพิบัติครั้งที่สองงั้นหรอ?” หลิงม่อพลันนึกถึงเรื่องราวมากมาย…อสุรกายนรก รังกบดานซอมบี้มากมายที่ปรากฏขึ้น…ร่างแม่ที่มีจำนวนมากขึ้น การวิวัฒนาการหมู่ของซอมบี้…
“หึหึ ไม่เลวนี่ แกรู้จริงๆ ด้วยสินะ ก็ไม่แปลกหรอก แกอยู่กับซอมบี้พวกนั้น ยังไงก็ต้องรู้มากกว่ามนุษย์คนอื่นอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้น ฉันเลยต้องการวิวัฒนาการอย่างเร่งด่วน…มีเพียงต้องก้าวข้ามคอขวด*อีกครั้ง ฉันถึงจะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงหลังจากที่เกิดภัยพิบัติครั้งที่สองได้ ซอมบี้น่ะต่างจากมนุษย์อย่างพวกแก พวกฉันเพิ่งปรากฏตัวได้หนึ่งปี ก็ใกล้จะถูกกำจัดแล้ว…แต่บางทีมนุษย์อย่างพวกแกอาจสาบสูญหลังจากที่การกำจัดผู้อ่อนแอครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นก็ได้นะ…” “กู่ซวงซวง” พลันเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบา “แกยังอยากดันทุรังอยู่ต่อไปท่ามกลางความสิ้นหวังอีกหรือ? ฉันว่า แกฉวยโอกาสนี้ ยอมแพ้เสียดีกว่า…แกรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ฉันพูดมาทั้งหมด ล้วนเป็นความจริง…”