บทที่ 76 ข้าเองก็หล่อไม่น้อย ! (ปลาย)
หญิงสาวผู้นั้นตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเยี่ยฉวนกับเยี่ยหลิงได้แต่นั่งมองนิ่งงัน
ความเร็วในการคีบอาหารเข้าปากของนางราวกับหิวโหยคล้ายจะไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน ใช้เวลา ไม่นานกับข้าวทั้งหมดก็เกลี้ยงทุกชาม
แถมหญิงสาวยังแทะเล็มตะเกียบอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มพร้อมถามว่า “กับข้าว หมดแล้วหรือ ?”
เยี่ยฉวน “…”
เยี่ยหลิงวางตะเกียบและตอบว่า “มีแต่ของที่ยังไม่ทำ ข้าจะรีบไปจัดการให้”
พูดจบนางวิ่งก็ออกไปทางด้านหลังทันที
เสียงถามเคร่งขรึมของชายหนุ่มพูดว่า “จะว่าไปแล้ว ฝึกที่ไหนหรือ ..อย่าบอกนะว่าเป็นที่นี่ ?”
อาจารย์ใหญ่จี่พยักหน้ายืนยัน “ใช่ ที่นี่ละ”
เยี่ยฉวนมีทีท่าลังเลก่อนถามโพล่งออกไป “อาจารย์ใหญ่ ที่นี่เป็นสถานศึกษา ต้องมีสถานที่สำหรับฝึก ปรือวิชา ! ข้า…”
“ไม่ใช่ !”
อาจารย์ใหญ่พูดง่าย ๆ มาอีกว่า “เจ้าต้องฝึกปรือด้วยตัวเอง”
เยี่ยฉวน “…”
“หอทักษะยุทธ์ !”
เสียงของสตรีแทรกขึ้นมา นางยังคงนั่งกัดปลายตะเกียบเล่นอย่างเพลิดเพลิน
อาจารย์ใหญ่จี่มองมาทางเยี่ยฉวน “ฉางหลานมีหอทักษะวรยุทธ์ตั้งอยู่ที่เขาด้านหลัง ที่นั่นมีบันทึก ทักษะวรยุทธ์ของศิษย์คนก่อน ๆ เคยใช้ฝึกปรือ ถ้าโชคดีเจ้าคงจะหาเจอสักเล่มหรือสองเล่ม”
“เฮ้ออออ !”
ชายหนุ่มถอนใจอย่างปลงชีวิต “ข้าจะไปทำกับข้าว !”
หลังจากนั้นจึงรีบเดินออกไป
ที่โต๊ะจึงเหลือเพียงชายชราและหญิงสาวนั่งตามลำพัง
หญิงสาววางตะเกียบลงช้า ๆ ก่อนหันหน้ามาถาม “ท่านไปพบเขาที่ไหน ?”
อาจารย์ใหญ่จี่ยกโถน้ำเต้าบรรจุเหล้าหมักขึ้นจิบก่อนอึกหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ “สถานศึกษาฉางมู่ไม่รับเขา ข้าเลยรับไว้ !”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมท่านจึงรับ ?”
ชายชรากล่าวตอบ “เขามีทักษะพอตัว !”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวพลันหันมาพูดด้วยท่าทางจริงจัง “แค่ข้าคนเดียวก็พอ”
นั่งฟังนางพูดมาเช่นนั้น ชายชราก็พลันมือสั่นเล็กน้อย ๆ เขาหยุดคิดชั่วครู่พร้อมกับยกโถน้ำเต้าขึ้นจิบ อีกครา “อันซื่อ เจ้ารับภาระหนักเกินไป”
คู่สนทนาพึมพำเสียงเบาพอได้ยิน “มันเป็นทั้งโชคชะตาและความรับผิดชอบของข้า !”
ผู้พูดทอดสายตามองออกด้านนอกหอประชุมออกไปไกล “ถึงแม้ตายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณของพวก เขาเหล่านั้นยังเสมือนถูกกักขังอยู่ในร่างเดิม ยังไม่เป็นอิสระจนกว่าข้าจะพาร่างทั้งหมดกลับบ้าน… ทั้งพี่ชาย ใหญ่ พี่ชายรอง รวมทั้งท่านพ่อของข้า…”
ชายชราหลับตาลง “ตระกูลจี่เหลือเจ้าเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายแล้ว !”
“แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ข้าจะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่นี้ !”
ชายชราส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับคำพูด “ในแคว้นเจียง มีอยู่สองคนต่างหาก ไม่ซิ… บางทีลำพังแค่อัน หลานซิ่วคนเดียวก็พอแล้วที่จะรับมือกับพวกเขา”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หญิงสาวจึงผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าถือคติว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น !”
ว่าจบแล้วนางก็เดินตรงไปยังประตูทางออก ก่อนจะชะงักฝีเท้า หันกลับมาอย่างกะทันหัน และคลี่ยิ้ม งามออกมา “อย่างมากก็แค่มีคนถูกแขวนคอประจานริมทางขึ้นเขาฉางซานเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่านั้น”
เสียงที่ว่าจางหายไปพร้อมกับเงาร่าง
หอประชุมกลับมาเงียบสงบ เหลือไว้เพียงเสียงดื่มเหล้าหมักของชายชราเท่านั้น
ยามค่ำคืน
เมื่อน้องสาวหลับสนิทแล้ว ชายหนุ่มจึงเข้าสู่หอคอยแห่งเรือนจำ
เยี่ยฉวนนั่งสมาธิอยู่บนพื้น เขาถามขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโส เวลานี้ข้าได้บรรลุถึงขั้นยอดผู้ฝึกกระบี่แล้วใช่หรือไม่ขอรับ ?”
“ทำนองนั้น !” เสียงตอบกลับมาสตรีลึกลับ
“เช่นนั้นทำไม ?” ชายหนุ่มแปลกใจที่ตนเองยังไม่สามารถผลักใช้รังสีกระบี่ได้
“พลังปราณส่วนนี้ของเจ้านับว่ายังมีจุดอ่อน เมื่อใดที่เจ้าสามารถสำเร็จขั้นพลังหลอมรวมลมปราณ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถเพิ่มพลังชี่ภายในของตนเอง ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าเวลานี้ ผนวกกับพลังกระบี่ที่เจ้า รับเพิ่มเข้ามา จึงทำให้เจ้าสามารถผลักออกพลังได้เป็นครั้งคราว”
ชายหนุ่มยังถามต่อไป “แต่ข้ามีเคล็ดวิชาต่อสู้…”
“เจ้าเคยได้ยินปรมาจารย์กระบี่แห่งเต๋าหรือไม่ ?” สตรีลึกลับส่งเสียงถาม
ครานี้เยี่ยฉวนได้แต่สั่นหน้า
เสียงลึกลับจึงอธิบายยืดยาวมาว่า “สถานะของเจ้าตอนนี้ ต่อให้เข้าใจลึกซึ้งในเคล็ดวิชาต่อสู้ แต่ในเมื่อไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเคล็ดวิชาการต่อสู้แห่งเต๋าแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจกล่าวว่าเจ้าได้กลายเป็นปรมาจารย์ การต่อสู้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นการก้าวถึงขั้นปรมาจารย์การต่อสู้ที่แท้จริง เจ้าต้องย้อนกลับเคล็ดวิชาทวนเข้าสู่จุดเริ่มต้น ทว่าเวลานี้ความสามารถของเจ้ายังไปไม่ถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้คือประมวลความรู้ขั้นพื้น ฐานของศิลปะการต่อสู้ คงไม่จำเป็นต้องบอกนะว่าอย่าได้ละเลยที่จะทำความเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่ด้วย เพื่อเจ้าจะได้เริ่มต้นค้นหากระบี่อื่นต่อไป”
กระบี่จิตวิญญาณ !
เยี่ยฉวนยิ้มเศร้ากับตนเอง “ข้าจะค้นพบกระบี่จิตวิญญาณได้จากที่ไหนกัน ?”
“ซื้อเอาละมัง ?”
“ข้าซื้อไม่ไหวหรอก !”
“นั่นล่ะ ปัญหาใหญ่ !”
สนทนาจบเยี่ยฉวนจึงเริ่มต้นฝึกปรือ นอกเหนือจากการฝึกฝนกระบี่ ชายหนุ่มยังเสริมด้วยการฝึกการ ต่อสู้ด้วยหมัดและเท้า ศิลปะการต่อสู้หนึ่งที่เขามีคือหมัดทลายภูผา ดังนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝนมันอีกครั้ง ครั้งนี้พลังของหมัดทลายภูผาได้ช่วยส่งเสริมให้ชายหนุ่มพัฒนาชั้นเชิงการต่อสู้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
เมื่อผนวกเข้ากับเคล็ดวิชาการต่อสู้ มันก็ยิ่งส่งผลให้ขั้นพลังของหมัดทลายภูผาพุ่งทะยานไปจนอยู่ใน ขั้นลึกลับระดับต้น
เยี่ยฉวนไม่เคยตระหนักถึงอานุภาพแห่งเคล็ดวิชาการต่อสู้จนกระทั่งวันนี้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาสามารถเข้า ใจในเคล็ดวิชากระบี่อย่างลึกซึ้ง เมื่อนั้น ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ ก็จะยิ่งทรงอานุภาพทวีคูณอย่างไม่ต้องสงสัย !
ผ่านค่ำคืนนี้ไปจวบจนวันใหม่ เยี่ยฉวนรีบรุดลงมาที่เชิงเขา
เมื่อเห็นดังนั้น ทางด้านอาจารย์ใหญ่จี่จึงมาแจ้งแก่ชายหนุ่มว่า หญิงสาวที่ใช้นามว่าอันกำลังมาคอย พบกับเขา
ว่าแล้วเขาจึงรีบลงเขามาโดยไม่รอช้า เมื่อถึงเชิงเขา บุคคลที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าแผ่นหินสลักที่เยี่ยฉวนมองเห็นก็คือสตรีในชุดขาวสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากความหมองมัว ใบหน้าของนางนั้นงดงามจนแทบอยาก กลั้นใจตาย
อันหลานซิ่ว !
เยี่ยฉวนปรี่เข้าไปหาอย่างดีใจพร้อมกับยิ้มทักทาย “แม่นางอัน !”
อันหลานซิ่วพยักหน้าทักทาย แต่ทว่าก่อนที่นางจะได้เอ่ยปาก พลันปรากฏร่างบุรุษท่าทางสำรวยผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหรนัก คนผู้นั้นถือกระบองสีดำก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว ชายผู้มาใหม่ทำตาโตทันทีเมื่อ สังเกตเห็นอันหลานซิ่ว เขาเอ่ยปากอย่างไม่เกรงใจ “ช่างงามนัก… เป็นสตรีที่งดงามอะไรเช่นนี้…”
เยี่ยฉวนเห็นดังนั้นจึงรีบก้าวออกมายืนขวางเบื้องหน้าเพื่อบังสายตา ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปที่บุรุษแปลกหน้า ก่อนจะพูดว่า “ข้าเองก็หล่อไม่น้อยนะ ! เชิญจ้องมองได้ตามสบาย !”
บุรุษแปลกหน้า “…”