บทที่ 77 รู้หรือไม่ว่าข้าชอบเจ้าตรงไหน ? (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 77 รู้หรือไม่ว่าข้าชอบเจ้าตรงไหน ? (ต้น)

อันหลานซิ่วเอาแต่ชำเลืองมองเยี่ยฉวนจากด้านหลัง ทว่าหญิงสาวกลับไม่ได้พูดสิ่งใด

เบื้องหน้าเยี่ยฉวน สายตาของบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นกวาดตามองตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนเอ่ยวาจาท้าทาย “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้านี่ท่าจะวอนเสียแล้ว !”

สิ้นเสียงของชายแปลกหน้า เขาพลันฉวยไม้เท้าเหล็กและฟาดใส่เยี่ยฉวนอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มกำหมัดขวาซึ่งอัดแน่นจากการผสานรวมของเคล็ดวิชาต่อสู้

ก่อนจะพุ่งหมัดออกต้านแรงปะทะ !

ฟึ่บบบ !

การปะทะกันของพลังชี่ขั้นปฐมก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น !

ตูม !

สิ้นเสียงระเบิด ตามมาด้วยร่างของชายแปลกหน้าที่ล่าถอยออกไปหลายจั้ง กระบอกเหล็กของเขาสั่น ระริก ขณะเดียวกัน เยี่ยฉวนเองก็ถูกแรงปะทะจนถอยกรูดออกไปเช่นกัน หมัดข้างขวามีอาการสั่นเล็กน้อย

ฝ่ายตรงกันข้ามยกไม้เท้าในมือขึ้นพิจารณา ก่อนละสายตาตวัดกลับมาที่เยี่ยฉวน “ใช้ได้ทีเดียว !”

โดยไม่รอช้า ชายแปลกหน้ากระชับไม้เท้าในมือ ก่อนจะเหวี่ยงเข้าหาร่างของเยี่ยฉวนอีกครั้ง

ควับบบ !

ลมที่พุ่งออกเกิดเสียงดังรุนแรง !

สายตาไม่อาจจับความเคลื่อนไหว เห็นเพียงไม้เท้าที่ลอยมาเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วจนยากจะหลบ ดัง นั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจยกหมัดขวาออกต้านทาน !

นี่คือการออกหมัดอย่างตรง ๆ!

หมัดทลายภูผา !

อานุภาพแห่งพลังหมัดสามารถทุบหินผาและทลายทองคำ !

เปรี้ยง !

เสียงปะทะดังสนั่น ไม้เท้าสั่นเทิ้มอย่างแรง ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังสุดที่จะต้านทาน ชายหนุ่มปลิว ไปถอยไปหลายจั้ง วินาทีต่อมาเจ้าของไม้เท้าที่ว่าก็พลันปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าโดยมิทันตั้งตัว แสงสว่างวาบ เข้าตาพุ่งเข้าหาลำคอของชายหนุ่ม !

อันตราย !

ชายหนุ่มหรี่ตาชำเลือง ความคิดแวบแรกพุ่งปลาบเข้ามา ดูถ้าเขาคงไม่อาจปิดกั้นพลังที่แท้จริงไว้ได้อีกต่อไป คิดดังนั้นเยี่ยฉวนจึงวาดฝ่ามือข้างขวาออกเป็นวงกลม

ฮึ่มมม !

เสียงกระบี่ดังสะท้อนก้องทั่วทั้งทุ่งหญ้า และในชั่วพริบตา…

เปรี้ยง !

ร่างคนผู้หนึ่งกระเด็นไปไกลหลายจั้ง !

ร่างของชายแปลกหน้า !

เขาหยุดนิ่งกับที่มองมาที่เยี่ยฉวนสายตาฉายแววหวาดหวั่น “ปราณกระบี่ ที่แท้เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ !”

เยี่ยฉวนจ้องตา “อยากจะลองอีกสักตั้งหรือไม่ ?”

เมื่อได้ยินคำท้าทาย ชายแปลกหน้าหาได้กลัวไม่ เขากลับแสยะยิ้ม “ข้าลองแน่ ! ข้าโม่อวิ๋นฉี หาได้กลัวใครหน้าไหน ข้า…”

โดยมิให้ตั้งตัว เยี่ยฉวนได้พุ่งออกประจันอยู่เบื้องหน้า ขณะนั้นเองลำแสงเย็นเฉียบก็ได้ฟาดฉับลงมา

โม่อวิ๋นฉีพลันสีหน้าเปลี่ยน “ไอ้เวรนี่ เล่นทีเผลอ…”

พูดพลางวาดไม้เท้าเหล็กออกไปด้านข้าง !

เพชรตัดเพชร !

เปรี้ยง !

เสียงของโลหะกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งทุ่งกว้าง ท่ามกลางประกายไฟแล่บปลาบ ร่างของโม่ อวิ๋นฉีพลันถอยกรูดรวดเดียวออกไปไกลนับสิบจั้ง !

ในเวลานั้นเอง เยี่ยฉวนเลือกที่จะรามือ เขาหันไปหาอันหลานซิ่ว พลางใช้สายตาแสดงความขอโทษ อย่างสุดซึ้ง “ขออภัยที่ทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าท่าน !”

ทว่าอันหลานซิ่วกลับไม่ได้กล่าวอันใด หากแต่ยิ้มน้อย ๆ ออกมาแทน

ท่าทีของนางน่าประหลาดนัก หรือมิเช่นนั้นจะบอกว่าเขาอับอายก็คงได้ เยี่ยฉวนนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปทางโม่อวิ๋นฉีพร้อมกับพูดว่า “มาสู้กันเถิด !”

พูดไม่ทันขาดคำ เขาพุ่งทะยานตรงเข้าหาทันที !

โม่อวิ๋นฉี “…”

ขณะที่อันหลานซิ่วมองเยี่ยฉวนอยู่ห่าง ๆ อย่างครุ่นคิด

ผ่านไปสัก 1 ก้านธูป เสียงตวาดของคนผู้หนึ่งพลันดังขัดจังหวะคนทั้งสอง “พอได้แล้ว !”

เจ้าของเสียงคือชายแก่ อาจารย์ใหญ่จี้ ! ผู้ปรากฏกายออกมาเคียงข้างอันหลานซิ่ว ก่อนชายชราจะ พยักหน้าทักทายต่อนางและหันไปมองเยี่ยฉวนกับโม่อวิ๋นฉีซึ่งกำลังต่อสู้ติดพันอยู่ไม่ไกล

โดยไม่คาดฝัน อาจารย์ใหญ่จี้หันมาพูดกับอันหลานซิ่ว “ท่าทางท่านจะเป็นห่วงเขามากทีเดียว ?”

‘เขา’ ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงคือเยี่ยฉวน !

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบผมราวกับทำตัวไม่ถูก ก่อนตอบมาว่า “ใช่ !”

ทว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชราก็พลันมองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น “ผู้เยี่ยมยุทธ์อัน รู้หรือไม่ว่าท่านพูดอะไรออกมา ?”

หญิงสาวหัวเราะออกมาเบา ๆ “เพียงแค่เขากล้าเผชิญหน้ากับกองพันทหารจากแคว้นถังเพียงลำพัง เขาก็สมควรได้รับความเป็นมิตรในฐานะสหายของข้าแล้ว แน่ละ ตอนนี้พวกเราเป็นสหายกัน !”

“สหายของนาง !”

ชายแก่พึมพำกับตนเอง “ข้าเข้าใจว่าในแคว้นเจียง มีคนไม่เกิน 5 คนที่นางยอมรับในฐานะสหาย !”

เปรี้ยง !

ฉับพลันนั้นเอง มันก็ได้บังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น สิ่งที่ทุกคนเห็นคือโม่อวิ๋นฉีโดนแรงปะทะให้ล่าถอย ห่างออกไปอีกหลายจั้ง

ทว่าเยี่ยฉวนหาได้สนใจจะติดตามไม่ เขาย้อนกลับมาหาอันหลานซิ่วท่ามกลางสายตาของโม่อวิ๋นฉีซึ่งจับจ้องไปยังเยี่ยฉวนและอันหลานซิ่ว ก่อนที่ชายแปลกหน้าเองก็พลอยหยุดการต่อสู้เช่นกัน

ชายชราแซ่จี้หันมาทางโม่อวิ๋นฉี “นับแต่นี้ไปเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางหลาน !”

ชายหนุ่มและโม่อวิ๋นฉีชะงักด้วยความตกตะลึง !

“ศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางหลาน !”

โม่อวิ๋นฉีชี้มือมาทางเยี่ยฉวนพลางหันไปถาม “เขา เขาเป็นศิษย์ฉางหลานด้วยหรือ ?”

ชายชราตอบอย่างใจเย็น “ทำไม เจ้ามีปัญหาอันใด ?”

โม่อวิ๋นฉีเหลือบมองผู้พูด “ผู้เฒ่า สถานศึกษาฉางหลานมีศิษย์ทั้งหมดกี่คนกัน ?”

อาจารย์ใหญ่จี้ตอบหน้าตาเฉย “รวมกับเจ้า มีทั้งหมดสาม ! อีกคนหนึ่งกำลังจะมาถึง เมื่อถึงตอนนั้น จะมีศิษย์ทั้งหมด 4 คน !”

“สี่ !”

โม่อวิ๋นฉีชาไปทั้งร่าง เขานิ่งงันไปชั่วขณะ พลันกลับหลังหันเตรียมเดินจากไปโดยไม่มีลังเล “ข้าไป สถานศึกษาฉางมู่เสียจะดีกว่า !”

ชายชราแซ่จี้มองตามโม่อวิ๋นฉีแววตาเรียบเฉย “คัมภีร์ไม้เท้าสยบฟ้าดินเล่มที่สอง แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ ต้องการมันแล้ว ?”

จากระยะห่างออกไป โม่อวิ๋นฉีที่ได้ยินพลันชะงักฝีเท้าและหันกลับมองมายังอาจารย์ใหญ่จี้ “ตาแก่… ท่านปู่ ท่านปู่ใหญ่ สถานศึกษาที่มีศิษย์เพียง 4 คน ท่าน… ท่านแน่ใจหรือว่าจะไปรอด ?”

อาจารย์ใหญ่ตอบกลับอย่างใจเย็น “เจ้าเคยสมัครเข้าเป็นศิษย์ของฉางหลานแล้ว ต่อให้ไปที่นั่นเวลานี้ ยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางรับเจ้าเป็นศิษย์ !”

ได้ยินชายชราพูดเช่นนี้ โม่อวิ๋นฉีพลันยกมือขึ้นชี้หน้าอย่างโกรธเกรี้ยว “ตาแก่ เจ้าหลอกข้า !”

ชายชรายักไหล่อย่างไม่แยแส “ข้าไม่ได้บังคับ ! เป็นเจ้าเองที่ขอร้องให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์แห่งสถาน ศึกษาฉางหลาน !”

ยิ่งได้ฟัง โม่อวิ๋นฉีแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต “เป็นเพราะเจ้า ! ตอนนั้นเจ้าพูดวาจากำกวม เจ้า เจ้า บอกว่าสถานศึกษาฉางหลานคล้ายกับสถานศึกษาฉางมู่ เจ้า…”

“ก็มันคล้ายกันจริง !”

โดยไม่หยุดพัก อาจารย์ใหญ่จี้รีบพูดว่า “ทั้งสองแห่งอยู่ในเมืองหลวง และเป็นสถานศึกษา… นี่ไงคล้ายกันไหม ทีนี้เจ้ายังมีปัญหาอันใดอีก ?”

“ข้า…”