ณ เมืองเปี้ยน
กองทัพตระกูลม่อที่อยู่นอกเมืองเปี้ยนกับกองทัพซีหลิงที่รักษาการณ์อยู่ในเมืองเปี้ยนปะทะกันทุกวันราวกับเป็นกิจวัติ ผู้นำทัพตระกูลม่อล้วนเป็นกลุ่มชายหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบปี ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร ก็ยากนักที่สร้างความเสียหายต่อการป้องกันของหลงหยางได้ ทว่าการบุกโจมตีทุกวันโดยไม่หยุดพักเช่นนี้ ทำให้หลงหยางนึกเอะใจถึงกลลวงบางอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ออกว่ากองทัพตระกูลม่อต้องการจะทำอะไรกันแน่
“ท่านแม่ทัพอาวุโส ทหารตระกูลม่อร้องท้ารบที่นอกเมืองอีกแล้วขอรับ” เหลยเถิงเฟิงสาวเท้าเข้ามาพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมกับหลงหยางที่กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่หลังโต๊ะหนังสือ หลายวันนี้ แม้ระหว่างกองทัพทั้งสองจะไม่ได้เห็นผลแพ้ชนะกันชัดเจน แต่เหลยเถิงเฟิงก็นับว่าพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่ใช่คนที่นิยมความรุนแรงแบบสุดโต่ง ตอนนี้จึงไม่ได้หวังว่าตัวเองจะสามารถตีกองทัพตระกูลม่อของติ้งอ๋องให้แตกพ่าย ขอเพียงสามารถถ่วงเวลาจนกว่าเสด็จพ่อและกองทัพเสริมของทุกแห่งมาถึง เขาก็ถือว่าชนะแล้ว
หลงหยางขมวดคิ้วพูดว่า “อย่าเพิ่งไปสนใจพวกเขา!”
เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้ว “เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ ดูเหมือนว่า ครั้งนี้จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ ขอรับ”
หลงหยางลุกขึ้นยืน และกล่าว “ข้าจะไปดูสักหน่อย”
เมื่อขึ้นไปบนหอกำแพงเมืองและมองลงมา ก็พบว่าสถานการณ์ดูไม่ค่อยเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมาจริงๆ แม้ว่ายังคงไม่ได้เห็นพวกม่อซิวเหยาและหัวหน้าทัพดังเคย ทว่าบรรยากาศและจำนวนกองกำลังของทัพตระกูลม่อกลับดูแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อเทียบกับหลายวันที่ผ่านมา คนที่ยืนร้องท้ารบอยู่ด้านหน้ากองทัพยังคงเป็นอวิ๋นถิง หลายวันนี้ อวิ๋นถิงกับพวกแม่ทัพหนุ่มต่างถูกตีพ่ายอย่างยับเยิน ไม่ว่าพวกเขาจะลงแรงคิดหาวิธีจัดกระบวนทัพทั้งแบบบุกโจมตีซึ่งๆ หน้าหรือลอบโจมตีอย่างไร หลงหยางก็ล้วนสามารถจัดการได้อย่างสบายๆ หากมิใช่ว่าตอนนี้ทั้งสองกองทัพกำลังเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด พวกเขาคงแทบจะคิดว่าหลงหยางกำลังเล่นสนุกกับพวกเขาอยู่
พอถูกทำลายความมั่นใจหนักๆ เข้า กลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ก็ค่อยๆ สำรวมท่าทีที่อวดเบ่งเก่งกล้าอย่างก่อนหน้านี้ลง และเริ่มรอบคอบในทุกครั้งที่เกิดการปะทะกัน โดยไม่หวังถึงขั้นว่าจะตีเมืองเปี้ยนให้แตก หากแค่สามารถสร้างความรบกวนให้เขาได้เพียงเล็กน้อยเพื่อล่อสายตาของหลงหยางได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว เหล่าแม่ทัพชั้นผู้น้อยที่ใจเย็นลงแล้ว ก็เข้าใจว่า เหตุใดท่านอ๋องกับพระชายาถึงได้ให้พวกแม่ทัพอาวุโสเหล่านั้นไปเที่ยวเล่นพักผ่อน แล้วมอบกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดให้แก่เหล่าเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความอันใด การจัดการเช่นนี้ ท่านอ๋องและพระชายาคงจะมีแผนการณ์อะไรอยู่ลับๆ เป็นแน่ ท่านอ๋องไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาบุกเข้าเมืองเปี้ยนไปให้ได้อยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็แค่ต้องช่วยกันร่วมมือทำตามแผนของท่านอ๋องกับพระชายาให้ดีก็พอ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากผ่านไปหลายวัน วันนี้พวกเขาก็ได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องอีกครั้งดังคาด ขณะเดียวกันก็ได้เข้าใจว่าพวกผู้อาวุโสที่สามารถนำกองทัพได้ด้วยตัวเองเหล่านั้นหายไปทำอะไรมากันหมด
“หลงหยาง! เอาแต่หดหัวอยู่แต่ในเมืองตลอดอย่างนั้นจะนับว่าเก่งกาจอะไรได้ ถ้าแน่จริงก็ออกมาสู้กับข้าสิ!” อวิ๋นถิงตะโกนเสียก้อง
หลงหยางมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านล่างกำแพงเมืองและยิ้มพูด “เจ้าหนุ่ม ถ้าแน่จริงเจ้าก็ขึ้นมาคุยกับข้าสิ ข้าคอยเจ้าอยู่บนนี้”
อวิ๋นถิงแสยะยิ้ม “ขึ้นก็ขึ้น เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้านักหรือ ฮ่าๆ…ท่านแม่ทัพหลง ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าแม่ทัพจูของพวกท่านคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ใจของหลงหยางพลันสะท้านขึ้นมา หรี่ตามองคนข้างล่าง และพูด “เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
อวิ๋นถิงยิ้ม “จูเยี่ยนตายแล้วน่ะสิ แล้วพวกกองทัพแสนกว่านายของกองทัพรักษาความสงบที่ซ่อนอยู่ในเขานั่นก็ถูกถล่มเสียราบหมดแล้ว พวกเจ้าคิดจะหดหัวอยู่แต่ในเมืองทุกวัน ไม่ยอมออกมาแบบนี้ แล้วคิดว่าท่านอ๋องของพวกข้าจะไร้หนทางอย่างนั้นหรือ หรือว่าเจ้าคิดจริงๆ ว่า ทหารตระกูลม่อไม่มีคนอื่นอีกแล้ว จริงๆ พวกเราแต่ละคนมาก็แค่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าก็เท่านั้นเอง รอให้ท่านอ๋องเก็บกวาดจูเยี่ยนกับกองทัพรักษาความสงบให้เรียบร้อยก่อน ก็ย่อมต้องกลับมาเยี่ยมแม่ทัพใหญ่ที่สูงศักดิ์อย่างท่านอยู่แล้ว”
จูเยี่ยนตายแล้วหรือ?!
ได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่หลงหยางและเหลยเถิงเฟิงที่อยู่ข้างกายเขา แม่ทัพกองรักษาการณ์ของซีหลิงที่เฝ้าเมืองอยู่ก็ได้รับความสะเทือนใจไปด้วย แม้ว่ายี่สิบกว่าปีมานี้ ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสามแม่ทัพใหญ่แห่งซีหลิงจะถูกเจิ้นหนานอ๋องกดเอาไว้ แต่เพราะเป็นแม่ทัพด้วยกันจึงย่อมรู้กันดี เมืองเปี้ยนถูกล้อมอยู่แค่ไม่กี่วัน กองทัพรักษาความสงบกว่าแสนนายก็ถูกทำลายจนสิ้นซากเสียแล้ว แม้แต่ท่านแม่ทัพอันเลื่องชื่อยังตายในสนามรบ นี่จะไม่ทำให้เหล่าแม่ทัพของซีหลิงตกตะลึงได้อย่างไร
อย่างไรก็เป็นแม่ทัพแก่ที่ผ่านสนามรบมานาน หลงหยางข่มความรู้สึกสั่นสะท้านในใจลง จากนั้นแสยะยิ้ม แล้วพูด “ดีแต่พูดเท่านั้นละ เช่นนั้นเจ้าก็ลองขึ้นมาให้ข้าดูสิ”
อวิ๋นถิงไม่เหมือนหลายๆ วันก่อนที่จะเกิดความฉุนเฉียวทันทีเมื่อถูกหลงหยางพูดจายั่วยุ เขาเพียงแต่ยิ้มร่าและโบกสะบัดธงสงครามในมือ ค่ายกองทัพตระกูลม่อด้านหลังก็ร้องโห่กันสนั่นฟ้าขึ้นมาในทันใด เมื่อธงเคลื่อนที่ แม่ทัพตระกูลม่อก็ย้ายตำแหน่งแปรกระบวนทัพในรูปแบบที่จะเตรียมบุกตีเมืองอย่างชัดเจน หลงหยางมองแวบเดียวก็เข้าใจทันทีว่า เหตุใดเหลยเถิงเฟิงถึงได้บอกว่าวันนี้ไม่เหมือนกับวันก่อนๆ กระบวนที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นไม่มีทางเป็นรูปแบบที่แม่ทัพหนุ่มไม่กี่คนตรงหน้าจะสามารถจัดออกมาได้ นี่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ากองทัพตระกูลม่อหมดความอดทนที่จะเล่นสนุกกับพวกเขาแล้ว พร้อมกันนั้นในใจของหลงหยางก็เข้าใจทันทีว่า ถ้อยคำที่แม่ทัพหนุ่มของกองทัพตระกูลม่อพูด เกรงว่าคงไม่ใช่คำโกหกหลอกลวง ทหารฉกาจแสนกว่านายที่อำพรางอยู่บนเขากับจูเยี่ยนล้วนล้มตายกันจนสิ้นแล้ว
หลงหยางถอนหายใจอย่างจนปัญญาและสั่งให้รักษาเมืองเอาไว้ให้ได้ไม่ออกไปเด็ดขาด
“แม่ทัพอาวุโสขอรับ อย่าบอกนะว่าแม่ทัพจู…” เหลยเถิงเฟิงถามด้วยความกังวล หลงหยางตอบอย่างเรียบๆ “ความโชคร้ายมักจะมีมากกว่าความโชคดี”
“เช่นนั้นพวกเรา…” เหลยเถิงเฟิงถาม
หลงหยางมองเขา แล้วส่ายหน้า “พวกเราไม่อาจออกจากเมืองไปรับศึกได้อีกแล้ว คุ้มกันให้แน่นหนา และรอกำลังเสริม”
“ขอรับ” เหลยเถิงเฟิงตอบเบาๆ
ใต้กำแพงเมือง อวิ๋นถิงมองดูทหารซีหลิงที่เฝ้าประตูเมืองอย่างแน่นหนาไม่ยอมออกมารับศึก แล้วจึงกระทืบเท้าอย่างอดไม่ได้ เฉินอวิ๋นดึงเขาไว้อย่างจนปัญญา และกล่าว “เป็นไปอย่างที่ท่านอ๋องว่าไว้จริงๆ พวกเขาไม่ออกมารับศึกสั้นๆ กับพวกเราอีกแล้ว” อวิ๋นถิงพูดอย่างโมโห “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสามารถหดหัวอยู่แต่ในเมืองได้ทั้งชาติ! เทพสังหารซีหลิงเนี่ยนะ ไม่ต่างอะไรกับเต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดองสักนิด!” เฉินอวิ๋นยิ้มพูด “เขาไม่จำเป็นต้องหดหัวอยู่แต่ในเมืองทั้งชาติหรอก เพียงแค่เขาสามารถป้องกันได้หนึ่งถึงสองเดือน พอกำลังเสริมของซีหลิงมาถึง ความลำบากก็จะตกอยู่กับฝ่ายพวกเราแล้ว”
อวิ๋นถิงพูดอย่างรำคาญเต็มทนว่า “ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าจะไม่มีทางล่อให้เขาออกมาจากเมืองได้! บุกเข้าไป!”
ด้านหน้าเมืองเปี้ยนมีแม่น้ำที่คุ้มกันเมืองอยู่สายหนึ่ง เป็นแม่น้ำที่ค่อนข้างกว้าง หากคิดอยากจะข้ามไป ก็คงต้องให้ฝ่ายตรงข้ามวางสะพานข้ามแม่น้ำลงมาก่อน หรือไม่พวกเขาทางด้านนี้ก็ต้องคิดหาวิธีเอาเอง เวลาที่เสียไปหลายวันนี้ พวกแม่ทัพหนุ่มแต่ละคนก็ไม่ได้เอาเวลาทั้งหมดมาตะโกนด่าฝ่ายตรงข้ามเพียงอย่างเดียว พวกเขาได้สั่งให้ช่างไม้ในกองทัพตระกูลม่อสร้างบันไดยาวหลายสิบอันเอาไว้ ทันทีที่นำมาพาดกับแม่น้ำ และปูกระดานไม้เสริม ก็สามารถข้ามแม่น้ำไปได้ทันที
เฉินอวิ๋นมองดูทหารด้านหน้าที่ฝ่าห่าฝนธนูเพื่อไปวางสะพานไม้ เห็นทหารจำนวนไม่น้อยต้องตายลงท่ามกลางธนูมากมาย จึงแอบกัดฟันกรอดอย่างอดกลั้นไม่อยู่ เมืองที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำคุ้มกันง่ายและโจมตียากอย่างเมืองเปี้ยนนี้ หากไม่ยินยอมเอาความตายจำนวนมากเข้าแลก ก็อย่าคิดจะตีเมืองให้แตกได้เลย แม้ว่าจะต้องฝ่าฝนธนูมากมาย แต่ในที่สุดพวกเขาก็พาดสะพานเชื่อมจนสำเร็จ ฝีมือการยิงธนูของกองทัพตระกูลม่อไม่ได้มีไว้ประดับบารมีอย่างเดียว แม้ว่าจะยิงจากด้านล่างขึ้นด้านบนก็ยังทำให้ทหารซีหลิงพากันร่วงหล่นลงมาจากกำแพงเมืองไม่น้อย
ทหารตระกูลม่อกลุ่มใหญ่ข้ามแม่น้ำที่คุ้มกันเมืองได้แล้ว บ้างปีนตามบันไดขึ้นไปยังกำแพงที่สูงตระหง่าน บ้างยิงธนูจากด้านล่างขึ้นไปบนกำแพงเมือง แล้วน้ำในแม่น้ำที่คุ้มครองเมืองด้านหลังก็ค่อยๆ อาบไปด้วยสีแดงเข้ม
ด้านหลังกองทัพตระกูลม่อ ม่อซิวเหยาพร้อมพรรคพวกปรากฏตัวขึ้นบนสนามรบ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการรบ เพียงแค่ยืนมองอย่างเงียบๆ จากที่ไกลๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงจะได้ยินม่อซิวเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าว่าพวกอวิ๋นถิงก็ไม่เลวเหมือนกันนะ” แพ้มากกว่าชนะติดต่อกันมาหลายวันแต่ก็ยังอดทนอยู่ได้ และถึงขั้นทำให้กองทัพตระกูลม่อยังฮึกเหิมอยู่ได้อีก สำหรับแม่ทัพหนุ่มที่ผ่านสนามรบจริงๆ มาไม่เท่าไรเหล่านี้ ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว