กู่ กุ้ยหลิน ตกตะลึง เธอยกแขนขึ้นมาป้องกันการโจมตีที่กำลังเข้ามาโดยสัญชาตญาณ
“ปัง!”
การปะทะที่ทรงพลังเกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพลังอันน่ากลัวที่ย้อนกลับมาหาทั้งสองฝ่าย โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดกระทบ คลื่นกระแทกซาดซัดออกมาโดยรอบในทันที
ร่างกายของ กู่ กุ้ยหลิน กระเดนถอยหลังกลับออกไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ และความรู้สึกด้านชาก็ปรากฏขึ้นมาที่แขนทั้งสองข้าง โชคดีที่ หวัง ฮันเหียน และเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ มีปฏิกิริยาตอบสนองที่เร็วพอที่จะจับตัวของเธอเอาไว้ได้และหลีกเลี่ยงความอับอายของเธอที่จะล้มลงกับพื้น เธอทั้งโกรธและประหลาดใจ – เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเสี่ยวหลัวจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แม้มันจะเป็นการลอบโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของเธอ เธอก็ไม่สามารถมีข้อได้เปรียบอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการตอบสนองสัญชาตญาณการต่อสู้หรือพลังความสามารถของ เสี่ยวหลัว มันก็เกินทหารหน่วยรบพิเศษที่เธอเคยรู้จักเข้าไปแล้ว
เขาเป็นสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์โดยแท้!
“ไอ้สารเลวเอ้ย แกทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจงั้นเหรอ! เร็วเข้าจับกุมเขา!” หวัง ฮันเหียน ตะโกนออกคำสั่งเมื่อเห็นว่า กู่ กุ้ยหลิน ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ
“ครับท่าน!”
ทีมตำรวจที่ดูแข็งกร้าวดึงกุญแจมือออกมาและเข้าไปประชิดตัวของเสี่ยวหลัวในทันที
“เดี๋ยวก่อน!” เสี่ยวหลัว ตะโกนออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่กล้องวงจรปิดที่ถูกติดตั้งอยู่บนเพดานห้องโถง “ใครเริ่มโจมตีก่อนมันมีบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน อย่าบอกนะฉันนะว่า ตำรวจเจียงเฉิง มีสิทธิ์ที่จะโจมตีคนก่อน แล้วฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบโต้?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สมาชิกตำรวจทุกคนต่างก็ชะงักงัน มองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่จะหันไปหา กู่ กุ้ยหลิน พวกเขากำลังรอคำสั่งจากเธอ
กู่ กุ้ยหลิน โบกมือให้พวกเขาถอยกลับ จากนั้นเธอก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้า เสี่ยวหลัว ดวงตาที่สวยงามของเธอจ้องมองไปที่เขาด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่“ฉันขอถามคุณหน่อยสิ ว่าเมื่อชั่วโมงก่อนคุณไปอยู่ที่ไหน?”
เสี่ยวหลัวตอบว่า“เดินเล่นอยู่รอบๆโรงพยาบาลนี้แหละ”
กู่ กุ้ยหลิน กดเสียงต่ำ “แล้วทำไมคุณถึงได้ปิดเครื่องโทรศัพท์เมื่อไปเดินเล่น?”
“ฉันอยากอยู่คนเดียวและไม่อยากถูกรบกวน” เสี่ยวหลัวตอบอย่างสบายๆ “ไม่ได้เหรอ?”
มุมปากของ กู่ กุ้ยหลิน กระตุกจากนั้นเธอก็ออกคำเตือนเขาอย่างเย็นชาว่า“คำถามของฉันมีแค่นี้ แต่ฉันจะขอบอกคุณเอาไว้ว่า ‘กฎหมายนั้นอาจจะดูเปราะบาง แต่มันก็ไม่เคยละเว้นใคร! ‘ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎหมายจะได้รับการลงโทษตามสมควรโดยไม่มีข้อยกเว้น!”
“เข้าใจแล้ว” เสี่ยวหลัว พูดพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
กู่ กุ้ยหลิน จับจ้องมองไปที่เขาอยู่นานก่อนจะตะโกนออกมาว่า“กลับ!”
แม้ว่าในใจของเธอ เธอจะมั่นใจว่าเสี่ยวหลัวคือคนที่ฆ่า เหอ หร่วนเหลียง และเขาก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในเหตุการณ์วันที่ 12 กันยายน แต่เธอก็ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอที่จะจุบกุมเขา แม้ว่าเธอจะจับเขา แต่เขาก็สามารถออกมาได้อยู่ดี ดังนั้นมันจึงเป็นการเสียเวลาที่จะจับเขาในตอนนี้
หลังจากที่ลูกน้องคนอื่นๆออกไปแล้ว กู่ กุ้ยหลิน ก็หันหลังกลับมาหลังจากที่เธอเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว และพูดกับเสี่ยวหลัวว่า “อ่าฉันลืมบอกคุณไปว่า วันนี้คุณดูแย่มากเมื่อใส่เสื้อผ้าพวกนั้น!”
หลังจากพูดจบเธอก็จากไปโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองอีก
เสี่ยวหลัวปล่อยลมหายใจออกมา และไม่สนได้ใจอะไรในความคิดเห็นของเธอนัก
“พี่ชาย!”
เสี่ยวรุ่ยอิง วิ่งเข้ามาสวมกอด เสี่ยวหลัว แน่น
ในทางกลับกัน ถัง เหริน ก็ยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ตัวของเขายังคงสั่นสะท้านจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ตำรวจชี้ปืนของพวกเขาไปที่คนที่ไม่ใช่ใครอื่น แต่มันเป็นพี่ชายของภรรยาของเขา! เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆสำหรับเขา
“พี่ทำไมตำรวจพวกนั้นถึงได้มาตามหาพี่ และ พี่ได้ฆ่า เหอ หร่วนเหลียง ไปจริงหรือเปล่า?” เสี่ยวรุ่ยอิง ถามอย่างเป็นห่วง
เสี่ยวหลัวส่ายหัวแล้วลูบผมของเธอ“ไม่ใช่ พวกเขาแค่เข้าใจผิด”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องโกหกเพื่อให้น้องสาวของเขาสบายใจ
“จริงๆเหรอ?” เสี่ยวรุ่ยอิง ยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อย
เสี่ยวหลัวยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน“พี่เคยโกหกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่? พี่แค่ไปเดินเล่นรอบๆโรงพยาบาลเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ก็เท่านั้นเอง”
……
“หัวหน้ากู่ ถ้าคนร้ายไม่ใช่เสี่ยวหลัวแล้วคนร้ายมันจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? หรือว่ามันจะเป็นผู้สมรู้ร่วยคิดของ เหอ หร่วนเหลียง ที่ต้องการจะปิดปากเขา?” นอกโรงพยาบาล หวัง ฮันเหียน กำลังพูดข้อคาดเดาของเขาเอง
คิ้วของ กู่ กุ้ยหลิน ขมวดเข้าหากัน ขณะที่เธอจ้องมองไปที่ เจ้าหน้าที่หวัง อย่างไม่พึงพอใจ“ผู้สมรู้ร่วมคิดต้องการที่จะปิดปากเขางั้นเหรอ? สัญชาตญาณของฉัน มันบอกกับฉันว่าผู้ร้ายจะต้องเป็นเสี่ยวหลัวอย่างแน่นอน”
เสี่ยวหลัว?
หวัง ฮันเหียน ขมวดคิ้ว“แต่เขาไม่มีบาดแผลใดๆเลยบนร่างกาย นี่มันยังไม่เพียงพออีกเหรอที่จะขจัดเขาออกจากผู้ต้องสงสัย?”
แม้แต่เสื้อเกราะกันกระสุนก็ยังไม่สามารถป้องกันจากการโดนยิงได้ทั้งหมด หลังจากที่ถูกยิงมันจะต้องมีรอยฟกช้ำหรือบาดแผลที่ไหนสักแห่งบนร่างกายของ เสี่ยวหลัว นี่คือสามัญสำนึกโดยทั่วไป
นี่คือสิ่งที่ กู่ กุ้ยหลิน ก็คิดไม่ตกเช่นกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยิงถูกแน่ๆ แต่ทำไมมันทิ้งไม่ได้ทิ้งรอยแผลบาดแผลเอาไว้เลย?
มันไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาพิสูจน์ได้เลยว่าเป็นเสี่ยวหลัว และจากหลักฐานในปัจจุบันมันก็เพียงพอที่จะทำให้เขารอดพ้นจากผู้ต้องสงสัยได้แล้ว แต่สัญชาตญาณและการตัดสินของเธอในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจมันบอกกับเธอว่าคนร้ายมันจะต้องเป็นเสี่ยวหลัวแน่ๆ
ความขัดแย้งทั้งสองอย่างนี้ มันทำให้เธอหัวหมุน
ทันใดนั้นเธอก็กระชากคอเสื้อของ หวัง ฮันเหียน อย่างแรงและถามออกมาในทันทีว่า“คุณคิดว่า มันมียาชนิดใดในโลกนี้บ้าง ที่มันสามารถรักษาบาดแผลได้ในทันที?”
“อ่า?”
หวัง ฮันเหียน อ้าปากค้างด้วยความตกใจ คำถามนี้มันดูเด็กไปหน่อย มันจะไปมียามหัศจรรย์แบบนั้นในโลกนี้ได้อย่างไร?
“อ่าเอ่ออะไรรีบพูดออกมาสิ!” กู่ กุ้ยหลิน พูดออกมาอย่างกระวนกระวายใจ
หวัง ฮันเหียน พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า“ผมเคยได้ยินมาว่ามียาลับของ ยูนยาน ไป่เหยา ที่สามารถห้ามเลือดได้อย่างรวดเร็ว แต่สูตรของยานั้นได้สูญหายไปนานแล้ว ยูนนาน ไป่เหยา ที่หาได้ตามตลาดคงไม่ได้มีผลเช่นนั้น”
ดวงตาของ กู่ กุ้ยหลิน สว่างขึ้น“แล้วมันเป็นไปได้ไหม ว่าเสี่ยวหลัวจะมีสูตรยานั้น”
“อึก…” หวัง ฮันเหียน กลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบาก และได้แต่สงสัยว่าเจ้านายของเขาอาจถูกปีศาจเข้าสิง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่หยุดจนกว่าฆาตกรจะเชื่อมโยงกับ เสี่ยวหลัว หวัง ฮันเหียน ส่ายหัวและพูดว่า“นั่นมันเป็นไปไม่ได้ และถึงแม้ว่าจะมีสูตรยาที่ว่านั่นจริง แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่แผลจะปิดสนิทได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ และมันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น กู่ กุ้ยหลิน ก็ปล่อยเขาไปอย่างไม่เต็มใจ เธอหันกลับไปมองที่โรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเดินจากไป
……
หลังจากผ่านไปสองวันสองคืนของการช่วยและเหลือยื้ออาการของซุนยู้ ในที่สุดอาการของเธอก็คงที่ และพวกแพทย์ก็ได้ดึงเธอกลับมาจากประตูแห่งความตายได้สำเร็จ
พ่อแม่ของซุนยู้ ก็รีบออกมาจากบ้านในคืนวันเกิดเหตุ เมื่อเห็นว่าลูกสาวของพวกเขานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลพร้อมกับหน้ากากออกซิเจน ด้วยใบหน้าที่ซีดราวกับกระดาษของเธอ แม่ของซุนยู้ก็เป็นลมลงไปในทันที หลังจากที่ ซุน เจียนอัน มถึงดวงตาของเขาก็เป็นสีแดงและเขาก็เอาแต่เช็ดน้ำตาของตัวเอง
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาอาการของ ซุนยู้ ก็คงที่
…
อย่างไรก็ตามหมอได้นำข่าวร้ายมาให้กับพวกเขา หมอพูดว่า: “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว และสภาพร่างกายของเธอก็คงที่แล้ว อย่างไรก็ตามเจตจำนงของคนไข้ที่ต้องการจะเสียชีวิตนั้นแข็งแกร่งเกินไป เธอจึงไม่ต้องการที่จะตื่นขึ้นมา สิ่งที่เราทำได้ก็ทำไปแล้ว หากคนไข้ยังยืนยันที่จะตาย เราก็ทำอะไรไม่ได้”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ยู้ยู้ พบเจอกับประสบการณ์อะไรกันแน่”
แม่ของ ซุนยู้ รีบวิ่งเข้าไปในห้องผู้ป่วยด้วยความปวดร้าว น้ำตาของเธอไหลออกเป็นจำนวนมาก จนเธอเกือบจะเป็นลมล้มไปอีกครั้ง
พ่อของ ซุนยู้ เช็ดน้ำตาออกจากดวงตาของเขาและเดินตัวสั่นเทา เข้าไปในห้องด้วยความเศร้าโศก
“ยู้ยู้ ไม่สามารถยอมรับตัวเองในแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ และเธอก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเสี่ยวหลัว ได้ เธอต้องการจะตายอย่างสุดหัวใจ” หู่ ซัวหรง สะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน ในฐานะที่เธอเองก็เป็นเหยื่อ ดังนั้นเธอจึงเข้าใจอย่างชัดเจนว่าในหัวของ ซุนยู้ กำลังคิดอะไรอยู่
ดวงตาของ เสี่ยวรุ่ยอิง แดงด่ำขึ้นและกดตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของ ถังเหริน พลางสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ
ถังเหริน ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบเธอ เขาทำได้เพียงแค่ตบหลังของเธอเบาๆ