บทที่ 306 หมาป่าน้ำแข็งตั้งครรภ์
หลิงจุนเซวียนมองหน้าไป๋ไห่ชินด้วยแววตาเย็นชา
“ถอยไป…เดี๋ยวนี้…!”
เขาพูดเน้นเสียง
ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งท่านเจ้าเมืองมักเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ แต่ขณะนี้ เขากลับคำรามออกมาเหมือนมังกรร้ายที่ถูกเหยียบหาง แววตาดุดันน่ากลัว หากแววตาของเขาเป็นคมกระบี่ ไป๋ไห่ชินก็คงมีร่างกายพรุนไปหมดแล้ว
ไป๋ไห่ชินอดประหลาดใจไม่ได้
แต่เขาก็ยังกัดฟันกรอด “ข้าต้องการความยุติธรรม ข้าอยากให้มีการสืบสวน ข้าอยากทราบว่าพั่วเถียนถูกวางยาพิษได้อย่างไร เขาไม่เคยพลาดพลั้งง่ายดายขนาดนี้ ถ้าไม่ถูกวางยาพิษ เขาไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินรวดเร็วเช่นนี้แน่ ในฐานะอาจารย์ของเขา ข้าแค่อยากทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่ลูกศิษย์ตนเอง”
“ลูกศิษย์ของท่านอยากได้ความยุติธรรมแบบไหนเล่า?” หลิงจุนเซวียนแค่นหัวเราะในลำคอ “ไม่ทราบว่าอาจารย์ไป๋สามารถอ่านใจเฉาพั่วเถียนได้หรืออย่างไร?”
“เพราะข้าเป็นอาจารย์ของเขา ข้าย่อมรู้ดีว่าเขาต้องการสิ่งใด” ไป๋ไห่ชินเริ่มเสียงแข็งกระด้างขึ้นมาแล้ว
หลิงจุนเซวียนสูดหายใจลึกและกล่าวว่า “การสืบสวนจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน เดี๋ยวจวนผู้ว่าจะอธิบายให้ทุกคนได้รับทราบรายละเอียดเอง บัดนี้ อาจารย์ไป๋ท่านทำได้เพียงหลีกทางไปก่อน อย่าได้ขัดขวางพิธีการแข่งขัน มิฉะนั้น อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าท่านแล้ว”
เมื่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามเอาจริง ไป๋ไห่ชินก็ถึงกับต้องนิ่งคิดไปเล็กน้อยและกล่าวออกมาในที่สุด “ประเสริฐ ถือว่าข้าเชื่อใจท่านเจ้าเมืองก็แล้วกัน”
พูดจบ ชายชราก็ยอมหลีกทางไปแต่โดยดี
ความตั้งใจของเขาสำเร็จผลแล้ว
ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาไม่เห็นด้วยกับชัยชนะในครั้งนี้ของหลินเป่ยเฉิน
ทุกคนได้เห็นแล้วว่าหลิงจุนเซวียนมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไรบ้าง
ถังกู่จินมีแววตาเย็นชามองหน้าไป๋ไห่ชินเหมือนคนไม่รู้จัก รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนที่ผู้ตรวจการมณฑลจะหันหลังกลับและเดินหายไปพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตามของตนเอง
ชาวเมืองพร้อมใจกันร้องตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉิน
บรรดาลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามวิ่งเข้ามาจับเด็กหนุ่มโยนขึ้นไปในอากาศ
รวมถึงพวกเขาก็โยนไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียงและฮันปู้ฟู่ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาทั้งสามคนจะได้ปรากฏตัวในการแข่งขันรอบชิงธง
แต่บัดนี้ความฝันที่น่าเหลือเชื่อกลับเป็นความจริงแล้ว
นอกจากได้ชื่อเสียงโด่งดังมาประดับเกียรติยศของสถานศึกษากระบี่ที่สาม นับจากปีนี้เป็นต้นไป ทางกระทรวงศึกษาก็จะส่งมอบทุนและทรัพยากรสิ่งของต่างๆ มาให้พวกเขาเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนตัวแทนผู้เข้าร่วมการแข่งขันในปีต่อไปก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ทุกคนที่มาจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรืออาจารย์ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นจากใจจริงและชื่นชมเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้ง 4 คนนี้สุดหัวใจ
แต่แน่นอนว่าย่อมมีข้อยกเว้นสำหรับบางคน
ห่างออกมาจากฝูงชน มู่ซินเยว่ยืนมองหลินเป่ยเฉินถูกเพื่อนร่วมสถาบันโยนขึ้นไปในอากาศ แววตาของนางกลับมาเยือกเย็นลงแล้ว เยือกเย็นจนถึงขั้นเย็นชา และความเจ็บปวดในหัวใจของเด็กสาวก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินเคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้แก่นาง
เป็นนางเองที่ทำลายทุกอย่างทิ้งไปกับมือ
นับจากวันนี้เป็นต้นไป มู่ซินเยว่จะไม่มีทางลืมเลือนสองสิ่งเด็ดขาด
หนึ่งคือนางเป็นคนฉลาดและสองนางเป็นคนจริงจังต่อทุกเรื่องเสมอ
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของหลินเป่ยเฉินเกิดความเปลี่ยนแปลง มันทำให้มู่ซินเยว่ได้เข้าใจเรื่องราวบางอย่าง
คงได้เวลาแล้วที่นางจะออกจากบ่อน้ำเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อเดินทางสู่แม่น้ำที่ไหลลงไปสู่มหาสมุทร
ไม่มีปลาใหญ่สามารถเติบโตได้ในบ่อเล็กตลอดไป
ไม่มีพื้นที่สำหรับมังกรในบ่อเล็ก
ได้เวลาที่นางต้องเดินทางออกไปจากเมืองนี้แล้ว
ได้เวลาที่มู่ซินเยว่จะจบฝันร้ายในชีวิตของตนเองเสียที
เด็กสาวหมุนตัวเดินทวนกระแสฝูงชนหายลับไป
ห่างออกมาไม่ไกล อู๋เสี่ยวฟางกับกวนเฟยตู้มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกับบิดามารดาของพวกเขา ทุกคนอยากจะร้องไห้ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองรอบตัวเลยแม้แต่น้อย
มี่หรู่หยานก็ถูกเพื่อนร่วมสถาบันเข้ามาห้อมล้อมและจับโยนขึ้นไปในอากาศเช่นกัน
นางหันไปมองทางหลินเป่ยเฉินที่มีผู้คนมากมายกำลังรายล้อม แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยงามนั้น
ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย มี่หรู่หยานสามารถเอาชนะหลินอี้ได้สำเร็จ นางพิสูจน์ความสามารถของตนเองในการแข่งขันชิงธงได้อย่างไม่ต้องสงสัย และช่วยทำให้ชัยชนะของหลินเป่ยเฉินมีความงดงามสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครทราบเลยว่านานแค่ไหนกันกว่าที่เสียงตะโกนเฉลิมฉลองจะจางหายไป
ผ่านไปอีกเนิ่นนาน
บัดนี้พระอาทิตย์จมตัวหายไปที่เส้นขอบฟ้าของทะเลแล้ว
ความมืดมิดแผ่ปกคลุมพื้นพสุธา
หลินเป่ยเฉินเดินทางกลับมาถึงสถานศึกษากระบี่ที่สาม
เดิมที ไป๋ชินหยุนอยากจะพาทุกคนไปเลี้ยงฉลองที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง แต่บรรดาอาจารย์ได้ห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน
“เรายังไม่ได้รับรางวัลอย่างเป็นทางการ อย่าเพิ่งดีใจออกนอกหน้า เอาไว้พรุ่งนี้รับรางวัลเรียบร้อยแล้ว ค่อยเลี้ยงฉลองกันก็ยังไม่สาย ส่วนวันนี้ แต่ละคนแยกย้ายกลับบ้าน พักผ่อนให้เต็มที่ นอนหลับให้เต็มอิ่มก่อนดีกว่า” ฉู่เหินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่มีเหตุผลยิ่ง
ดังนั้น ทุกคนจึงแยกย้ายสลายตัวที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าสถาบัน
บัดนี้ สถานศึกษาของพวกเขามีแต่ความเงียบ
สองข้างทางเดินจุดสว่างด้วยโคมไฟ
หลินเป่ยเฉินเดินตรงกลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่
ทุกอย่างจบลงแล้ว
การที่เฉาพั่วเถียนถูกวางยาพิษทำให้การเดิมพันชีวิตระหว่างพวกเขาไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เป็นการชั่วคราว
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก
นี่ไม่ต่างไปจากการจับตะพาบในไห
ไม่มีใครลืมเลือนการเดิมพันชีวิตในวันนั้นได้แน่นอน
ฟางเจิ้นหรู่โดนปีศาจฆ่าตายไปแล้ว แต่องค์ชายเจ็ดผู้เป็นสักขีพยานของเขายังคงอยู่
การเดิมพันชีวิตยังคงอยู่
เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่เดือดร้อนอะไรหากจะปล่อยให้เฉาพั่วเถียนได้มีชีวิตอยู่รอดอีกสักวันสองวัน
ดีเสียอีก จะได้ทำให้ไอ้หัวทองนั่นรับรู้ถึงความหวาดกลัวก่อนตาย
ณ ทางเข้าตำหนักไม้ไผ่
“นายท่านแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีเลยขอรับ!”
อากวงวิ่งเข้ามาชูกระดานที่เขียนข้อความชื่นชมเขาเอาไว้ล่วงหน้า
ปัจจุบัน อดีตราชันย์หนูอสูรประจำหุบเขาชายแดนเหนืออยู่ดีกินดีขึ้นมาก ขนบนตัวของมันกลายเป็นสีเงินยาวสลวย เวลาที่มันวิ่งกระโดดไปมา ขนบนตัวก็จะพริ้วไหวสวยงาม ทำให้มีความน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มมากขึ้น
ทางด้านสองสาวรับใช้ก็สวมใส่เสื้อผ้าชุดราคาแพง แต่งหน้าทาปากอย่างสวยงาม ยืนต้อนรับเด็กหนุ่มพร้อมกับยิ้มแย้มอ่อนหวาน สร้างให้บรรยากาศสงบสบายใจ เหมาะสำหรับการผ่อนคลายหลังกรำศึกหนักเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหวังจงเห็นผู้เป็นนายน้อยปรากฏตัว เขาก็วิ่งออกมาคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม พร้อมทั้งรีบก้มหน้าลงและใช้ผงพริกป้ายตาตนเอง เพียงไม่นาน ดวงตาของพ่อบ้านหวังจงก็แดงก่ำ น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างรวดเร็ว “ฮื่อ นายน้อยได้เป็นผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้แล้ว นายน้อยสามารถบดขยี้ศัตรูทุกคนได้ด้วยความสามารถของตนเอง…”
ไอ้เฒ่านี่ เล่นละครไม่เนียนเอาเสียเลย
หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบหน้าหงายด้วยความหมั่นไส้
เวลานี้ควรจะยิ้มแย้มดีใจไม่ใช่หรือ แล้วจะมาร้องไห้หาพระแสงอะไร?
หวังจงส่งเสียงร้องครางด้วยความสบายใจ “ขอบคุณนายน้อยสำหรับรางวัลขอรับ”
ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ต้องขออภัยด้วยที่ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนรอนานแล้ว” หลินเป่ยเฉินไม่สนใจพ่อบ้านชราและหันกลับมาโปรยยิ้มหวานใส่หญิงรับใช้ทั้งสองนาง ก่อนที่จะกุมมือพวกนางเดินตรงไปยังสวนหย่อมหน้าตำหนัก
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคำรามในลำคอดังมาจากข้างทาง
หืม?
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปมอง จึงได้พบว่าข้างโขดหินที่ประดับอยู่ในสวนหย่อมขณะนี้ ไม่ทราบว่ามีบ้านสุนัขปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
และผู้ที่นอนหมอบอยู่ด้านในนั้นก็คือ…
หมาป่าน้ำแข็งตัวหนึ่ง
“หมาป่าน้ำแข็งตัวนี้มาจากไหน?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
“อ๋อ เจ้าตัวนี้หรือขอรับนายน้อย” หวังจงรีบวิ่งเข้ามาอธิบาย พยายามหาความดีความชอบใส่ตัว “วันนี้ข้าน้อยเข้าไปซื้อของใช้ในตัวเมือง เห็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษากำลังนำพวกสัตว์อสูรมาเร่ขายราคาถูก ข้าน้อยจึงนึกได้ว่าตำหนักไม้ไผ่ของเราถูกบุกรุกมาแล้วสองครั้งสองครา สมควรที่จะมีสุนัขเฝ้าบ้านสักตัวหนึ่ง และหมาป่าน้ำแข็งตัวนี้ก็ราคาไม่แพงเลยขอรับ เพียง 30 เหรียญเงินเท่านั้น ข้าน้อยจึงซื้อมาโดยไม่ลังเล”
ทำไมมันถึงถูกขนาดนั้นหว่า?
หลินเป่ยเฉินอดหันไปสำรวจมองเจ้าหมาป่าน้ำแข็งตัวนั้นอีกครั้งไม่ได้
ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้ามันชอบกล
“แต่ข่าวดียังไม่จบนะขอรับนายน้อย ปรากฏว่าหมาป่าน้ำแข็งตัวนี้มันกำลังตั้งครรภ์ และข้าสามารถซื้อมันกับลูกน้อยในท้องมาได้ในราคา 30 เหรียญเงินเท่านั้นเอง ถ้าเราฝึกลูกหมาป่าให้ดี นอกจากจะมีความฉลาดเฉลียวแล้ว ร่างกายของมันยังแข็งแรงกว่ามนุษย์อีกขอรับ”
หวังจงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หืม?
หมาป่าน้ำแข็งตัวนี้มันกำลังตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ?
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ชอบกลแฮะ
—————————-