ในความเป็นจริง ด้านในแผนการที่หวางซานปรึกษากับจางเวย เดิมทีไม่มีบทละครของกงหย่วน
เพียงแต่ หลังจากที่หวางซานออกไป จางเวยได้รับโทรศัพท์ของอามาจากเมือง รับรู้ว่ากงหย่วนจะเข้ามา ถึงเพิ่มบทละครของกงหย่วนแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่างไรเสียบทละครที่ปลอมเป็นตำรวจ ไม่มีตำรวจจริงสักคนสองคนจะผ่านไปได้อย่างไรกันล่ะ?
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ตอนที่เย่เทียนถูกนักแสดงกลุ่มหนึ่งยัดเข้าไปในรถยนต์ และไม่รู้ว่าจะพาไปที่ไหนกันแน่ บนถนนเจริญคึกคักที่อยู่ไกลอีกด้านหนึ่ง
เหลียงเยว่หรูเพิ่งเดินออกมาจากร้านอาหารแห่งหนึ่งกับเพื่อนสาวอย่างพออกพอใจมาก รถตู้คันหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ดึงประตูรถออก ผู้ชายที่ใส่หน้ากากหลายคนเดินออกมาเป็นแถว วิ่งมาทางเหลียงเยว่หรูแบบเป้าหมายชัดเจน
เหลียงเยว่หรูรู้สึกหวาดผวา รู้สึกถึงความผิดปกติโดยจิตใต้สำนึก มีความคิดอยากถอยหนี แต่ก็สายไปเสียแล้ว!
ผู้ชายสวมหน้ากากหลายคนแบ่งงานกันชัดเจน ขวางคนก็ขวางคน จับคนก็จับคน แทบจะเป็นช่วงเวลาชั่วพริบตาเดียวก็ยัดเหลียงเยว่หรูเข้าในรถตู้ได้แล้ว
“ไป!”
ด้านในรถ ผู้ชายที่เป็นหัวหน้ารีบร้อนสั่ง
ผู้ชายคนนี้ คือหัวหน้านำทีมที่จางเวยจ้างบอดี้การ์ดมาใหม่ กู่หย่ง!
รถตู้รีบแล่นออกไปอย่างรวดเร็วทันที บนถนนใหญ่ที่เจริญคึกคักเหลือเพียงเพื่อนสาวของเหลียงเยว่หรูที่กรีดร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัวแบบนั้น
……
ในอาคารแห่งหนึ่งที่ย่านชานเมืองเจียงหนัน
เย่เทียนถูกพามาภายในห้องที่เหมือนเป็นห้องสอบสวนแห่งหนึ่งอย่างมีเกียรติอีกครั้ง
สภาพแวดล้อมที่มืดครึ้ม อุปกรณ์ติดตั้งง่ายๆ หยาบๆ บนผนังขาวเขียนอักษรแปดตัวสีแดงสดเอาไว้: เปิดเผยผ่อนปรน ขัดขืนโทษหนัก(คนที่ทำผิดเมื่อสารภาพจะจัดการแบบปรานี แต่ถ้าปฏิเสธขัดขืนจะลงโทษหนัก)
สำหรับเย่เทียนที่เคยเข้าไปในสถานีตำรวจนั้น นี่เดิมทีไม่ใช่รูปแบบของสถานีตำรวจ แต่ทว่ามากกว่านั้นยังให้ความรู้สึกเป็นห้องสอบสวนยุคแปดศูนย์ เหมือนความรู้สึกแบบที่เคยเจอมาในละครเต็มๆ
ดังนั้นเย่เทียนจึงไม่ค่อยแน่ใจว่า ระหว่างทางทำตามข้อเรียกร้องของชายกำยำชุดสูทเหล่านั้นให้สวมผ้าคลุมหัวดำมืดไว้ รอตอนที่เส้นสายตาของเขากลับมาเป็นดังเดิม ตัวเองก็มาอยู่ด้านในห้องนี้แล้ว
แน่นอนว่า ด้วยความสามารถของเย่เทียนสามารถไม่สนใจชายกำยำชุดสูทสามสี่คนนี้ได้ เพียงแค่อยากจะดูหน่อยว่าตัวการเบื้องหลังสรุปแล้วเล่นเล่ห์กลอะไรอยู่ เขาจึงให้ความร่วมมือด้วย
เย่เทียนนั่งลงบนเก้าอี้หาวอยู่อย่างเบื่อหน่ายมาก ตั้งแต่เขาเข้ามาถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงได้ แต่เดิมทีไม่มีใครปรากฏตัวสักคน
เย่เทียนที่คุ้นเคยกับอุบายนี้รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากจะละเลยเขาสักหน่อย จึงไม่ได้รีบร้อนเท่าไร ถือว่าเป็นการนอนพักก็ได้
ตึง!
ระหว่างที่เย่เทียนสะลึมสะลือ ประตูแผ่นเหล็กใหญ่ก็โดนคนผลักออกอย่างแรงจากด้านนอก เกิดเสียงดังสั่นสะเทือนแก้วหูทีหนึ่ง
ผู้ชายสองคนที่สวมชุดเครื่องแบบตำรวจก้าวใหญ่ๆ เดินเข้ามาแล้ว นั่งอยู่ตำแหน่งตรงข้ามของเย่เทียน จ้องเย่เทียนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
สองคนที่เข้ามาถือว่าเป็นคนคุ้นหน้า ล้วนเข้าร่วมการจับกุมเย่เทียนก่อนหน้านี้ด้วย
คนหนึ่งคือพี่ฝางชายกำยำหัวล้าน ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายกำยำผมสกินเฮดที่ล้มจนฟันหน้าหักซี่หนึ่ง
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียว อยู่ที่สองคนนี้ต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่งแล้ว เปลี่ยนจากเสื้อสูทเมื่อสักครู่เป็นชุดตำรวจมีเอกลักษณ์ชุดหนึ่ง รับรองสถานะของตำรวจแล้ว
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดเข้าข้างตนเองของเย่เทียน สำหรับพี่ฝางและเจ้าผมสกินเฮดสองคนนี้ที่เป็นนักแสดงตัวประกอบมาหลายปี นี่ดูปกติเสียยิ่งกว่าอะไรแบบไม่ต้องสงสัย
ป้าบ!
ไม่รู้ว่าถือโอกาสระบายความโกรธแค้นที่ฟันหน้าหักไปหรือเปล่า ชายกำยำผมสกินเฮดตบบนโต๊ะอย่างแรงทีหนึ่ง
แต่เย่เทียนกลับไม่สะทกสะท้านโดยสิ้นเชิง พิงหลังที่เก้าอี้แบบเฉื่อยเนือย มุมปากวาดรอยยิ้มที่แปลกประหลาดขึ้น
เย่เทียนไม่ได้ตกใจ แต่กลับทำเอาพี่ฝางตกใจยกใหญ่ ถลึงตาใส่ชายกำยำผมสกินเฮดอย่างโหดร้ายแล้ว
ล้วนเป็นนักแสดงตัวประกอบที่มีความฝันเต็มอกเหมือนกัน พี่ฝางไม่รู้ชัดได้ที่ไหนว่าเจ้าหมอนี่จงใจทำ เกรงว่าเป้าหมายคงอยากเพิ่มฉากหน้ากล้องสักหน่อยมั้ง!
พิจารณามาถึงตรงนี้ พี่ฝางเปลี่ยนเป็นสีหน้าโหดเหี้ยม ยื่นมือเปิดไฟส่องขนาดเล็กบนโต๊ะอย่างไม่ยอมน้อยหน้า แสงไฟที่สว่างจ้าส่องไปยังเย่เทียน
เพียงแต่ ที่ทำให้เขานึกไม่ถึงคือ เย่เทียนไม่มีพฤติกรรมหลบการจับจ้องโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งรอยยิ้มอันตรายที่มุมปากยิ่งเข้มข้นขึ้น ทำให้ในใจเขาอดเกิดความรู้สึกไม่สบายแบบน่าประหลาดนิดๆ ไม่ได้
แต่ว่า อย่างไรเสียก็รับเงินคนอื่นมา และเพื่อโอกาสการร่วมงานครั้งต่อไป พี่ฝางจึงเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ภายในเรียบร้อย ตะโกนพูดตามบทละคร “ชื่อสกุล?”
“เย่เทียน”
“เพศ?”
“ชาย”
“อายุ?”
สอบถามตามระเบียบ เย่เทียนพยายามให้ความร่วมมืออย่างดี
สำหรับเขานั้น ในเมื่อมาอยู่ที่นี่ก็ควรทำให้ดีที่สุด เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วอยากจะดูว่าตัวการเบื้องหลังอยากเล่นเล่ห์กลอะไรกัน
ในความเป็นจริง ขอเพียงเย่เทียนลุกขึ้นสักหน่อย เกรงว่าชั่วพริบตาเดียวก็สามารถเห็นความจอมปลอมของเรื่องนี้แจ่มแจ้งแล้ว
ไม่มีอะไรอื่น สำหรับพี่ฝางและเจ้าผมสกินเฮดสองคนนี้แล้ว นี่เป็นการแสดงละคร เป็นไปได้อย่างไรที่จะบันทึกไว้จริงล่ะ? แม้กระทั่ง เอกสารที่พวกเขานำเข้ามา ด้านบนเดิมทีเป็นกระดาษเปล่าใบหนึ่ง!
น่าเสียดาย นี่เป็นเพียงเรื่องสมมุติ กั้นด้วยความยาวของโต๊ะ เย่เทียนไม่สามารถมองเอกสารชัดเจน บวกกับการสาดส่องของไฟส่องขนาดเล็ก ละครฉากนี้จึงลิขิตให้ต้องแสดงต่อไป
“รู้รึเปล่าว่าทำไมพวกฉันถึงจับนาย?”
สอบถามตามระเบียบเสร็จสิ้น ชายกำยำผมสกินเฮดที่รับผิดชอบบันทึกถามอย่างเย็นชา
“ไม่รู้”
เย่เทียนส่ายหน้า ลูกตาที่เลือนรางค่อยๆ ฟื้นกลับสู่ปกติ รอนานขนาดนี้ถือว่าเข้าสู่ประเด็นหลักสักที
ชายกำยำผมสกินเฮดหัวเราะเยาะ “งั้นฉันจะบอกกับนายดีๆ ว่าทำไมต้องจับนายมา!”
เขาลุกขึ้นยืน พลิกเปิดแฟ้มเอกสารเผยหนังสือยอมรับความผิดที่พิมพ์ออกมาเรียบร้อยตั้งแต่แรก อ่านขึ้นมาทีละประโยค
“ตอนนี้พวกเราทางตำรวจฟ้องนายข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกาย ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม แถมยังเหยียดหยาม ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก!”
“โทษฐานพวกนี้รวมกันขึ้นมา พอจะทำให้นายไปอยู่ด้านในคุกหลายปีเลยล่ะ!”
ระหว่างที่พูด ชายกำยำผมสกินเฮดเดินเข้าไป นำหนังสือยอมรับความผิดวางตรงหน้าเย่เทียน
“ถ้ารู้จักเอาตัวรอด ก็รีบเซ็นชื่อเร็วๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพวกฉัน นายจะได้เจ็บตัวน้อยลงด้วย!”
เย่เทียนไม่มองหนังสือยอมรับความผิดสักนิด หัวเราะเยาะเย้ยบอกว่า “พวกนายนี่อธิบายชัดเจนแล้วว่ากำลังจงใจยัดข้อหา ฉันไม่อาจเซ็นได้หรอก!”
“โดยเฉพาะ พวกนายทำแบบนี้ ละอายใจต่อมโนธรรมของพวกนาย ละอายใจต่อชุดตำรวจบนตัวพวกนายนั้นกันไหม?”
“มโนธรรม?”
ชายกำยำผมสกินเฮดหัวเราะเยาะขึ้น “มุกตลกนั้นราคาเท่าไร? ฉันซื้อยี่สิบ!”
ในขณะเดียวกัน พี่ฝางลุกขึ้นออกจากเก้าอี้แล้ว ในมือกุมกระบองยางด้ามหนึ่ง เดินเข้าไปยังเย่เทียนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
“ไอ้หนุ่ม อย่าโทษฉันไม่ให้โอกาสนายนะ ฉันถามนายอีกครั้งหนึ่ง เซ็น หรือว่าไม่เซ็น?”
“คิดว่านายคงไม่ใช่คนโง่มั้ง?”
เย่เทียนเบ้ปาก เห็นการข่มขู่ของพี่ฝางอยู่ในสายตาที่ไหน พูดจาเย้ยหยัน “ไม่ได้ยินที่เมื่อกี้ฉันบอกว่าไม่เซ็นแล้วเหรอ?”
พี่ฝางสีหน้าอึมครึม พูดจาหนาวเหน็บ “ไอ้หนุ่ม ถือว่าแกกล้าจริงๆ เพียงแค่……”
“ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว กล้าหาญไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดี! ฉันจะดูว่าแกจะปากแข็งไปได้ถึงเมื่อไรกัน!”
ระหว่างที่พูด พี่ฝางแกว่งกระบองยางในมือไปกลางอากาศสองสามที มีความหมายข่มขู่แบบไม่ต้องพูดออกมา
“ว่ายังไง? พวกนายยังคิดจะใช้การทรมานมาบีบให้สารภาพจนได้?”
รอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากเย่เทียนยิ่งเข้มข้นขึ้นมา
“แกจะทำอะไรฉันได้?”
พี่ฝางหัวเราะเยาะเย้ย ยกกระบองยางในมือสูงขึ้น…..