หลิ่วเอ๋อร์พาผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งเดินทางทั้งคืนออกจากเขาจางชิงซาน รอจนแสงอรุณวันรุ่งขึ้นมาเยือนก็คึกคักครึกครื้นกลับมาแล้ว
รถม้าคันแล้วคันรียงแถวอยู่หน้าหมู่บ้าน พนักงานสิบกว่าคนเปิดผ้าน้ำมันที่คลุมอยู่ด้านบน
คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงเอะอะก็จับกลุ่มสองคนสามคนเข้ามา พวกผู้ใหญ่ยังดียืนอยู่ที่ไกลไปหน่อย มองดูอย่างสงสัยใคร่รู้ ส่วนพวกเด็กๆ อดไม่ไหวอยู่บ้างเดินเข้ามาใกล้ขึ้นหน่อย
“มา มา” หลิ่วเอ๋อร์กระโดดลงมาจากบนรถ ท่าทางภาคภูมิใจนิดๆ ชูถุงกระดาษขนาดใหญ่สองใบ “กินผลไม้เชื่อม”
เด็กๆ มองเห็นนางยื่นมือออกมาก็ตกใจกลัวถอยหลังกันหมด
“ผลไม้เชื่อมไง ของมีชื่อที่สุดของเมืองชิ่งหยวน” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย หยิบผลไม้เชื่อมในถุงกระดาษออกมาโยนเข้าปาก แล้วเบะปากอีกครั้ง “แน่นอน คุณภาพสินค้านี่สู้ของเมืองหลวงไม่ได้”
เด็กๆ อย่างไรก็เป็นเด็ก มองเห็นผลไม้เชื่อมก็อดไม่ได้กลืนน้ำลาย
“ข้าเคยเห็น ข้าเคยเห็นตอนเข้าเมืองกับท่านอารอง” เด็กคนหนึ่งเอ่ย เอานิ้วเข้าปากดูด
แค่เคยเห็นแต่ไม่เคยกิน
ข้าวยังกินไม่อิ่ม ไหนเลยกินขนมได้
ได้ยินว่าผลไม้เชื่อมหวานนัก หวานยิ่งกว่ารากหญ้าหวานที่ขุดออกมาจากใต้ดิน
หลิ่วเอ๋อร์ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่บ้างเดินเข้ามาใกล้พวกเขา ส่งถุงกระดาษที่ยังไม่เปิดอีกใบหนึ่งมาให้
“เอ้า กินสิ” นางว่า
เหมือนเสียการควบคุม เด็กที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดยื่นมือมารับไป จนกระทั่งรับถุงกระดาษไป เขาก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่
ข้าทำไมรับมาแล้วเล่า?
หลิ่วเอ๋อร์หยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมายัดเข้าปากเขาแล้ว
“กินสิ” นางหัวเราะคิกคักเอ่ย
มีคนแรกได้ผลไม้เชื่อมเข้าปาก เด็กคนอื่นก็อดไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเข้ามา
เด็กน้อยตัวเล็กตัวโตคว้าผลไม้เชื่อม นอกจากยัดเข้าปาก ยังชูขึ้นวิ่งไปที่บ้านตนเองอย่างดีอกดีใจ
“ท่านพ่อ ท่านชิมสิ”
“ท่านแม่ ผลไม้เชื่อมล่ะ”
“ท่านปู่ ท่านเคยกินไหม?”
เสียงหัวเราะคุยเล่นของเด็กๆ คำปฏิเสธอย่างสำรวมของผู้ใหญ่ทั้งหลาย ทำให้ปากทางเข้าหมู่บ้านยิ่งครึกครื้น
ผลไม้เชื่อมถุงหนึ่งก็นำความครึกครื้นเช่นนี้มาได้ คุณหนูจวินปวดใจมองอยู่ด้านข้าง
“ผลไม้เชื่อมเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไร” หลิ่วเอ๋อร์ท่าทางอวดๆ เอ่ยต่อแล้วชี้ไปที่รถม้าหลังร่าง “อะไรๆ ข้าก็ซื้อมาแล้ว ข้าว แป้ง น้ำมัน น้ำตาล เกลือ น้ำส้ม เนื้อ ผัก ปลาที่ดีที่สุดของเมืองชิ่งหยวนทั้งหมด นอกจากนี้ยังจองไว้แล้วเรียบร้อย ทุกเจ็ดวัน ปลา ผัก เนื้อสดใหม่จากในเมืองจะส่งมา ร้านขายของชำสิบร้านจะส่งของจิปปาถะมาที่นี่เจ็ดวันครั้ง ของกิน เครื่องดื่ม ของเล่น อยากได้อะไรก็มีอย่างนั้น”
มีผลไม้เชื่อมที่รับไปเมื่อครู่ เด็กๆ ก็ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ใจกล้าล้อมรถม้ามองดูข้าวของข้างบน พวกผู้ใหญ่ก็อดไม่ได้เข้ามาใกล้หลายก้าวชี้มือชี้ไม้เช่นกัน
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?” มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
พวกผู้ใหญ่ถอยหลังทันที พวกเด็กๆ ก็หยุดคุยเล่นหัวเราะด้วย พวกเขาล้วนมองไปด้านหลัง สามีภรรยาสกุลเซี่ยกำลังเดินเข้ามา
“อารองเซี่ย” คุณหนูจวินก้าวเข้าไปเอ่ยขึ้น “ข้าให้คนซื้อข้าวสารอาหารจำนวนหนึ่งมา ท่านลองดูจะแบ่งทุกคนอย่างไร?”
เซี่ยหย่งสีหน้าหนักใจ ส่วนภรรยาของเซี่ยหย่งส่งแววตาซาบซึ้งให้นาง แต่ไม่ได้เอ่ยวาจา
“คุณหนูจวิน ข้าวสารอาหารของท่าน ท่านใช้เองเถอะ” เซี่ยหย่งเอ่ย “พวกเราแบ่งไม่ได้”
ไม่ยอมรับจริงๆด้วย
ได้ยินคำพูดของเขา เด็กๆ ที่เดิมทีในมือยังถือผลไม้เชื่อมอยู่พลันวางผลไม้เชื่อมกลับเข้าไปในถุงกระดาษ เด็กที่ถือถุงกระดาอยู่ก็วิ่งมาข้างกายหลิ่วเอ๋อร์ ยัดถุงกระดาษให้นาง
“เฮ้!” หลิ่วเอ๋อร์ทันเพียงร้องคำหนึ่ง เด็กคนนั้นก็วิ่งออกไปเหมือนกระต่ายแล้ว
ชาวบ้านทั้งหมดล้วนถอยหลังหลบไป เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ
“พวกเจ้าทำอะไรกัน? มีของกินยังไม่เอาอีกเรอะ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จะต้องกินแป้งรำข้าวทอดให้ได้ใช่ไหม?”
ไม่มีคนเอ่ยวาจาและไม่มีคนก้าวเข้ามา สายตาของพวกเขาถึงขั้นไม่มองข้าวของบนรถม้าอีก
“อารองเซี่ย พวกท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าเพียงอยากทำอะไรบางอย่าง และข้าก็พอดีทำได้”
เซี่ยหย่งพยักหน้าจะเอ่ยอะไร น้าเซี่ยก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
“คุณหนูจวิน เจตนาของท่านพวกเราล้วนเข้าใจ” นางเอ่ยอย่างจริงใจ “เพียงแต่เจตนาของพวกเราก็หวังว่าท่านจะเข้าใจด้วย”
ขอบตานางเริ่มแดงเรื่อย มองคุณหนูจวินพลางส่ายศีรษะช้าๆ
“ท่านทำไมทำเช่นนี้ ในใจท่านรู้ชัด ในใจพวกกเราก็รู้ชัด ขออภัยด้วย พวกเรารับไม่ได้”
สิ่งที่รับไม่ได้ไม่ใช่ความหวังดีของนาง แต่ความหวังดีของนางมีเหตุมาจากคนผู้นั้น
นี่ไม่ควรเป็นเหตุผลนี้ แต่นางก็เข้าใจเรื่องราวมากมายก็ไม่ต้องการเหตุผลเช่นนี้
คุณหนูจวินเงียบงัน สามีภรรยาสกุลเซี่ยคำนับให้นางแล้วหมุนตัวจากไป บรรดาคนในหมู่บ้านก็สลายตัวไปอย่างไม่ลังเลทันที ชั่วพริบตาปากทางเข้าหมู่บ้านก็เหลือเพียงพวกเขา
แม้รถม้ากับพนักงานมากมาย แต่ดูไปแล้วยังคงแลดูเงียบเหงาอยู่นิดๆ แล้วก็กระอักกระอ่วนยิ่งนัก
“ไม่รู้จักดีเลวจริงๆ!” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตากระทืบเท้าโกรธฮึดฮัดเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ก็แลบลิ้นหดหัวไม่กล้าพูดแล้ว
“เก็บไว้ก่อนเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยกับเหลยจงเหลียน
เหลยจงเหลียนขานรับ
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเรากินได้ไหมเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามตะกุกตะกัก
คุณหนูจวินมองท่าทางน่าสงสารของหลิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มแล้ว
คนบางคนไม่เคยลำบากแล้วก็ไม่จำเป็นต้องลำบาก นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอันใด ส่วนคนบางพวกไม่อยากลำบากแต่เพื่อความเชื่อก็อดทนลำบากได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอันใด
นางพยักหน้า หลิ่วเอ๋อร์ชูมือร้องดีใจกระโดดโลดเต้น
ราตรีปกคลุมหมู่บ้านภูเขา หมู่บ้านภูเขายามค่ำคืนจมสู่ความมืดมิด น้ำมันสำหรับกินยังไม่พอ น้ำมันโคมไฟยิ่งเป็นของฟุ่มเฟือย ทั้งหมู่บ้านมีเพียงเรือนหลังเดียวที่โคมไฟสว่าง นั่นย่อมเป็นที่พักของคุณหนูจวิน ไม่เพียงในห้องจุดโคม ในลานก็จุดคบไฟ แขวนโคมไฟไว้ด้วย
พวกนี้ล้วนเป็นของที่วันนี้เพิ่งติดไว้ ท่ามกลางความมืดของราตรีประหนึ่งดวงดาราสว่างไสวจับตา นี่ทำให้คนที่ยืนอยู่บนภูเขามองเห็นที่นี่ชัดยิ่งกว่ากลางวัน
“นิวหนิ่ว”
ท่ามกลางราตรีเสียงเรียกเสียงหนึ่งดังขึ้น เงาคนที่ยืนอยู่บนทางภูเขาพลันหมุนตัวมา ขานอืมทีหนึ่ง
ในบ้านด้านนี้ก็ไม่ได้จุดโคม มองเห็นเงาคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้านได้เลือนราง
“ควรนอนได้แล้ว” ผู้หญิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน
เด็กสาวขานอืมอีกครั้ง เดินเข้ามา นางเดินมาถึงหน้าร่างผู้หญิงถึงหยุดเท้า
“เป็นอะไรไป?” ผู้หญิงลูบหัวนางเอ่ยขึ้น
ท่ามกลางความมืด สองตาของเด็กสาวสุกสกาว
“ท่านพ่อจากไปตอนข้าอายุเท่าไรหรือ?” นางพลันเอ่ยถาม
มือของผู้หญิงชะงักเล็กน้อย
“สามขวบ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
เด็กสาวร้องอ้อทีหนึ่ง
“เล็กเกินไปแล้ว สิ่งใดล้วนจำไม่ได้” นางเอ่ยขึ้น
ไม่รู้เลยว่าบุรุษผู้นั้นหน้าตาอย่างไร ยิ่งไร้ความมทรงจำผูกพันระหว่างบิดากับบุตรสาว
“ไม่เป็นอะไร เรื่องที่ลืมเลือนจดจำไม่ได้มากมายไป” ผู้หญิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน โอบหัวไหล่บุตรสาวไว้ “คนต้องมองไปข้างหน้าเสมอ”
เด็กสาวไม่ได้เอ่ยอีกเข้าไปในบ้านกับนาง ประตูปิดลง บนภูเขาก็ตกสู่ความเงียบสนิทด้วย
แสงอรุณค่อยๆ สว่าง คุณหนูจวินที่อยู่บนทางภูเขาหยุดก้าวเท้า นางเงยหน้ามองด้านหน้าแล้วก้มหน้ามองจดหมายที่ถืออยู่
ทำให้ลำบากหรือ
ทำเช่นนี้ทำให้คนเหล่านี้ลำบากจริงๆ แล้ว
คุณหนูจวินนั่งลงบนทางภูเขาทั้งอย่างนั้น มือค้ำคางเหม่อลอย
ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรเล่า?
“ฮ่า!”
เสียงตะโกนไกลๆ ดังมาจากตีนเขา
คุณหนูจวินมองไปโดยไม่ทันรู้ตัว พวกชาวบ้านที่นี่เช้าตรู่ก็ลุกขึ้นมาทำงานแล้ว นั่งอยู่สูงกว่ามองเห็นคนที่เดินอยู่ในท้องนา อยู่บนเนินเขาได้
มีผู้เฒ่ามีสตรีแล้วยังมีเด็กๆ
เสียงตะโกนหยุดลง ตามติดมาด้วยมีเสียงตีเกราะดังขึ้น
ทำไมตีเกราะ? ความคิดของคุณหนูจวินแล่นผ่านไป จากนั้นก็เบิกตาโต ผู้คนที่ทำงานอยู่ในสายตาล้วนเหวี่ยงขยับเครื่องมือเพาะปลูกในมือ
“ฮ่า!”
เสียงที่แก่ชรา ที่อ่อนหวาน ที่วัยละอ่อน สูงๆ ต่ำๆ ใกล้ๆ ไกลๆ ตะโกนดังขึ้นทั่วทุกสารทิศพร้อมกัน
เสียงตีเกราะดังขึ้นอีกครั้ง
ผู้ชายยกจอบขึ้นสูงเหวี่ยงหนักหน่วงออกไป เคียวในมือเด็กน้อยก็ฟันขวางมั่นคง ผู้หญิงก็ยืนท่าขี่ม้าผลักตะกร้าหน้าตัวออก
“ฮ่า!”
เสียงส่งออกมาพร้อมเพรียงอีกหน ทั้งกระจายไปทั่ว ทั้งรวมเข้าด้วยกัน
นี่คือ…ทำงานหรือ?
นี่มัน…ฝึกวรยุทธ์ชัดๆ
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงชาไปทั้งร่าง