คุณหนูจวินมาที่นี่หลายวันแล้ว นางรู้ว่าคนเหล่านี้ทำงานกันขยันขันแข็ง กระทั่งเด็กๆ ก็ไม่เว้น
ทุกวันนางเช้าขึ้นเขา ค่ำลงเขาล้วนได้พบพวกเขา
เพียงแต่นางไม่เคยสังเกตว่าพวกเขาทำงานอย่างไร ที่แท้ก็แบบนี้เอง
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน จดจ่อตั้งใจมองคนเหล่านี้
เสียงเกราะถี่ขึ้นทุกที ผู้คนที่กระจายกันอยู่ก็ยิ่งเคลื่อนไหวเร็วขึ้นๆ บุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยที่ข้างกายมีสหายก็เริ่มสู้กันเร็วช้าตามเสียงเกราะสั้นกระชับ
ภาพนี้คงอยู่นานยิ่ง จนกระทั่งเสียงเกราะหยุดลง การเคลื่อนไหวของทุกคนจึงหยุดลงด้วย พวกเขาขยับมือขยับเท้า กำเครื่องมือเพาะปลูกในมือทำงานต่อ ทุกสิ่งสงบเงียบเหมือนสิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น
“พวกท่านทำเช่นนี้กันตลอดเลยหรือ?” คุณหนูจวินพลันเอ่ยขึ้น
หยางจิ่งที่ยืนอยู่หลังร่างนางอึ้งไปนิดหนึ่งจากนั้นก็เงียบ
พี่ใหญ่ฉลาดทั้งยังเรื่องมาก ศิษย์ที่เขารับย่อมฉลาดเฉลียวอย่างที่สุดเช่นกัน ค้นพบว่าตนอยู่หลังร่างได้ย่อมธรรมดา
“พวกเราเป็นทหารย่อมต้องฝึกฝนไม่อาจหย่อนหยาน” เขาเอ่ย
ตอนนี้ได้ยินเขาบอกว่าเป็นทหาร คุณหนูจวินไม่รู้สึกว่าน่าขำแล้ว
“พวกท่านเป็นทหารที่ใด?” นางหมุนตัวมาเอ่ยถาม “อาจารย์ก็เป็นหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมอยู่ที่นี่? แล้วอาจารย์ทำไม…”
หยางจิ่งหลุบตาลงเอ่ยขัดนาง
“คุณหนูจวิน ข้าไม่รู้จักอาจารย์ของท่าน ข้าไม่รู้เรื่องราวของอาจารย์ท่าน” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินมองเขาแล้วถอนหายใจ
“ท่านอาหยาง ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย” นางว่า “มีเรื่องอะไรทุกคนเปิดอกคุยกันดีๆ ไม่ดีหรือ?”
หยางจิ่งพลันยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้คล้ายจะร้องไห้อยู่บ้าง
“ใช่แล้ว” เขาว่า “มีเรื่องอะไรทุกคนเปิดอก คุยกันดีๆ ไม่ดีหรือ?”
นี่เป็นคำตอบหรือย้อนถาม? พูดตอบนางหรือถามใครบางคน?
คุณหนูจวินมองเขา สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นเจ็บปวดในอกของเขาได้
ตอนนั้นอาจารย์ทำอะไรกันแน่?
หยางจิ่งท่าทางไม่อยากพูดมากแล้ว หมุนตัวจะขึ้นเขา คุณหนูจวินไม่ทันรู้ตัวร้องเรียกเขาไว้
“คุณหนูจวินยังมีอะไรสั่งอีกหรือ?” หยางจิ่งหันกลับมาเอ่ยขึ้น
สั่ง…คุณหนูจวินมองเขาแล้วมองตีนเขาทีหนึ่ง
“ข้าอยากขอให้พวกท่านช่วยเรื่องหนึ่ง” นางพลันเอ่ยขึ้น
หยางจิ่งมองนาง สีหน้าระแวงอยู่บ้าง
“บรรดาผู้คุ้มกันของข้า…” คุณหนูจวินอมยิ้มจากนั้นยื่มมือชี้นิ้วไปยังที่พักของตนเองแล้วมองไปทางหยางจิ่ง “ข้าอยากขอให้พวกท่านฝึกพวกเขา”
ฝึก? หยางจิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง หมายความว่าอย่างไร?
“ไม่ปิดบังท่านอาหยาง ที่ข้ามาถึงที่นี่ได้ จริงๆ เหตุผลที่แท้จริงคือข้าถูกคนไล่ล่าตามจับ” คุณหนูจวินเอ่ย
ไล่ล่าตามจับ?
หยางจิ่งอึ้งไปจากนั้นก็เข้าใจ
“องครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นรึ?” เขาเอ่ยขึ้น
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่ามาด้วยกันชัดๆ อยู่ดีๆ กลับต้องการให้จับไว้
เป็นคนที่ตามจับนางนี่เอง แต่ดูไปแล้วเหมือนพวกผู้คุ้มกันของนางจริงๆ นี่ก็เข้าใจได้ พวกเขาต้องการไล่ล่าตามจับนางย่อมไม่มีทางให้คนอื่นจับนางไป
“พวกท่านจับพวกเขาได้ง่ายดายยิ่งนัก พวกผู้คุ้มกันของข้าฝีมือแย่กว่ามากแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “อนาคตระหว่างทางกลับ ข้ายังต้องเผชิญหน้ากับองครักษ์เสื้อแพรมากกว่านี้ ดังนั้นข้าอยากให้พวกผู้คุ้มกันฝึกฝนกับพวกท่านสักหน่อย”
หยางจิ่งลังเลนิดหนึ่ง
“พวกเราที่จริงก็ไม่เป็นอะไร ฝีมือไม่ได้ดี” เขาเอ่ย
“ใช่ พวกท่านเหล่านี้คนแก่ก็แก่ คนเด็กก็เด็ก เรี่ยวแรงก็ดี ฝีมือก็ดีย่อมสู้พวกผู้คุ้มกันของข้าไม่ได้แน่” คุณหนูจวินเอ่ย “ทว่าไม้ท่อนเดียวไม่สู้ผืนป่า พวกท่านร่วมมือกันขึ้นมากระทั่งองครักษ์เสื้อแพรพวกนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกท่าน”
นั่นก็ใช่ หยางจิ่งยื่นมือลูบเคราสั้นนิดหนึ่ง
“ทหารของข้าย่อมยอดเยี่ยม” เขาเอ่ยอย่างไม่รู้ตัว เหมือนแบบนั้นก่อนหน้านี้
คำพูดออกมาออกจากปาก สีหน้าก็เศร้าสร้อยอยู่บ้างอีกครั้ง
คำพูดประโยคนี้ไม่ได้เอ่ยมาหลายปีแล้ว
“ดังนั้นข้าหวังว่าพวกท่านจะฝึกผู้คุ้มกันของข้าให้กลายเป็นทหารที่ดีด้วย” คุณหนูจวินเอ่ย “ปกป้องข้ากลับไปซานซีอย่างปลอดภัย”
หยางจิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ก็ได้” เขาเอ่ย “คุณหนูจวิน ท่านผู้เป็นใหญ่ใจกว้างให้อภัยพวกเรา พวกเราทำงานบางอย่างให้ท่านก็สมควร”
สิ้นเสียงของเขาก็เห็นเด็กสาวตรงหน้าแย้มรอยยิ้ม
“ไม่สมควร” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนให้พวกท่าน”
ค่าตอบแทน?
หยางจิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง
“ไม่ ไม่ต้อง..” เขารีบเอ่ย
แต่คุณหนูจวินไม่สนใจคำพูดของเขา โบกมือให้เขาแล้วหมุนตัวกระโดดลงไปตามบันได
“ข้าจะไปจัดการ” นางยิ้มเอ่ยทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง
หยางจิ่งร้องเรียกเฮ้เฮ้หลายหน แต่เด็กสาวคนนั้นวิ่งเหมือนลูกกวางไปไกลนานแล้ว
มีคำไหนพูดไม่ถูกต้องงั้นรึ? หยางจิ่งอดไม่ได้ยื่นมือเกาศีรษะ ถูกแม่นางน้อยหลอกแล้วรึเปล่า แต่จะหลอกอะไรเขาได้เล่า?
ถึงตอนกลางวัน หยางจิ่งก็รู้ว่าตนเองถูกหลอกอะไรแล้ว
“บอกว่าเรื่องนี้เจ้าตกลง” เซี่ยหย่งเอ่ยพลางชี้ข้าวสาร เนื้อ ผักที่กองพะเนินเหมือนภูเขาด้านในเรือน
หยางจิ่งสีหน้าตะลึงทั้งยังกระอักกระอ่วน
“ข้าไม่ได้ตกลงนะ” เขาเอ่ย “ข้าแค่ตกลงให้พวกเขาฝึกทหารกับพวกเรา”
เซี่ยหย่งพยักหน้า
“ใช่น่ะสิ ดังนั้นนี่เป็นค่าตอบแทนของการฝึกทหาร” เขาเอ่ย
หยางจิ่งตะลึงแล้วส่ายศีรษะอีกครั้ง
“เด็กคนนี้” เขาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร? คืนกลับไปหรือ?”
“ถามพี่สะใภ้เถอะ” ภรรยาของเซี่ยหย่งพลันเอ่ยขึ้น “คืนกลับไปก็เท่ากับบอกว่าจะไม่ช่วยนางฝึกพวกผู้คุ้มกันแล้ว ก็ไม่น่าดูนะ”
ก็ใช่ หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งสบตากันทีหนึ่ง พยักหน้า
ได้ฟังคำพูดของหยางจิ่งกับเซี่ยหย่ง ผู้หญิงที่กำลังทอผ้าอยู่ก็ยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นที่นางมอบข้าวสาร ผัก เนื้อให้พวกเราเช่นนี้ก็เพราะเรื่องของนาง” นางเอ่ย “เพื่อตัวนางเองไม่ใช่เพื่อ…คนอื่น”
คนอื่นคำนี้เอ่ยออกมา เสียงของนางเข้มขึ้นเล็กน้อย
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งก้มศีรษะเงียบงัน
“ถ้าอย่างนั้นก็รับไว้เถอะ” เสียงของนางเอ่ยขึ้นสบายๆ “ทุกคนเกื้อกูลกัน ล้วนเบิกบานใจ ก็ดี”
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งตื่นเต้นยินดีอยู่บ้างมองนาง
“พี่สะใภ้ใหญ่” พวกเขาร้องเรียกพร้อมกัน
นางมองพวกเขา
“ทำไม? ในสายตาพวกเจ้า ข้าเป็นคนดื้อด้านดีเลวถูกผิดไม่แบ่งแยกประเภทนั้นหรือ?” นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งรีบส่ายศีรษะ
“จะเป็นไปได้อย่างไร พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนดีที่สุดในโลก” พวกเขาเอ่ยพร้อมเพรียง
นางยิ้มแล้ว
“ดีที่สุดหรือ?” นางถอนหายใจแล้วก้มศีรษะทอผ้าต่อ
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งสบตากันทีหนึ่งต่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง หดหู่อยู่บ้าง พวกเขาไม่เอ่ยวาจาอีกคำนับขอตัว
หลังเที่ยงหมู่บ้านภูเขาครึกครื้นขึ้นมา หลิ่วเอ๋อร์วิ่งจี๋กลับมาจากด้านนอก
“คุณหนู แต่ละคนๆ ดีอกดีใจเหมือนปีใหม่เลย” นางเอ่ยเกินจริง “บางคนเปิดกล่องของว่างกินตรงนั้นเลย”
คุณหนูจวินยิ้มแล้วถอนหายใจ
นานปีปานนี้ พวกเขายากจนเช่นนี้ตลอดหรือ?
“ตอนเช้ายังแสร้งมีคุณธรรมไม่เอา ดูสิตอนนี้ดีใจเพียงไร” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยอีก
“เรียกแสร้งมีคุณธรรมได้อย่างไร” คุณหนูจวินเอ่ยท่าทางไม่พอใจอยู่บ้าง “พวกเขาไม่ต้องการคือไม่ต้องการจริงๆ ตอนนี้ต้องการแล้วก็ดีใจจริงๆ นี่ถึงเป็นคนจริง”
หลิ่วเอ๋อร์แลบลิ้น
“คุณหนู ข้าผิดไปแล้ว” นางเอ่ยขึ้นทันที “เห็นพวกเขาดีใจ ข้าดีใจยิ่ง”
คุณหนูจวินถลึงตาตำหนินางทีหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะแล้ว
“คุณหนู ท่านรีบลองชิมอาหารที่ข้าทำวันนี้สิเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์ยิ้มร่าเอ่ยทันที ถือถ้วยฝาปิดใบหนึ่งมา
มองเห็นนายบ่าวด้านนี้มีความสุข เหลยจงเหลียนก็มุมปากอมยิ้มเดินออกมา คนของสำนักคุ้มภัยสองคนสีหน้าสับสนตามเขามา
“นายท่านเหลย พวกเราจะไปทำไร่ไถนาตามพวกเขาจริงหรือขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงเบา
“นี่มีจริงหลอกอะไร” เหลยจงเหลียนขมวดคิ้วเอ่ย “คุณหนูจวินให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสียแน่นอน”
แน่นอนปานนี้เชียว คนของสำนักคุ้มภัยสองคนสบตากันทีหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เอาเถอะ ผู้อื่นออกเงิน ชีวิตก็ซื้อได้ ไปทำไร่ไถนานับเป็นอะไร
แสงอรุณห้อมล้อม ในหมู่บ้านภูเขา บ้านแต่ละหลังๆ ควันไฟทำอาหารลอยขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีคนเดินออกมาอีก ล้วนรวมตัวอยู่ในบ้านรอคอย เสียงหัวเราะรวมถึงเสียงเอะอะของเด็กๆ ลอยออกมาเป็นระยะ
กลิ่นหอมของอาหารนานาชนิดล่องลอยอยู่ในหมู่บ้าน ทุกบ้านทุกครอบครัวล้วนจุดโคมไฟสว่างไสว แม้ประหยัดน้ำมัน จุดคบไฟเพียงอันหนึ่ง แต่ก็เพียงพอทำให้หมู่บ้านภูเขาเปลี่ยนกลายเป็นระยิบระยับประหนึ่งดวงดารา
ค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วงยิ่งทำให้นเมามาย
ในจวนสกุลลู่ที่เมืองหลวงโคมไฟสว่างไสวดังเช่นปกติ แต่ไม่ดูคึกคักเหมือนวันวานกลับเงียบสงบดุจน้ำนิ่ง วันนี้ในจวนห้อมล้อมด้วยบรรยากาศเคร่งเครียดอยู่บ้าง
หน้าห้องขององค์หญิงจิ่วหลี สาวใช้หญิงรับใช้มากมายยืนอยู่ แต่ละคนๆ สีหน้าวิตกกังวล
นอกประตูเรือนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีที่สวมชุดขนนางอยู่ก็ก้าวยาวๆ มาจากในความมืดของราตรี พวกสาวใช้หญิงรับใช้รีบต้อนรับอย่างวิตก
ลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจพวกนาง เขาก้าวเข้าไปในห้อง ในห้องก็มีสาวใช้หญิงรับใช้มากมายยืนอยู่รวมถึงหมอหลวงที่กำลังก้มหน้าพูดคุยกันอยู่หลายคน พวกเขามองเห็นลู่อวิ๋นฉีเข้ามาก็รีบร้อนคำนับ
สายตาลู่อวิ๋นฉีมองไปด้านใน กั้นด้วยม่านมุกห้าสี เห็นองค์หญิงจิ่วหลีที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงได้
“องค์หญิงป่วยเป็นอะไร?” เขารั้งสายตากลับ มองไปทางหมอหลวงพลางเอ่ยถามขึ้น