สิ้นเสียงของลู่อวิ๋นฉี องค์หญิงจิ่วหลีด้านในห้องก็ไอพักหนึ่ง สาวใช้หญิงรับใช้ในห้องวุ่นวายสับสนทันที
ลู่อวิ๋นฉีก้าวไวๆ เดินเข้าไป พวกหมอหลวงก็ตามไปด้วย มองดูเหล่าสาวใช้ตบปลอบองค์หญิงจิ่วหลีและยกน้ำป้อนหลายคำ
ใต้แสงโคมสีหน้าองค์หญิงจิ่วหลีอ่อนแรง ทั้งยังไม่ได้แต่งหน้าจึงดูไปแล้วซีดเซียวอยู่บ้าง นางดื่มน้ำหลายคำหยุดอาการไอไว้แล้วก็นอนลงอีกครั้ง
“ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม เขาไม่ได้เข้าใกล้แต่ยืนอยู่หน้าเตียงห่างไปหลายก้าว
ความเป็นห่วงเป็นใยเป็นของจริง แต่ท่าทางนี่ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนสามีกลับเคารพนบนอบเหมือนผู้ติดตามเสียมากกว่า
ที่จริงนี่ก็ปกติ อย่างไรภรรยาของเขาก็เป็นองค์หญิง เป็นสามีก็คือเป็นขุนนางด้วย
ในห้องไม่มีคนกล้าสงสัยอะไรกับสิ่งนี้ ถึงขั้นมองยังไม่กล้ามองเพิ่มสักที
องค์หญิงจิ่วหลีโบกมือไม่พูดไม่จา ปากปิดสนิทเหมือนเพื่อไม่ให้อ้าปากทีหนึ่งก็ไออีก
ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยถามอีก เขาหมุนตัวเดินออกไป พวกหมอหลวงจึงรีบติดตาม
พูดถึงอาการป่วยย่อมต้องเลี่ยงคนป่วย
“ไม่มีอะไรหนักหนา เป็นหวัดหนักหน่อยเท่านั้น” หมอหลวงคนหนึ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยปากขึ้นก่อน
คำพูดนี้พูดได้ฉลาด บอกว่าหนักแต่ไม่ร้ายแรง บอกว่าไม่ร้ายแรงแต่หวัดก็ไม่อาจดูแคลนได้
ลู่อวิ๋นฉีใบหน้าไร้อารมณ์
“จะบอกว่าพวกเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะรักษาหายได้หรือไม่รึ?” เขาเอ่ย
คำพูดนี้ทำให้พวกหมอหลวงหน้าถอดสี สีหน้าเคร่งเครียดกังวล
คนอื่นพูดคำนี้ก็ช่างเถิด พวกเขามีคำพูดมากมายตอบได้ แต่เผชิญหน้ากับลู่อวิ๋นฉี … เจียงโหย่วซู่ยังถูกขังอยู่ในคุกไม่รู้เป็นหรือตายเลย
“ใต้เท้าลู่ พวกเรารักษาได้” หมอหลวงคนหนึ่งกัดฟันเอ่ย “เพียงแต่อาการของโรคหวัดนี่ไม่ใช่เวลาสั้นๆ จะหายได้ ตอนนี้เข้าใบไม้ร่วงแล้วกำลังจะหนาว ยิ่งไม่ดีกับโรคหวัด พวกเราต้องค่อยๆ บำรุงองค์หญิงช้าๆ”
ลู่อว่นฉีขานอืมตอบทีหนึ่ง
นี่ก็คือได้แล้วหรือ? พูดง่ายเช่นนี้เชียว? เหล่าหมอหลวงโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปจัดยา” พวกเขาเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีขานอืมตอบอีกครั้ง เหล่าหมอหลวงรีบถอยออกไป
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ในห้องโถงครู่หนึ่งถึงเดินเข้าไปในห้อง องค์หญิงจิ่วหลีเหมือนหลับอยู่บนเตียง บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ก้มศีรษะถอยออกไปแล้ว
“ฝ่าบาทอนุญาตให้ข้าออกจากเมืองหลวงแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลีลืมตา
“เพื่อคุณหนูจวินคนนั้นหรือ?” นางเอ่ยถาม เพราะห้ามอาการไอเสียงจึงยิ่งฟังดูอ่อนแอ
“นางอยู่ที่แดนเหนือเล่นสนุกเกินไปแล้ว ที่นั่นไม่ใช่เมืองหลวง ไม่ปลอดถัย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีหลุดหัวเราะ การหัวเราะครั้งนี้ทำให้ไอพักหนึ่งทันที นางรีบยื่นมือปิดปากไว้
ลู่อวิ๋นฉีส่งน้ำมาให้ มือยาวยื่นมาแต่คนไม่ได้เข้าใกล้
องค์หญิงจิ่วหลีส่ายศีรษะส่งสัญญาณว่าไม่ต้อง
ลู่อวิ๋นฉีจึงวางถ้วยน้ำแล้วทิ้งมือลง
“ใต้เท้าลู่ สำหรับนางแล้ว เมืองหลวงถึงไม่ปลอดภัยกระมัง” องค์หญิงจิ่วหลีอมยิ้มเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจา
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้าล้มป่วย ท่านไปได้หรือ?” องค์หญิงจิ่วพลันเอ่ยขึ้น
เสียงของนางเดิมทีก็อ่อนโยน เวลานี้กำลังป่วยหนักอีก ใต้แสงโคมหลุบตาลง เสียงอ่อนแรง ประหนึ่งดอกสาลี่เปียกฝนชวนให้คนสงสาร
หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่นอกห้องกั้นด้วยม่านลูกปัดมองสภาพขององค์หญิงจิ่วหลีไม่ชัด แต่ได้ยินเพียงเสียงก็อดไม่ได้ใจสั่น
นี่ถูกต้องแล้ว องค์หญิงเป็นสตรี ลู่อวิ๋นฉีเป็นบุรุษ สตรีก็ควรบอบบางอ่อนแอ ออดอ้อนงอแงกับบุรุษเช่นนี้
นอกจากนี้บุรุษคนนี้กำลังจะออกจากบ้านเพื่อผู้หญิงคนอื่น ต่อให้เป็นองค์หญิงก็ไม่ยินดีให้บุรุษของตนถูกผู้หญิงคนอื่นแย่งชิงไปกระมัง
คำพูดเช่นนี้ควรพูดตั้งนานแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีเงียบไม่ส่งเสียง
หญิงรับใช้อดไม่ได้กลั้นลมหายใจ ก่อนที่จะกลั้นใจจนเกือบตาย ในที่สุดก็ได้ยินลู่อวิ๋นฉีเปิดปากแล้ว
“ได้”
เสียงทุ้มนุ่มนิ่งเรียบของเขาทำให้คนใจสงบยิ่ง
หญิงรับใช้อดไม่ได้หัวใจเต็มไปด้วยความยินดี มองลู่อวิ๋นฉีนั่งลงตรงหน้าเตียงขององค์หญิงจิ่วหลี รีบร้อนพาพวกสาวใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกถอยออกไปและไม่ลืมปิดประตูตามด้วย
ในห้องซึ่งแสงโคมสว่างไสวกลายเป็นเงียบสงบและกลมเกลียว
ได้ยินคำตอบของลู่อวิ๋นฉี องค์หญิงจิ่วหลีก็ยิ้มให้เขา
“ขอบคุณ” นางเอ่ย
“ไม่ต้องขอบคุณ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “เหมือนกันทั้งนั้น ล้วนเพื่อนาง”
นางที่ว่านี้ จิ่วหลีรู้ว่าที่พูดถึงคือใคร
เพื่อนาง เขาถึงตอแยคุณหนูจวินไม่เลิกรา ถึงขั้นจะเสี่ยงอันตรายออกจากเมืองหลวง
แต่ก็เพื่อนาง ได้ยินว่าตนล้มป่วย เขาถึงรั้งอยู่
องค์หญิงจิ่วหลีหัวเราะแล้ว
“ขอบคุณ” นางเอ่ยอีกครั้ง เทียบกับคำขอบคุณครั้งแรก ครั้งนี้จริงใจทั้งยังเศร้าสร้อยยิ่งกว่าอยู่หลายส่วน
ความเศร้าสร้อยนี่ย่อมไม่ใช่พราะสามีของตนเองจะไปก็ดี จะอยู่ก็ดีล้วนไม่ใช่เพราะตนเอง
คิดถึงนางผู้นั้น ทั้งสองคนล้วนเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“ตอนนั้นเป็นนางไหว้วานท่านให้ดูแลพวกเราหรือ?” องค์หญิงจิ่วหลีพลันเอ่ย “ลำบากท่านแล้ว”
พวกนางพี่น้องสามคนเป็นตัวตนที่กระอักกระอ่วน หากป่วยตายได้หรือเกิดอุบัติเหตุอย่างอื่นคงทำให้คนมากมายสมใจจริงๆ
และความปรารถนาของฮ่องเต้ย่อมเป็นความปรารถนาของคนมากมาย พวกเขายินยอมสละทุกสิ่งไม่เสียดายเพื่อบรรลุความปรารถนาในใจนี้
โชคดีที่ลู่อวิ๋นฉีรับดูแลเรื่องทุกอย่างของพวกนาง วังไหวอ๋องกับจวนสกุลลู่ที่ปิดกั้นและตัดขาดจากโลก เป็นคุกแล้วก็เป็นปราการป้องกันด้วย
มีเขาอยู่ ไม่มีใครเล่นตุกติกเล็กน้อยได้
แต่นี่สำหรับเขาแล้ว ต้องทำให้สมเหตุสมผลไม่จุดโทสะฮ่องแต้และไม่ชักนำความสงสัยของฮ่องเต้ ไม่ง่ายนักเช่นกัน
เพราะฉะนั้นตอนนี้นางป่วยแล้ว คนป่วยเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้นานาชนิด ลู่อวิ๋นฉีไม่มีทางจากไปเด็ดขาด เขาต้องเฝ้าด้วยตนเองถึงกำจัดเรื่องไม่คาดฝันทั้งหมดได้
ได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าของลู่อวิ๋นฉีใต้แสงโคมก็ฉายแววเศร้าสลดจางๆ
“ไม่ นางไม่เคย” เขาเอ่ยนิ่งเรียบ
องค์หญิงจิ่วหลีเงยหน้ามองเขา
ไม่เคย? จิ่วหลิงไม่เคยเอ่ยคำพูดทำนองนี้?
แต่นิสัยของจิ่วหลิงแข็งกร้าวทั้งยังหยิ่งทะนง คำพูดเช่นนี้ไม่พูดก็ปกติ
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งต้องขอบคุณใต้เท้าลู่แล้ว” นางเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“องค์หญิงไม่ต้องขอบคุณข้า” เขาเอ่ย “เพียงแต่ครั้งหน้าไม่ต้องทำเรื่องเช่นนี้อีกก็พอ”
องค์หญิงจิ่วหลีอึ้งไปเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่เข้าใจคำพูดของเขาอยู่บ้าง
ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน
“ท่านก็เคยพูดว่านางไม่ใช่นาง” เขาเอ่ย สีหน้านิ่งสนิทมององค์หญิงจิ่วหลี “เพื่อนาง ท่านทรยศความปรารถนาของนาง ทำร้ายตัวท่านเองเพื่อนางได้อย่างไร นางจะดีใจหรือ?”
นาง นาง นางติดกันเป็นพรวนนี่ คนทั่วไปฟังต้องุนงงแน่ ทว่าองค์หญิงจิ่วหลีตะลึงไปนิดหนึ่งก็ยิ้มแล้ว
“ใต้เท้าพูดได้ดีจริงๆ” นางเอ่ย คล้ายฟังไม่เข้าใจความหมายของเขา เพียงแค่ตอบคล้อยตาม
“ข้าพูดได้ไม่ดี” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “แต่ข้ารับประกันได้ กู้ชิงไปถึงคุกต้องพูดได้ดีมากแน่”
องค์หญิงจิ่วหลีหน้าถอดสี ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“ท่าน…” นางเอ่ยแล้วยิ้มขมขื่นนั่งลงไปอีกครั้ง “นั่นสินะ ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเรื่องนี้ปิดบังท่านไม่ได้”
นางมองลู่อวิ๋นฉีสีหน้าจริงจัง
“เป็นข้าเองลอบส่งสารให้เขาหายาที่ทำให้ป่วยได้มาให้ข้า”
พูดจบ ขณะที่นั่งอยู่บนเตียงก็ก้มศีรษะคำนับอย่างสง่างามให้ลู่อวิ๋นฉี
“ขออภัย เป็นข้าบีบบังคับหัวใจดีงามเจตนาดีของท่าน ในเวลาเดียวกันก็บีบบังคับบัณฑิตกู้ด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทดังเดิม
“องค์หญิงรักษาตัวดีๆ เถิด” เขาเอ่ย คล้ายเมื่อครู่สิ่งใดก็ไม่ได้พูดจากนั้นก็หมุนตัวก้าวเท้า
“ใต้เท้าลู่” องค์หญิงจิ่วหลีร้องเรียก
ลู่อวิ๋นฉีหยุดเท้าแต่ไม่ได้หันกลับไป
“องค์หญิงโปรดวางใจ ท่านไม่ได้แกล้งป่วยแต่ป่วยจริงๆ แล้ว ข้าจะไม่ออกจากเมืองหลวง” เขาเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีมองเงาแผ่นหลังของเขา
“ท่านบอกข้าได้หรือไม่ นางตายอย่างไร” นางเอ่ย “ทำไมนางถึงตาย”
เงาแผ่นหลังของลู่อวิ๋นฉีชะงักนิ่ง มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำแน่น