89 สูญเสียศาลาพระคัมภีร์ตลอดไป

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 89 สูญเสียศาลาพระคัมภีร์ตลอดไป

 

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอธิบายความสำคัญของหมอกจากภูเขาด้านหลังให้ฟังทีละประเด็น เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างก็ตกใจ

 

พวกเขาเพียงตั้งคำถามกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไปโดยสัญชาตญาณ แต่หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ดู เหมือนว่าคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีเหตุผลอยู่มากทีเดียว

 

ด้วยหมอกจากภูเขาด้านหลัง ตราบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น วัดเส้าหลินมีแนวโน้มที่จะให้กำเนิดยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขึ้นมาแปดถึงสิบคน

 

“รีบคัดศิษย์ให้มาดูดซับไอหมอกซะ”

 

“มิเช่นนั้นหมอกของวันนี้จะกระจายหายไป…”

 

หัวหน้าลานธรรมชำเลืองมองคนอื่นที่ยังอยู่ในอาการตกใจแล้วรีบพูดขึ้น

 

ด้วยคำที่กล่าวออก

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นพลันฟื้นคืนสติขึ้นมา

 

ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์ที่ต้องดูดซับหมอกเหล่านี้ พวกเขาที่เป็นหัวหน้าตำหนักก็ต้องใช้หมอกเหล่านี้เช่นกัน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าลานอรหันต์และหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่เดิมนั้นเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สาม แต่ด้วยหมอกพวกนี้พวกเขาสามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับชั้นที่สองได้

 

เมื่อนึกได้แบบนี้ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะกระทำการบางอย่าง

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

หลังจากที่ผ่านไปครึ่งวัน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หมอกพลังฉีม้วนตัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมังกรกำลังแหวกว่าย

 

ฮู่ว!

 

ฮู่ว!

 

ทุกครั้งที่ซูฉินหายใจ มันราวกับสัตว์ยุคโบราณกำลังสูบกินอาหาร เป็นหมอกพลังฉีที่หมุนวนมิรู้จบ ทุกสิ่งถูกดูดกลืนโดยตัวเขา

 

“ค่ายกลนี้ทำงานได้ดีทีเดียว”

 

ตอนนี้ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาดูพอใจมาก

 

ขณะนี้พลังฉีฟ้าดินรอบตัวเขา มีมากกว่าสถานที่อื่นเกือบร้อยเท่า ที่นี่ซูฉินสามารถเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะได้อย่างมาก

 

ควบคู่ไปกับการบริโภคโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำจำนวนมหาศาล ความแข็งแกร่งของซูฉินก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“ทว่า นภาชั้นที่สามนั้นยากที่จะปีนป่าย การจะถึงขอบเขตนภาชั้นที่สี่ยากกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้…”

 

แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการบ่มเพาะเช่นนี้ ซูฉินก็ยังมองไม่เห็นจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สาม ราวกับว่าไม่มีขอบเขตสูงสุดในระดับชั้นนี้

 

“หรือข้ายังอ่อนแอเกินไป หากข้าเป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าละก็ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าคงจะดึงดูดพลังฉีในรัศมีหลายพันหรือไม่ก็หลายหมื่นลี้โดยรอบให้เข้ามาในค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ได้แน่”

 

“จากนั้นพลังฉีฟ้าดินที่มารวมตัวกันจากโดยรอบในรัศมีนับพันนับหมื่นลี้นี้คงจะเทียบได้กับสรวงสวรรค์ของเหล่าเซียนเลยเชียว”

 

ซูฉินถอนหายใจอย่างไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไหร่

 

ค่ายกล‘สวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘นี้แบ่งแยกออกได้หลายระดับ

 

ระดับต่ำที่สุดดึงดูดพลังฟ้าดินครอบคลุมระยะหลายลี้

 

ระดับต่อมาก็ครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยลี้ หลายพันลี้ จนไปถึงหลายหมื่นลี้

 

หากเป็นยอดฝีมือที่เพิ่งเข้าสู่ระดับอรหันต์ที่ไม่รู้การคงอยู่ของ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ อย่างมากสุดเขาก็รวบรวมพลังฟ้าดินโดยรอบมาได้แค่ไม่กี่ลี้เท่านั้น

 

แต่ในขณะนี้ซูฉินไปถึงระดับนภาชั้นที่สามแล้ว และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเหนือกว่าของอรหันต์ในนภาชั้นที่หนึ่งไปมาก ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ จึงมีการจัดวางในระดับที่สูงขึ้นครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้โดยรอบ

 

“น่าเสียดายที่ค่ายกล‘สวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ไม่สามารถสร้างซ้อนทับกันได้ มิฉะนั้นข้าจะสร้างเพิ่มอีกสักสองสามแห่ง”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

“แต่ในตอนนี้มันยังไม่เป็นอะไร”

 

“อย่างน้อยความเร็วในการฝึกฝนของข้าก็เร็วกว่าอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินในสมัยก่อนเสียอีก เกรงว่าแม้แต่ตำนานยุทธคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่ดีเหมือนกับที่ข้ามี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพอใจ

 

ในอดีตจนถึงปัจจุบันคงจะมีตำนานยุทธบางคนที่ก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่คล้ายๆ กับ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ที่สามารถรวบรวมพลังฟ้าดินมาได้ แต่เกรงว่าจะไม่มีใครยินดีบริโภคโอสถล้ำค่าอย่างโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีหยุดแบบนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้นซูฉินยังมีคัมภีร์ชั้นสูงสุดอย่างพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลซึ่งสามารถปรับแต่งพลังฟ้าดินมาบ่มเพาะได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

“ยังต้องฝึกฝนอีกมาก”

 

ซูฉินหลับตาลงอีกครั้งและโคจรพลังตามพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไปทั่วร่างกาย

 

ตกดึก

 

พระจันทร์ลอยเด่นสูงบนฟากฟ้า

 

ซูฉินหยุดการบ่มเพาะเอาไว้

 

“ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้แล้ว”

 

เมื่อซูฉินคิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและมาอยู่ที่ด้านหน้าศาลาพระคัมภีร์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ภายในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘]

 

[คำเตือน ต่อแต่นี้‘เต๋าสะสม‘ในพื้นที่นี้ได้หมดลงและจะกลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้อีกต่อไป]

 

เสียงจักรกลเย็นยะเยือกดังขึ้นติดต่อกันถึงสองครั้งด้านในหูของซูฉิน

 

“เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร?”

 

“ไม่ให้ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำอีกแล้ว?”

 

ซูฉินมองไปที่ศาลาพระคัมภีร์โดยมีความคิดอันซับซ้อนอยู่ลึกๆ ภายในใจ

 

เป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้วที่ซูฉินมาอยู่ในวัดเส้าหลิน ไม่รู้ว่าตัวเขาเองลงชื่อเข้าใช้ศาลาพระคัมภีร์ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

 

แต่ตอนนี้ศาลาพระคัมภีร์ที่อยู่ร่วมกับซูฉินมาหลายปีในที่สุดก็‘ไม่เหลือแม้แต่รากให้ดึงมาใช้อีก‘ ในเมื่อเต๋าสะสมในที่แห่งนี้หมดไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป

 

แม้ว่าในช่วงแรกๆ ที่ระบบเตือนเรื่องเต๋าสะสมในหอคอยสะกดมารกำลังจะหมดไป ซูฉินจะได้รับรู้แล้วว่าแม้แต่โบราณสถานที่สืบทอดกันมาหลายพันปีก็ไม่ได้มีเต๋าสะสมเอาไว้จนถึงขนาดไม่หมดไม่สิ้น

 

พอวันนี้มาถึงจริงๆ ซูฉินก็ยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

“ศาลาพระคัมภีร์หมดสภาพลงแล้ว และลานโพธิ์คงจะตามไปในเร็วๆ นี้”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจตนเอง

 

แม้ว่าลานโพธิ์จะเป็นสถานที่สำคัญของวัดเส้าหลิน แต่ในแง่ของเต๋าสะสมที่มีอยู่ก็คงไม่ได้มากไปกว่าศาลาพระคัมภีร์

 

นอกจากนี้ซูฉินคงลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลาพระคัมภีร์ไม่ได้อีกต่อไป ในอนาคตเกรงว่าสิทธิ์ในการลงชื่อทั้งหมดคงไปตกอยู่ที่ลานโพธิ์…

 

ไม่ว่าเต๋าสะสมจะมีมากแค่ไหน ยังไงซูฉินก็ต้องมาลงชื่อที่ลานโพธิ์วันละครั้งอยู่ดี ไม่มีอะไรมากั้นขวางเขาได้…

 

“เมื่อไรก็ตามที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ในลานโพธิ์ คงถึงเวลาต้องจากไป”

 

ความคิดของซูฉินผกผันไปมา

 

แม้ว่าเขาจะอยู่ในวัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกฝืนใจที่จะต้องจากไป

 

เหตุผลหลักก็คือซูฉินคิดว่าตนทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างไว้มากเพียงพอต่อวัดเส้าหลินแล้ว

 

ไม่เพียงแต่ช่วยเฉียนขู่ในการซ่อมแซมดวงใจพุทธะ แต่ยังให้คำชี้แนะอยู่บ่อยครั้ง เป็นการช่วยเหลือทางอ้อมในการสร้างยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ให้กับวัดเส้าหลินในอนาคต

 

นอกจากนี้ซูฉินยังทิ้งค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก่อตั้งไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ค่ายกลขนาดใหญ่ชนิดนี้สามารถรวบรวมพลังฟ้าดินมาได้ แม้จะไม่ได้รับการดูแลจากซูฉินก็สามารถคงสภาพที่ดีที่สุดไว้ได้ถึงยี่สิบปี แล้วจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงหลังจากผ่านยี่สิบปีนี้ไป แต่ก็ยังคงใช้งานได้อยู่จนกระทั่งร้อยปีให้หลัง

 

นี่ยังไม่นับความพยายามหลายต่อหลายครั้งของซูฉินในการช่วยวัดเส้าหลินจากภัยอันตรายอันใหญ่หลวงทั้งหลาย

 

สิ่งรบกวนใจได้รับการสะสาง

 

เท่านี้ก็มีเหตุผลมากพอให้จากไปได้แล้ว

 

ในขณะเดียวกันซูฉินก็เริ่มคิดถึงเรื่องสิ่งที่เพิ่งได้รับมา ทันใดนั้น ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘ ก็ไหลบ่าเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

หลังจากนั้นไม่นานซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมารเป็นวิชาจู่โจมที่วิเศษอย่างแท้จริง สามารถควบแน่นแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นลูกประคำยี่สิบสี่เม็ดเพื่อใช้ในการปราบเหล่าปีศาจและมารร้ายได้

 

ราวหนึ่งพันปีก่อน อรหันต์บางรูปจากวัดเส้าหลินได้สังหารตำนานยุทธพรรคมารด้วยเคล็ดวิชาอันนี้

 

แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่า ตำนานยุทธมักไม่ค่อยจะปรากฏให้เห็นแม้จะผ่านไปหลายชั่วอายุคน แต่ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์เองหรือตำนานยุทธก็ดี ทั้งคู่ต่างมีอายุขัยกว่าห้าร้อยปีซึ่งนานเกินกว่ายุคสมัยหนึ่งเสียอีก

 

ดังนั้นหากโชคดีพอ มักจะได้เห็นการคงอยู่ของผู้ฝึกยุทธในระดับตำนานยุทธหลายคนอยู่ร่วมในยุคเดียวกัน

 

แน่นอนว่าหากโชคไม่ดี อาจจะไม่ได้เห็นการกำเนิดเกิดขึ้นของตำนานยุทธคนไหนเลยในสักอาณาจักร

 

“จงควบแน่น!”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นและควบแน่นพลังไปเป็นลูกปัดตามเคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร

 

เม็ดลูกปัดเหล่านี้เคลื่อนที่ไปรอบๆ เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่สั่นสะเทือนออกมาเบาๆ

 

“ได้เวลากลับแล้วหละ”

 

ซูฉินพอใจยิ่งขึ้นไปอีก

 

ในแง่พลังของเคล็ดวิชาอาจจะนับอยู่ในสองร้อยอันดับแรกของเคล็ดวิชาที่ซูฉินได้รับมาในช่วงหลายปีมานี้

 

เรียกได้ว่าหายากทีเดียว