90 นักพรตลงจากเขา

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 90 นักพรตลงจากเขา

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินก็กลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

แม้เคล็ดวิชาชั้นสูงอย่างเคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมารจะเป็นวิชาที่ดีที่ใช้ในการโจมตีเหล่ามารร้าย แต่ซูฉินก็ไม่ได้ใช้เวลาไปกับมันมากนัก

 

ท้ายที่สุดแล้วซูฉินก็รู้ดี ไม่ว่าจะเคล็ดวิชาไหนๆ มันย่อมขึ้นอยู่กับการบ่มเพาะของตัวเขาเองด้วย

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ซูฉินกลับสู่คืนวันอันสงบสุขและแสนยาวนานอีกครั้ง

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนบ่มเพาะ สัมผัสพลังฟ้าดิน ชี้แนะเฉียนขู่เป็นครั้งคราว

 

แน่นอนว่าซูฉินเพียงแต่ชี้ให้เฉียนขู่เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนเลือกเส้นทางในอนาคตให้เฉียนขู่

 

การฝึกฝนวิทยายุทธโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทุกคนล้วนต้องมีเส้นทางเป็นของตัวเองเพื่อแปรสภาพตนจึงจะบรรลุจนถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้

 

เฉียนขู่มีดวงใจพุทธะและเป็นคนที่เฉลียวฉลาดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แม้จะถูกสอนสั่งโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็จะไม่ส่งผลกระทบใดต่อเขา

 

แต่กับซูฉินนั้นต่างออกไป

 

ในฐานะอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ทุกการกระทำย่อมส่งผลถึงเฉียนขู่อย่างไม่อาจลบออกไปได้

 

อิทธิพลที่มีผลกระทบต่อเฉียนขู่นี้อาจจะดีต่อเฉียนขู่ หรืออาจจะไม่ดีก็ได้ ไม่มีใครรู้

 

ดังนั้นซูฉินจึงต้องปล่อยมันไปและชี้แนะเฉียนขู่เพียงไม่กี่คำยามเมื่อมีข้อสงสัย

 

ปล่อยให้ผู้อื่นได้พัฒนาด้วยตนเอง

 

จากนั้นซูฉินก็จมดิ่งสู่การฝึกฝนอีกครั้ง

 

ศิษย์หลายคนในวัดเส้าหลินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน

 

ที่ภูเขาด้านหลังมีหมอกควันปล่อยออกมาและศิษย์ทุกคนที่แก่พรรษาเกินกว่าสิบปีขึ้นไปสามารถไปฝึกฝนใกล้กับภูเขาด้านหลังได้

 

ด้วยสายธารแห่งหมอก แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่ยังไม่สามารถสัมผัสพลังฟ้าดินได้ ทั้งขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลางก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่างกายที่ได้รับการดูแลอย่างดีและค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

 

วันหนึ่ง

 

ภิกษุลาดตระเวนอย่างเจินชื่อเพิ่งกลับมาจากการฝึกฝนบริเวณใกล้ๆ ภูเขาด้านหลัง เขาก็พบศิษย์คนอื่นๆ กำลังกระซิบกระซาบบางอย่าง

 

“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่?”

 

เจินชื่อเดินเข้าไปถามอย่างสบายๆ

 

ในขณะนี้เจินชื่อยังคงประหลาดใจอยู่หน่อยๆ กับผลของหมอกจากภูเขาด้านหลัง

 

ในฐานะศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เจินชื่ออยู่ในวัดมาหลายสิบปีดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝนใกล้กับพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ตอนแรกเจินชื่อก็ไม่ได้จริงจังอะไร ใครจะไปคิดเล่าว่าหมอกนี้จะทำอะไรได้?

 

แต่ในขณะที่ฝึกฝนก่อนหน้านี้ เจินชื่อรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตน

 

เจินชื่อกระทั่งสัมผัสได้อยู่เล็กน้อยถึงพลังฉีและเส้นเลือดในกายกลับมาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง

 

มันน่าเหลือเชื่อแค่ไหนกัน?

 

ต้องรู้ว่าเลือดเนื้อของผู้ฝึกยุทธจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด จากนั้นจึงเริ่มเสื่อมถอยลง

 

บางทีอาจเป็นเพราะฝึกฝนวิทยายุทธ จุดสูงสุดอันนั้นจึงยืดยาวออกไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตามหากไม่มีการพัฒนาครั้งใหญ่อีก การสลายตัวของพลังฉีและเลือดเนื้อของผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่แข็งแรงที่สุดในชีวิตได้

 

เดิมทีเจินชื่อนั้นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พลังฉีและเลือดเนื้อของเขาเริ่มเสื่อมถอยลงแล้ว

 

หากไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ความแข็งแกร่งในอนาคตของเขาคงจะไม่ดีไปกว่านี้ และความสำเร็จในชีวิตคงจะถูกหยุดไว้เพียงเท่านี้

 

แต่ตอนนี้เจินชื่อรู้สึกว่าพลังฉีและเลือดเนื้อในกายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

“หมอกนั่น…”

 

ภาพหมอกที่อวลไปทั่วฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจของเจินชื่อ

 

และระหว่างที่เจินชื่อกำลังใช้ความคิดไตร่ตรองอยู่นั้น

 

เหล่าศิษย์ที่พูดคุยกันอยู่ใกล้ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองเจินชื่อและกล่าวว่า

 

“ศิษย์พี่เจินชื่อเรากำลังคุยกันเรื่องผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่พำนักอยู่ภูเขาด้านหลัง…”

 

ศิษย์คนหนึ่งมองไปรอบข้างและพูดด้วยอาการหวาดกลัว

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ?”

 

เจินชื่อขมวดคิ้วและมองไปที่ศิษย์เหล่านี้ “นี่เรื่องของท่านผู้ทรงสมณศักดิ์เป็นเรื่องที่เจ้าสามารถนำมาพูดคุยเล่นๆ ได้ตามใจชอบเช่นนั้นหรือ?”

 

“ศิษย์พี่เจินชื่อ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความไม่เคารพต่อผู้ทรงสมณศักดิ์อย่างแน่นอน”

 

“พวกเราแค่อยากรู้ว่าพระอาจารย์ท่านเป็นคนแบบไหน…”

 

ศิษย์ที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่รีบตอบทันทีเพราะกลัวว่าเจินชื่อจะคิดว่าเขาไม่เคารพต่อผู้ทรงสมณศักดิ์

 

“ศิษย์พี่อย่างข้ายังไม่กล้าคิดเลย”

 

เจินชื่อเหลือบมองไปที่ศิษย์เหล่านั้นแล้วจึงส่ายหัว “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปคิดหรอกว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ เป็นคนแบบไหน เจ้าเพียงต้องจำเอาไว้ว่าความสูงส่งของท่านอยู่เหนือความเข้าใจของพวกเรา…”

 

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

บนภูเขาหวู่ตั้ง

 

สาวกเขาหวู่ตั้งมากมายหลายคนมารวมตัวกันที่ด้านหน้าห้องโถงอันเก่าแก่

 

สาวกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่เดินทางท่องยุทธภพกันมาแล้วทั้งสิ้น ไปมาทั่วไม่ว่าที่แห่งนั้นจะห่างไกลจากเขาหวู่ตั้งเป็นพันลี้ก็ตาม

 

แต่ในขณะนี้เหล่าสาวกทั้งหมดมายืนกันอยู่ที่นี่ราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง

 

“ท่านอาจารย์จะออกมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

สาวกเขาหวู่ตั้งคนหนึ่งตัวสั่นเนื้อเต้นยามเมื่อมองไปห้องโถงอันเก่าแก่จากระยะไกล แล้วจึงกระซิบถาม

 

“ก็ถ้าตามที่อาจารย์อาพูดล่ะนะ”

 

จางเซียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอบด้วยเสียงต่ำ

 

“ทำไมท่านอาจารย์ถึงได้ออกมาจากการปิดด่านฝึกตนเล่า?” สาวกเขาหวู่ตั้งอีกคนหันมามองจางเซียวแล้วถามอย่างเคร่งขรึม

 

นักพรตจางสามารถยืนหยัดตำแหน่งอันสูงส่งในยุทธภพมาได้ตั้งหลายสิบปีโดยที่ไม่ย่างกรายออกไปจากเขาหวู่ตั้งเลยแม้แต่น้อย สาวกคนนี้คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมนักพรตจางจึงประกาศว่าจะออกจากด่านฝึกตนในเวลานี้

 

จางเซียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบไปอย่างไม่แน่ใจว่า “ครั้งก่อนที่ข้าลงเขาไปท่องยุทธภพ แต่กลับเจอศัตรูของเขาหวู่ตั้งผู้หนึ่ง ศัตรูผู้นี้เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และมันต้องการจะสังหารข้า”

 

เมื่อจางเซียวพูดเช่นนั้นเขาก็หยุดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “บางทีท่านอาจารย์อาจจะรู้เรื่องนี้ จึงอยากจะออกจากด่านฝึกตนเพื่อไปล้างแค้นให้ข้า?”

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

สาวกจากเขาหวู่ตั้งที่พูดเมื่อครู่ได้แต่ส่ายหัวและกล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตนเพื่อฝ่าฟันสู่หนทางอันยิ่งใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านอาจารย์จะถูกรบกวนจากเรื่องราวธรรมดาๆ เช่นนี้”

 

“หากเจ้าตายไป ท่านอาจารย์อาจจะออกจากด่านฝึกตนเพื่อล้างแค้น แต่นี่เจ้าก็ยังไม่ตาย มันยังมีเวลาให้พักอยู่บ้าง อาจารย์หลายคนก็สั่งให้ข้ารั้งรออยู่ที่นี่ก่อน ค่อยลงไปค้นหาความจริงภายหลัง เพราะฉะนั้นมันเป็นไปได้ที่ท่านอาจารย์จะออกมาจากการปิดด่านฝึกตนด้วยตนเอง”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

สาวกเขาหวู่ตั้งคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่านักพรตจางจะต้องรักษาหน้าของเขาหวู่ตั้งเอาไว้ แต่จางเซียวก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง

 

สถานการณ์เช่นนี้นักพรตจางจะไม่ออกมาเพียงเพราะเรื่องนี้เป็นแน่แท้

 

ยามเมื่อสาวกเขาหวู่ตั้งหลายคนกำลังตั้งตารอคอย

 

แกร็ก

 

ประตูของห้องโถงอันเก่าแก่ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างเงียบๆ

 

ชายที่สวมชุดคลุมในแบบฉบับนักพรตเต๋า เดินโซซัดโซเซออกมาช้าๆ

 

ผิวของเขาใสราวกับหยก กรอบตาคมชัด ไม่สามารถระบุอายุที่แน่ชัดได้ การเคลื่อนไหวของเขาดูระมัดระวังและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

 

นักพรตเต๋าเพิ่งจะเดินออกมา สาวกเขาหวู่ตั้งทั้งหลายต่างก็โค้งคำนับลงพร้อมตะโกนเสียงอันดังลั่น

 

“ขอต้อนรับท่านอาจารย์ออกจากการปิดด่านฝึกตน”

 

“ขอต้อนรับท่านอาจารย์ออกจากการปิดด่านฝึกตน”

 

เสียงอันดังสนั่นกระจายออกไปหลายลี้

 

หลังจากนั้นไม่นานนักพรตจางที่มองไปรอบๆ ก็พูดขึ้นว่า

 

“พวกเจ้าเงยหน้าขึ้นเถอะ”

 

นักพรตจางผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจคับยุทธภพ แต่ในตอนนี้ไม่มีแม้กลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธบนตัวเขาเลย ราวกับว่าเขาเป็นบุคคลธรรมดา

 

“ท่านอาจารย์ ท่านทะลวงผ่านขั้นแล้วหรือ?”

 

สาวกเขาหวู่ตั้งอดไม่ได้ที่จะถามคำถามออกไป

 

เมื่อสาวกคนอื่นได้ยิน ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ต่างจ้องไปที่นักพรตจางกันตาเขม็ง

 

ถ้านักพรตจางสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ เขาหวู่ตั้งจะครองยุทธภพต่อไปอีกสามร้อยปี

 

“ทะลวงผ่านขั้น?”

 

นักพรตจางส่ายหัวยิ้มๆ และพูดขึ้นว่า “เส้นทางสู่ตำนานยุทธนั้นยากเย็นเพียงไร พวกเจ้าก็รู้ แม้ว่าข้าจะปิดด่านฝึกตนเป็นร้อยปีก็ไม่สามารถฝ่าทะลวงมันไปได้”

 

“แล้วเช่นนั้นจุดประสงค์ที่ท่านอาจารย์ออกมาในครั้งนี้คืออะไรกัน?”

 

ศิษย์ที่พูดตั้งแต่แรกกล่าวถามอย่างระมัดระวัง

 

“ลงจากเขา”

 

นักพรตจางเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของวัดเส้าหลิน จากนั้นจึงกล่าวคำแผ่วเบา “ไปแสวงหาสัจธรรม!”