ในห้วงเวลานี้เวลาราวกับหยุดนิ่ง มารปีศาจทั่วท้องฟ้า ร่างพลิ้วบางราวกับดอกไม้ไฟที่พร้อมจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา ภาพเช่นนี้ถึงกับไม่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย อาจเพราะเหนือจินตนาการของทุกคน นั่นไม่ใช่พลังที่ควรมีอยู่ในโลกมนุษย์
บรรดามารปีศาจไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ที่เขาปู้โจวซาน รองเจ้าสำนักขวาเคยกำชับว่า สำนักเส้าหยางมีเด็กผู้หญิงประหลาดนางหนึ่งปล่อยอัคคีสมาธิจิตได้ แม้ว่าเป็นไฟสวรรค์ แต่ก็ไม่แน่ว่าไร้วิธีรับมือ เมื่อก่อนมหาเทพโฮ่วถู่ได้พบกับมังกรเทียน[1] ที่เขาอินซาน ได้รับเกล็ดมังกรมาแผ่นหนึ่ง เกล็ดนั่นกันพลังห้าธาตุได้ มหาเทพโฮ่วถู่มอบเกล็ดมังกรนั้นให้กับราชันสวรรค์ ยามนั้นแดนสวรรค์สู้รบไม่หยุด เกล็ดมังกรแผ่นนั้นสร้างความชอบไม่น้อย อยู่มาวันหนึ่งก็หายสาบสูญไป ราชันสวรรค์ส่งคนออกค้นหาก็ไม่เป็นผล ได้แต่ตัดใจ
เกล็ดมังกรนี้ย่อมถูกคนขโมยไปจากแดนสวรรค์ เพราะได้ยินว่ามันกันพลังห้าธาตุได้ ดังนั้นคนตำหนักหลีเจ๋อเคยคิดนำมันมาทำเกราะ สวมไว้ป้องกันตนเพื่อไปแดนปรภพ แต่ไปๆ มาๆ เกล็ดมังกรยักษ์นั่นสุดท้ายก็ถูกแบ่งเป็นโล่เก้าสิบเก้าโล่ ตอนนี้ก็มาอยู่ในมือมารปีศาจแถวหน้าสุด บังไว้ทั้งตัว
เสวียนจีลากกระบี่ติ้งคุนด้ามยักษ์ขึ้นมา ไฟเทวะเก้าชั้นลุกโชนขยายออกโดยรอบกว้างอีกหลายเท่า มารปีศาจเก้าสิบเก้าที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าปะทะเข้ากับไฟสีฟ้านั่นถึงกับไม่เป็นไร พากันยกโล่สกัดไฟเทวะได้ ในใจเสวียนจีก็แอบตกใจอยู่บ้าง เพ่งมองให้ดีอีกที พวกเขาทุกคนมีโล่ใหญ่กึ่งโปร่งแสงไว้ป้องกันกาย ด้านบนมีลวดลายเหมือนว่าเป็นเมฆ งดงามยิ่ง
นางนึกได้ทันทีว่านั่นคือเกล็ดมังกรเทียนไม่กลัวเทพศาสตราห้าธาตุ เมื่อก่อนเป็นสมบัติของแดนสวรรค์ ตอนนี้กลับนำมาใช้กับนาง นางเม้มปากอย่างไม่ยอมแพ้ ท่าทีเช่นนี้ของนางดูแล้วเหมือนเด็กน้อย นางต้องเผาไอ้โล่พวกนี้ให้แหลกให้ได้!
นางกางสองมือออกราวกับกุมอะไรบางเบาอยู่ วางติ้งคุนลอยอยู่ตรงหน้าอก ไฟเทวะเก้าชั้นค่อยๆ เปล่งรัศมีออกมาครอบบนติ้งคุน เปลวไฟสีฟ้ารวมตัวกันเป็นเสาเพลิงต้นหนึ่ง บนสูงทะลุฟ้า ล่างทะลุพิภพ
พวกที่ไปรวมตัวกันในถ้ำแสงฉานทุกคนยามนี้ชมดูอย่างไม่ยอมถอย เมื่อครู่ศิษย์อายุน้อยคนหนึ่งชมการต่อสู้สนุกสนาน อดเขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าไฟเทวะนั่นร่วงลงมา พริบตาก็เผาเขากลายเป็นเถ้า ทุกคนตกใจจนพูดไม่ออก หลิงหลงร้องเสียงหลง ตะโกนเรียกชื่อเสวียนจีอย่างไม่คิดชีวิต แต่นางไม่ได้ยินแม้แต่น้อย แม้ได้ยิน บางทีก็อาจไม่สนใจ
ว่างเปล่า ทุกอย่างว่างเปล่า ในใจนางไม่มีเสียงอันใดแม้แต่เสียงเดียว ราวกับทุกสิ่งทั้งหมดถูกควักออกไปหมดสิ้น มีแต่ความว่างเปล่า ทุกคนหน้าถ้ำแสงฉานร้องประสานเสียงกันดังขึ้น มารปีศาจส่งเสียงร้องบ้าคลั่ง ไฟเทวะเก้าชั้นส่งเสียงแปลบปลาบ ยังมีลมพัดวูบมาข้างหู แต่นางราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
นางต้องสงบจิตใจสักหน่อย…ใช่แล้ว เมื่อครู่นางว่าจะออกลาดตระเวน ต้องทำงานสักหน่อย นางต้องการสงบจิตใจ ในใจนางสับสนวุ่นวาย นางไม่เข้าใจว่าที่เคยเข้าใจมาหลายปีนี้ คิดหาสักคนเป็นที่พักพิงของนาง เป็นของนางคนเดียว ผู้ใดก็ไม่อาจแย่งชิงหรือทำลายลงได้
นางคิดว่านางหาเจอแล้ว
ความงดงามอย่างที่สุดนั้น นางจะใช้กำลังกายทั้งหมดปกป้องมันไว้ ไม่ให้ผู้ใดมาทำลายได้เด็ดขาด
แต่พริบตาก็แตกสลาย
ไม่มีทางแล้ว สุดท้ายนางก็ไร้ทางไป ทุกคนล้วนมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านาง แต่ที่นางมีก็เพียงแค่พวกเขา
หลอกลวง! เจ้าหลอกลวง! เจ้าคนชั่วขี้โกหก เห็นๆ ว่าเคยกล่าวว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป…
ในใจอยู่ๆ มีเสียงร่ำร้องไห้สะอื้นดัง แท้จริงผู้ใดกำลังร่ำร้อง นางไม่รู้แล้ว และไม่คิดรู้
เสายักษ์ไฟเทวะเก้าชั้นเริ่มสั่นรุนแรงอยากจะเคลื่อนไหว ราวกับมังกรฟ้าดินผงาด เริ่มกำจายพลัง ส่ายหัวสะบัดหาง มารปีศาจที่ถือโล่ในมือพุ่งเข้าหามังกรเพลิงของนาง รีบยกโล่ขึ้นสูงบังร่างกายไว้มิด ผู้ใดจะรู้ว่ามังกรเพลิงตัวใหญ่ยักษ์เงยหน้าทะยานขึ้นท้องฟ้า แทบจะพริบตาบนท้องฟ้าก็มองไม่เห็นแม้เงา
ทุกคนต่างตะลึงงัน มองเสวียนจียืนโดดเดี่ยวกลางท้องฟ้ากันตาค้าง ร่างผอมบอบบางของนางราวกับกำลังหลอมรวมกัน บนท้องฟ้าไม่มีเปลวไฟและไม่มีไอสังหารบ้าคลั่ง ดูแล้วนางแทบจะปลิวสลายไปกับสายลมได้ตลอดเวลา
“เสวียนจี!” ฉู่เหล่ยได้สติคืนมาก่อนคนแรก ก่อนจะผลักทุกคนที่กระจัดกระจายอยู่หน้าปากถ้ำแสงฉานกลับเข้าไป ตะเบ็งเสียงเรียกนาง ส่วนว่าเรียกนางเกิดอะไรขึ้นนั้น เขาเองก็ไม่เข้าใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่รู้สึกหวาดกลัวและเศร้าใจจากใจลึกๆ ราวกับกำลังจะสูญเสียสิ่งล้ำค่าอะไรสักอย่างไป
นางค่อยๆ ขยับ ราวกับจะหันกลับ วินาทีถัดมากลางท้องฟ้าก็มีสายฟ้าแลบปลาบดังมา ราวกับกำลังฉีกท้องฟ้า เสียงก้องกัมปนาทนั่นยิ่งดังขึ้น สุดท้ายท้องฟ้าสีครามสดใสพลันเหมือนมีรอยพับยับย่น กลางท้องฟ้าเผยรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้น รอยแยกนั้นราวกับดวงตายักษ์ พริบตาเดียวก็เอาแต่จ้องมองเสวียนจี
สวรรค์เปิดดวงตา! ทุกคนตกใจส่งเสียงร้องดังหวาดกลัว ฉู่เหล่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป จะพุ่งขึ้นไปดึงเสวียนจีกลับมา แต่แขนเสื้อถูกฉู่อิ่งหงคว้าไว้แน่น นางน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ไปไม่ได้! เจ้าสำนัก! นั่นไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาจะแทรกแซงได้!”
เขาพูดไม่ออก รู้สึกเพียงแค่ร่างสั่นไหวทั้งร่าง หากเขาไม่พานางกลับมา เช่นนั้นชาตินี้เขาคงต้องได้แต่นึกเสียใจภายหลังอย่างที่สุด เขาผลักมือฉู่อิ่งหงออก วิ่งเปะปะไปด้านหน้าหลายก้าว ได้ยินเสียงเสวียนจีกล่าวว่า “อย่ามาแอบดูข้า…พวกเจ้ามันพวกใช้ไม่ได้…”
ฝ่ามือนางสะบัด ติ้งคุนแผดเสียงทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า ก่อนจะแทงเข้าดวงตาสวรรค์นั่น รอยแยกท้องฟ้าปิดลง ติ้งคุนแทงไปครึ่งเดียวก็ไม่มีเป้าให้แทง หันปลายกระบี่กลับลงในฝ่ามือนางอีกครั้ง มีน้ำหนักเล็กน้อย
“พิรุณอัคคี!” นางดีดลำกระบี่ติ้งคุน ไม่เคลื่อนไหวเป็นนาน ฉู่เหล่ยยืนนิ่งอึ้งพักใหญ่ พลันรู้สึกที่บ่ามีความเจ็บปวดมาก รีบยกมือผลักทิ้ง เห็นบ่าตนไม่รู้ถูกอะไรเผาจนเป็นรูดำเล็กๆ ลมเริ่มร้อนแรงแผดเผา เขาเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นมังกรเพลิงที่ผงาดกลางท้องฟ้าเมื่อครู่ยามนี้กลายเป็นลูกไฟสีฟ้าหนาแน่นนับไม่ถ้วนราวกับฝนตก
มารปีศาจพวกนั้นคิดไม่ถึงว่าเสวียนจีจะลงมือเช่นนี้ มีโล่ก็ยังต้านทานได้ ไม่มีโล่ก็แทบจะถูกพิรุณอัคคีกลืนกินหายไป แม้แต่เสียงร้องก็ไม่ทันได้คราง ไฟเทวะเก้าชั้นไม่ทำให้คนตายทรมาน มันจะค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทีละนิด ทุกตารางนิ้วแห่งความเจ็บปวดนั้นรวดเร็วยิ่ง
ลูกไฟสีฟ้าราวดาวระยิบเต็มท้องฟ้า วิบวาวงดงามราวภาพฝัน ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจหาที่หลบ ไม่อาจต้านทาน ก่อนหน้ายังเป็นกองกำลังมารปีศาจแกล้วกล้า พริบตาก็สูญเสียความกล้าหาญไปสิ้น เผาตายก็ตายไป บาดเจ็บก็บาดเจ็บไป ยังมีมารปีศาจหลายคนที่ตกใจกับภาพตรงหน้า พากันหนีไปอย่างไม่เห็นแม้เงากันก่อนหน้าแล้ว
เสวียนจียืนอยู่ท่ามกลางพิรุณอัคคีนิ่งเงียบ พลันหรี่ตามอง เห็นมารปีศาจทางนั้นใช้โล่ป้องกันตัว กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ใช้ไฟก็สังหารพวกเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร” นางกำติ้งคุนแน่น กระบี่ใหญ่หดตัวกลับสู่สภาพเดิม แสงเงินกำจายสี่ทิศ เสวียนจีกำลังจะบุกเข้าไปฟันพวกเขาทั้งหมดทิ้งด้วยกระบี่ พลันด้านหลังมีคนกระชากนางไว้ ฉู่เหล่ยส่งเสียงเรียกดัง “เสวียนจี! อย่าตายนะ! เจ้ากลับมาเถอะ!”
นางพลันอึ้งไป ค่อยๆ หันกลับไป เห็นร่างฉู่เหล่ยถูกไฟเทวะเก้าชั้นเผาจนกระดำกระด่าง ไม่มีที่ว่างที่ไม่บาดเจ็บสักที่ มือเขาดึงข้อมือนางไว้ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “กลับมา! เจ้าอย่าไป!”
เสวียนจีอึ้งไปนาน ราวกับอยู่ๆ คิดไม่ออกถึงเหตุผลที่มาที่ไป อึ้งมองเขา ในที่สุดใบหน้านางก็มีอารมณ์ความรู้สึก ริมฝีปากสั่นไหว เรียกขึ้นแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ…”
ฉู่เหล่ยกอดนางไว้เต็มแรง กระโดดตีลังมาลงจากกระบี่ ทั้งสองลงสู่พื้น พวกเหอตันผิงไม่อาจสนใจว่าพิรุณอัคคีหรือไม่ใช่พิรุณอัคคี พากันกรูออกไป ประคองเขาสองคนให้ลุกจากพื้น
“เด็กโง่! เด็กโง่!” เหอตันผิงมือหนึ่งกอดสามีไว้ อีกมือกอดเสวียนจีไว้ ร้องไห้จนหอบตัวโยน ปากก็เอาแต่พูดอยู่แค่คำนี้ หลิงหลงกอดแขนเสวียนจีไว้ สะอื้นกล่าวว่า “น้องเสวียนจี! น้องเสวียนจีดูข้านะ! เจ้ายังจำข้าได้ไหม?”
เสวียนจีมองพวกเขาถูกพิรุณอัคคีเผาจนคิ้วผมไหม้ไปหมด ใบหน้ามีบาดแผลลวกพองหลายแห่ง เป็นตายก็ไม่ยอมเข้าไปหลบ ในใจพลันเจ็บปวด ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังต่างๆ นานาไม่หยุด พริบตานั้นเอง นางพลันเข้าใจแล้วว่าคืออะไร
“เข้าไปก่อน…” นางพึมพำ ไม่รอนางกล่าวจบ มีคนวิ่งออกมาจากในถ้ำมากมาย ลากพวกเขาทั้งหมดกลับเข้าถ้ำแสงฉาน
ฉู่เหล่ยบาดเจ็บหนักสุด บรรดาศิษย์รีบเข้าไปใส่ยาให้เขา ได้ยินเขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี ท่านพ่อท่านแม่อยู่นี่ ที่นี่คือบ้านเจ้า มีเรื่องอะไรก็อย่าได้คิดไม่ตก”
เสวียนจีงุนงงสับสนพยักหน้า ในใจนางยังมีเสียงแว่วดัง เสียงนั้นราวกับกำลังจะบอกอะไรนาง อะไรที่นางแต่ไรมาไม่เคยคิด อะไรที่นางควรเข้าใจ…
เหอตันผิงกอดนางไม่ปล่อยมือ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เซียนปีศาจอะไร เจ้าไม่ต้องเป็น! แม่ต้องการแค่เจ้าอยู่ข้างกายดีๆ อะไรก็ดี…ดีกว่าอะไรทั้งหมด!”
หลิงหลงตื้นตันจนกล่าวไม่เป็นวาจา น้ำตาเริ่มเปียกไปทั้งแขนเสื้อ เอาแต่เรียกชื่อนาง เสวียนจีอึ้งไปนาน พลันกล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้าเองก็สำคัญหรือ”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ!” ฉู่อิ่งหงเคาะศีรษะนางอย่างแรง เจ็บจนนางร้องเสียงหลง “อะไรเรียกว่าสำคัญไหม?! ทุกคนล้วนสำคัญ! ล้วนต้องไม่ตายไปเฉยๆ จากไปเฉยๆ! นังหนูน้อยเอ๋ย! ข้าจำไม่ได้ว่าสอนให้เจ้าเป็นคนไม่ได้เรื่องไร้ความมั่นใจเช่นนี้!”
เสวียนจีลูบศีรษะ ในใจคิดว่าในเมื่อเช่นนี้ เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องไปล่ะ
หลิงหลงราวกับเข้าแล้วว่านางคิดอะไร จึงกล่าวเสียงแผ่วเบา “เสวียนจี เจ้าดู พวกเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนสำคัญ แต่ในใจพวกเราย่อมมีคนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง ถึงกับสำคัญยิ่งกว่าตนเอง ซือเฟิ่งเขา…จากไป ก็เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจว่าคนไหนสำคัญที่สุดกับเจ้า เจ้าต้องเข้าใจนะว่า การรักใครสักคนย่อมต้องไม่ใช่เรื่องที่ขัดแย้งกับคนทั้งกลุ่ม ไม่ใช่บอกว่าเจ้ารักเขาแล้ว เจ้าก็จะสูญเสียพวกเรา…ผู้ใดก็ไม่อาจสูญเสียไป พวกเราต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เสวียนจีมองนางเงียบๆ ในใจมีเสียงมากมายค่อยๆ กังวานชัดขึ้น
ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ในที่สุดนางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดซือเฟิ่งจึงต้องจากไป เขากำลังรอให้นางเข้าใจ รอให้นางเติบโต หากเขาเอาแต่อยู่ข้างกายนาง อ่อนโยนกับนาง นางก็คงได้แต่ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าสิ่งล้ำค่าที่ต้องทะนุถนอม นางเอาแต่คิดปกป้อง ยึดมั่น เป็นนางที่เห็นแก่ตัว
ผู้ใดก็ไม่อาจจากผู้ใดไป ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันตลอดไป นั่นคือความฝันเด็กน้อย
ทุกคนล้วนต้องเติบโต นางกลับเอาแต่จมกับอดีต อันนี้ก็ไม่เข้าใจ อันนั้นก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ
คนผิดเป็นนางเสมอ
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดใบหน้าก็เผยรอยยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว…แต่ข้ายังต้องรับมือมารปีศาจพวกนั้น ไม่อาจปล่อยพวกมันรังแกมาถึงหน้าบ้าน”
เหอตันผิงกุมมือนางแน่น ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้า เจ้าอย่าไป! เมื่อครู่เช่นนั้น…”
เสวียนจีกล่าวอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจ ข้าล้วนเข้าใจหมดแล้ว ข้าไม่จากพวกท่านไปแน่”
เหอตันผิงยังคงไม่วางใจ แต่สุดท้ายก็ยังค่อยๆ ปล่อยมือ เสวียนจีลุกขึ้นเดินไปปากถ้ำ เห็นมารปีศาจพวกนั้นมารวมตัวกันชะเง้อมองอยู่นอกถ้ำอย่างลังเล นางก็ลังเลกล่าวว่า “มกร พวกเราร่วมกันจัดการสักยกดีไหม”
มกรไม่กล่าวอันใดมาถึงตอนนี้ ก่อนจะแค่นเสียงฮึกล่าวว่า “ตามใจเจ้าแล้วกัน! นังหญิงหน้าเหม็น เมื่อครู่ทำเอาข้าตกใจ…”
“เจ้าว่าอะไร” เสวียนจีชะโงกหน้าไปถาม กลับถูกเขารังเกียจผลักออก พลันหัวเราะกล่าวว่า “ท่าทางเซ่อซ่าตอนนี้ดูแล้วสบายตาอยู่สักหน่อย”
เสวียนจีไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดเขา ถือกระบี่เดินเข้าปากถ้ำไป มารปีศาจพวกนั้นพอเห็นนาง ก็รีบถอยหลัง ถึงกับแอบกลัว นางลูบคมกระบี่ ไม่ต้องใช้พลังอัคคีสมาธิจิตอันใดอีก แม่ทัพเทพสงครามไม่ได้ชำนาญแต่ปล่อยไฟ นางต้องสอนให้มารปีศาจพวกนั้นได้เข้าใจให้ถูกต้องสักหน่อย
ร่างนางราวสายฟ้า พริบตาก็พุ่งทะลุเข้าหมู่มารปีศาจ ติ้งคุนโลดเต้นสะบัดราวกับมังกรสีเงิน ว่องไวพลิ้วแผ่ว พวกมารปีศาจไม่อาจต้านทานไหว สุดท้ายถูกกระบี่นางค่อยๆ ต้อนถอยร่นทีละก้าว ทั้งร่างนางราวกับปกคลุมด้วยแสงกระบี่ ไม่อาจเข้าใกล้แม้แต่น้อย พริบตาก็สังหารฝูงมารจนเปิดพื้นที่ว่างได้ผืนใหญ่
โล่เกล็ดมังกรในมือมารปีศาจยังคงเกาะกลุ่ม แต่นางไม่ปล่อยอัคคี โล่ก็ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง ของบอบบางเช่นนั้นเหยียบเข้าก็แตก นางฟันไม่ยั้งลงไปหลายที โล่หลายโล่พริบตาแตกกระจายเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อย
“มกรปล่อยไฟ!” นางตะโกนเรียกดัง ไม่รอให้นางสั่งจบ มกรก็สยายปีกเพลิงรอก่อนแล้ว ไล่ต้อนบรรดามารปีศาจทั้งหมดเข้าสู่ปีกเพลิงยักษ์ราวไล่ต้อนแม่ไก่ ศึกนี้รบได้งดงามนัก เสวียนจีกำลังจะเอ่ยชมสัตว์ภูตประหลาดผู้นี้สักคำ พลันเห็นกำแพงหินข้างๆ มีเงาแวบหนึ่ง นางคิดว่าเป็นมารปีศาจ ยกมือปล่อยพลังกระบี่ไป เห็นคนผู้นั้นสีหน้าซีดขาว มือกุมท้องแน่น กำลังจ้องมองนางนิ่ง เป็นจงหมิ่นเหยียน!
[1] สัตว์เทพในตำนาน ในปากอมเทียนไว้เล่มหนึ่ง คอยส่องแสงประตูสวรรค์ทางทิศเหนือ