ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 1 ร่วมตกสู่แดนปรภพ (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

จงหมิ่นเหยียนเหมือนสายตาเลื่อนลอยมองนางครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเบาๆ ว่า “หลิงหลงล่ะ อาจารย์ล่ะ” เสวียนจีตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง อดลดกระบี่ในมือลงไม่ได้ มารปีศาจที่หาที่หลบกันพัลวันเห็นนางอยู่ๆ นิ่งอึ้ง ก็รีบฉวยโอกาสพุ่งเข้าใส่ แต่ก็ถูกมกรเผาไปทีละตน 

 

 

“เขา พวกเขาอยู่ในถ้ำ” เสวียนจีพึมพำ เห็นเขาพยักหน้าหันหลังโดดลงจากผาหินมา สีหน้าซีดจนราวกับคนตาย และยังมีริ้วรอยเจ็บปวดอยู่สายหนึ่ง นางเอื้อมมือไปประคองไว้ทันที พลางถามว่า “ศิษย์พี่หก เป็นอะไรไป” 

 

 

นิ้วมือคว้าแขนเสื้อเขาไว้ รู้สึกเพียงแค่เขาถดกลับ เสวียนจีพลันนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ชอบให้นางแตะต้องเขา กำลังจะหดมือกลับ เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ยกแขนพักไว้บนบอบบางของนาง แทบจะทิ้งน้ำหนักทั้งหมดใส่บ่านาง ในใจเสวียนจีเต้นรุนแรง ท่าทางเก้กัง และยังออกอาการไม่เข้าใจเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่หก…เจ้า เจ้าเป็นอะไร…” 

 

 

“อย่าพูด ข้า…ไม่สบายนิดหน่อย ประคองข้าเข้าไปได้ไหม” ลมหายใจร้อนรินรดใบหูนาง ใบหน้าเสวียนจียามนั้นแดงไปหมด มือไม้พัลวันประคองเขาเดินไปทางถ้ำแสงฉาน 

 

 

มกรด้านหลังจัดการมารปีศาจทั้งหมดเรียบร้อย ก็ยังรู้สึกไม่พอ มองเห็นบนพื้นกองเต็มไปด้วยศพที่ถูกเขาเผาไหม้ เขาเลียริมฝีปากพลางถอนหายใจ “มารดามันสิ สะใจ…” หันกลับไปเห็นสองคนนั้นไม่สนตนเอง เดินไปไกลแล้ว เขารีบไล่ตามไป ร้องดังขึ้นว่า “ไม่มีน้ำใจเลย! ข้าช่วยเจ้าจัดการพวกคนชั่ว! พอเจ้าเห็นหนุ่มหล่อก็ทิ้งข้า นังหญิงหน้าเหม็น…เดี๋ยวนะ เจ้า เจ้า นี่มันอะไรกัน มีเลือดที่ตัว…” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนขัดวาจาเขา กล่าวว่า “ข้าท้องเสีย กลิ่นท้องเสียเจ้าจะดมหรือ” 

 

 

“เชอะ!” มกรเชิดหน้าไม่พูดต่อ 

 

 

เสวียนจีกล่าวว่า “เอาละ ศิษย์พี่หกไม่สบาย มกร เจ้าอย่าวุ่นวาย เดี๋ยวหายาเม็ดมาให้เขาก็ดีขึ้นแล้ว” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนไม่กล่าวอันใดอีก พอกลับถึงถ้ำแสงฉาน ทุกคนได้ยินว่ามารปีศาจถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว ก็อดยินดีไม่ได้ หวนหยางกับผู่หยางนำศิษย์สิบกว่าคนออกลาดตระเวนตรวจดูว่ายังมีมารปีศาจหลงเหลือไหม คนที่เหลือพักรออยู่ในถ้ำ หลิงหลงเห็นว่าในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็กลับมาแล้วจึงรีบพุ่งเข้าไปหา ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหกตัวดี! ท้องเสียนานขนาดนี้?! ข้าว่าเจ้าต้องขี้ขลาดแน่ เห็นมารปีศาจมาโจมตี ตกใจไปหาที่หลบใช่ไหม” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนสีหน้าซีดขาว ฝืนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็ล้อข้าเล่น” กล่าวจบก็ผละจากเสวียนจี คว้าไหล่หลิงหลงแทน แทบจะเทน้ำหนักทั้งหมดใส่นาง ดูท่าแล้วเหมือนว่ากำลังกอดนางเอาไว้ต่อหน้าทุกคน แม้ว่าพวกเขาทั้งสองเป็นคู่รักที่ทุกคนรับรู้แล้ว แต่หลิงหลงหน้าบาง แต่ไรมาไม่อนุญาตให้เขาทำอะไรที่ใกล้ชิดสนิทสนมกลางวันแสกๆ ตอนนี้เห็นเขาเช่นนี้ แก้มนางในยามนั้นพลันแดงระเรื่อ กระซิบตำหนิ “อย่าทำเช่นนี้…ทุกคนมองอยู่นะ!” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนหัวเราะเบาๆ กระซิบว่า “ทำไมเจ้าหน้าบางเช่นนี้…อย่าขยับ…หลิงหลง ตัวเจ้าหอมจริง” 

 

 

หลิงหลงเก้อเขินจนแทบอยากจะมุดรูหนี นางแทบไม่กล้ามองดูสีหน้าคนรอบๆ ยกมือผลักเขาเต็มแรง จงหมิ่นเหยียนโงนเงนไปมา นางก็ทนไม่ไหว รีบเข้าไปพยุงไว้ ยู่ปากกล่าวว่า “เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย!” 

 

 

อยู่ๆ จงหมิ่นเหยียนก็ยกมือโอบกอดนางไว้แน่น บรรจงกดริมฝีปากลงไปแรงๆ ปิดผนึกริมฝีปากนางอย่างแทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ราวกับเวียนว่ายไปนับพันหมื่นชาติก่อนจะกลับมาเจอกับนางอีกครั้ง ราวกับฟ้ากำลังจะแยกดินกำลังจะสลาย เขาทนรอไม่ไหว แทบอยากจะแนบสนิทเช่นนี้จนตายจากกัน 

 

 

รอบๆ เริ่มมีเสียงร้องตกใจติดๆ กัน หลิงหลงตกใจจนผมตั้งชัน พลันคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไร รู้สึกเพียงแค่มือเขาวาดผ่านแก้มนาง ทิ้งกลิ่นคาวเลือดเปียกชื้นไว้ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ปล่อยริมฝีปากนาง น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “หลิงหลง เจ้าแต่งกับข้าวันนี้เลยแล้วกัน…” 

 

 

หลิงหลงอึ้งจ้องมองเขา ตาเขาดำสนิทลึกล้ำ ภายในราวกับมีดวงไฟลุกโชน มองนางแทบจะสิ้นหวัง อยู่ๆ เขาก็หลับตาลง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่…เจ้า ถือว่าข้าไม่ได้พูด…หลิงหลง เจ้าต้องอยู่ต่อไปดีๆ” 

 

 

นางรู้สึกรอยเปียกชื้นบนใบหน้าเริ่มเหนียวหนืด เริ่มทนไม่ไหว ได้สติยกมือไปลูบ ก้มหน้าลงมอง เลือดสดเต็มมือ นางหายใจเฮือก คนในอ้อมกอดอ่อนยวบร่วงลงกองกับพื้นแล้ว นางพึมพำขึ้นเสียงหนึ่ง “เจ้าหก!” เลือดสดยังคงกองอยู่บนตัวเขา ที่แท้เขาเอาดินและรากหญ้ากดปากแผลไว้แน่น ทุกคนถึงกับไม่รู้ 

 

 

ยามนั้นฉู่เหล่ยไม่อาจสนใจบาดแผลพองลวกบนร่างตนจะเจ็บเพียงใด ลุกขึ้นตะโกนขึ้นว่า “รีบเอายามา! เอาน้ำสะอาดมาด้วย!” เสียงสั่งการติดๆ กัน บรรดาศิษย์ตกใจมือไม้ลนลานรีบวิ่งออกไปหาน้ำกันอย่างไม่รู้ทิศทาง “ไม่ต้องตกใจ! ข้าดูบาดแผลก่อน!” เขาเอ่ยน้ำเสียงทุ้มหนัก แต่เสียงยังถึงกับสั่นเทาเล็กน้อย แหวกเสื้อจงหมิ่นเหยียนออก ใต้วงแขนเขามีรอยแผลที่ทำเอาทุกคนต่างตกใจ เลือดสดยังคงไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุ รอบๆ บาดแผลยังคงมีดินและรากหญ้าเลอะเทอะอยู่ ดูแล้วสกปรกมาก  

 

 

เหอหยางผลักทุกคนออก ร้อนใจกล่าวว่า “ข้าดูหน่อย!” ตอนนั้นก็ลงนั่งยองข้างกายเขา มองแผลคร่าวๆ รีบมือสกัดจุดใต้วงแขนเขาไว้หลายจุด เลือดพลันน้อยลง บรรดาศิษย์นำน้ำมาถึง เขาทำความสะอาดบาดแผลให้ก่อน ครั้งนี้ดูอีกทีอย่างละเอียด จากนั้นก็หายใจเฮือก “ตำแหน่งนี้ อวัยวะภายในต้องบาดเจ็บสาหัส! ผู้ใดลงมือ?!” กล่าวจบพลันรู้สึกกระบี่แทงเช่นนี้คุ้นตามาก เขาขมวดคิ้วคิด นึกออกทันที “ครั้งก่อนซือเฟิ่งบาดเจ็บสาหัส ก็เป็นฝีมือคนผู้นี้กระมัง?! ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อนั่น ชื่ออะไรอวี้ๆ นะ!” 

 

 

“รั่วอวี้” เสวียนจีพลันแทรกขึ้น ฉู่อิ่งหงเห็นนางสีหน้าซีดขาวท่าทางประหลาด ดูสีหน้าบอกไม่ถูก อดตกใจไม่ได้ พวกเขาโตมาด้วยกันแต่เด็ก ความสัมพันธ์ย่อมไม่ต้องพูดถึง เสวียนจีเพิ่งเป็นปกติเมื่อครู่ หากว่าได้รับความกระทบกระเทือนจนสติหลุดลอยขึ้นมาอีก ผู้ใดจะรั้งนางไว้ได้ ฉู่อิ่งหงรีบดึงเสวียนจีออกมา โอบไหล่นางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรนะ อาจารย์ลุงเหอหยางเจ้าอยู่ตรงนี้ หมิ่นเหยียนไม่เป็นไรแน่นอน” 

 

 

เสวียนจีไม่กล่าวอันใด เอาแต่จ้องมองบาดแผลใต้วงแขนจงหมิ่นเหยียน ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป ราวกับไปยังโรงเตี๊ยมเก๋อเอ่อร์มู่ ซือเฟิ่งนอนอยู่บนเตียง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดเป็นดวงด่าง เป็นตายยากคาดเดา ในใจนางเต้นรุนแรง ริมฝีปากพึมพำว่า “รั่วอวี้…รั่วอวี้…อูถง…อูถง…” 

 

 

เหอหยางควักยาทาลงบนบาดแผล แต่ก็ถูกเลือดชะล้างทิ้งหมด ใจเขาร้อนดังไฟ มือที่ขาดก็ยัง ปวดอยู่ หน้าผากหลั่งเหงื่อเย็น ฉู่เหล่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเอง” เหอหยางพยักหน้า กล่าวอีกว่า “เด็กนี่เกรงว่าอันตรายแล้ว ให้เขากินยาเม็ดหุยเทียนนี่ก่อน!” 

 

 

พอหลิงหลงได้ยินคำว่ายาเม็ดหุยเทียน สีหน้าก็ซีดขาว นางรู้ว่ายาเม็ดนี่สูงค่า สำนักเส้าหยางไม่เชี่ยวชาญเรื่องยา ยาเม็ดหุยเทียนเป็นยาวิเศษที่หุบเขาเตี่ยนจิงปรุงออกมา มีแต่บาดเจ็บสาหัสกับคนใกล้ตายเท่านั้นที่ต้องกินเพื่อรักษาลมหายใจไว้ นางพลันรู้สึกตนเองไม่อาจหยุดตัวสั่นได้ ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากภายในสู่ภายนอก สั่นไปหมดทั้งตัว  

 

 

เขาจะตาย…เขาจะตาย! จงหมิ่นเหยียนอาจจะตายได้! ในหัวนางมีความคิดน่ากลัวเช่นนี้เวียนวนไปมาไม่หยุด เมื่อครู่เขายังหัวเราะร่วนอยู่กับนางว่าคืนนี้จะไปขอแต่งงาน พวกเขาสองคนจะไม่แยกจากกันตลอดไป ทำไมอยู่ๆ แค่ชั่วพริบตาเดียว เขาก็จะตายแล้ว ทำไมเป็นเช่นนี้ 

 

 

“หลิงหลง…” จงหมิ่นเหยียนปวดจนสลบไป แต่ก็ปวดจนฟื้นขึ้นมา ดวงตาเหม่อลอย ปากพึมพำเรียกแต่ชื่อนาง “ข้า…ข้าผิด สมควรรับ…ผิดต่อ…คำสาบานนั่น…ดังนั้น…จึงมีวันนี้…” 

 

 

เหอหยางขมวดคิ้วดุเบาๆ “อย่าพูด!” จากนั้นไม่ว่าทายาอย่างไร เลือดนั่นก็ไม่หยุด ฉู่เหล่ยคว้ายาหุยเทียนที่รูปร่างเหมือนเม็ดน้ำตาลใส่ปากเขา แต่ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย อวัยวะภายในเขาถูกกระบี่แทงทะลุ ทันทีที่อวัยวะภายในฉีก เขาก็ไม่อาจรักษาได้อีกแล้ว 

 

 

หลิงหลงงุนงงสับสน คิดถึงคำพูดเขา ละเมิดคำสาบาน…นางราวกับย้อนกลับไปถึงวัยเด็กที่ไร้กังวลกับทุกสิ่ง วันนั้นนางกับจงหมิ่นเหยียนสาบานกัน เขากล่าวว่าหากวันใดไปจากสำนักเส้าหยางก็ให้ลงโทษให้ฟันร่วงหมดปาก เป็นตาแก่ไม่มีฟัน! กล่าวจบ เขาสองคนก็เกี่ยวแขนสาบานกันด้วยอารมณ์ราวเด็กน้อย 

 

 

ตาแก่ไม่มีฟัน…ไม่ เขาไม่ได้เป็นตาแก่ไม่มีฟัน เขากำลังจะตาย! ตายแล้ว! ตายแล้ว! สมองหลิงหลงราวกับมีเสียงระเบิดดัง ราวกับมีอะไรแตกกระจาย ตามมาด้วยรอบด้านเงียบกริบ 

 

 

“ไม่ได้การ!” เหอหยางเห็นจงหมิ่นเหยียนลมหายใจแผ่วลง แววตาเหม่อลอย เห็นชัดว่ากำลังจะจากไปแล้ว ก็รีบกดกระหม่อมเขาไว้ ถ่ายทอดพลังวัตรลงไป “บาดแผลเจ้าเด็กนี่หนักหนาสาหัสเกินไป! หากยืดเยื้อต่อไป เจ้าสำนัก ข้าไร้หนทาง…” 

 

 

วาจาท้ายนั้น หลิงหลงไม่ได้ยินอีกต่อไป นางอึ้งมองจงหมิ่นเหยียนที่นอนราบอยู่ที่พื้น สีหน้าเขาซีดขาว สองตาราวกับยังคงมีดวงไฟลุกโชนจ้องมองนางไม่กะพริบ ราวกับเพิ่งรู้จักนางเมื่อครู่ เพิ่งหลงรักนางเมื่อครู่ สองตากะพริบปริบ พลันมีน้ำใสร่วงหล่นออกมา เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หลิงหลง…เจ้าลืมข้าเสีย…” 

 

 

หลิงหลงเห็นดวงตาเขากำลังค่อยๆ ปิด รู้สึกเพียงแค่โลกทั้งใบค่อยๆ พังทลายลง นางเรียกน้ำเสียงแผ่วเบาขึ้นเสียงหนึ่ง มือไม้ไม่รู้จะวางที่ใดราวกับเด็กน้อยหลงทาง โดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ ไร้ที่ไป ทุกคนต่างพากันรีบเข้ามาห้ามเลือดให้จงหมิ่นเหยียน ไม่ก็มองเสวียนจี กลัวนางจะเกิดอาการผิดปกติแล้วไม่มีคนปลอบนาง 

 

 

หลิงหลงพลันสูดลมหายใจเข้าลึก กัดริมฝีปากแน่นราวกับตัดสินใจอะไรสักอย่าง พลันชักกระบี่ต้วนจินจะปาดคอตนเอง เหอตันผิงร้องเสียงหลง รีบเข้าแย่งกระบี่ต้วนจิน คมกระบี่นั่นยังคงบาดคอนาง เลือดสดไหลออกมากองโต นางหมดแรงล้มในอ้อมอกเหอตันผิง เสียงโกลาหลรอบๆ เสียงคนมากมายร้องตะโกน วิ่งไปมาบ้าง เสียงคุยกันบ้าง นางราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น 

 

 

มีคนกดบาดแผลที่คอนางไว้เต็มแรง มือคนผู้นั้นเย็นเยียบราวเกล็ดหิมะ หลิงหลงสะลึมสะลืออย่างไม่รู้สึกเจ็บ มองคนผู้นั้นงงๆ เป็นเสวียนจี นางจ้องมองตาโตยิ่ง ราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักโลกใบนี้ ทุกอย่างแปลกหน้า เป็นนานนางจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นตายด้วยกัน…ใช่ไหม?” 

 

 

ในใจหลิงหลงเจ็บปวด สีหน้ายิ้มเศร้า สลบไปทันที เสวียนจีค่อยๆ ยืนขึ้น มองหลิงหลงที มองไปทางจงหมิ่นเหยียนที ราวกับไม่รู้จักพวกเขา ฉู่อิ่งหงเห็นนางสีหน้าแปลกไป รีบเข้าไปประคองไว้ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร! พวกเขาจะไม่เป็นไร! เสวียนจี เจ้าอย่าวู่วาม!” 

 

 

เสวียนจีอึ้งกล่าวว่า “ไม่…ข้าไม่วู่วาม…ข้าจะไปสังหารคนผู้หนึ่ง อย่ารั้งข้า…” นางผลักมือฉู่อิ่งหงออกเบาๆ หันหลังค่อยๆ เดินไปทางปากถ้ำ ฉู่อิ่งหงรีบเข้าไปรั้งนางไว้ “เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น! อยู่ที่นี่! พี่สาวกับศิษย์พี่ยังบาดเจ็บสาหัส เจ้ายังจะไปไหน จะทำให้ท่านพ่อท่านแม่เจ้าเป็นห่วงหรือ” 

 

 

“ข้าไปสังหารคนผู้หนึ่ง…เดี๋ยวก็กลับมา” นางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ แผ่นหลังพริบตาก็เคลื่อนผ่านฉู่อิ่งหงไป ไม่หันมามองอีก 

 

 

อยู่ๆ มีเสียงดังขึ้นด้านหลัง “ไม่ต้องร้อนใจไป เด็กสองคนนี้ข้ารักษาเอง” 

 

 

ทุกคนต่างตะลึงงัน เห็นเพียงถิงหนูควักเอาถุงแพรเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ เทผลไม้ขนาดราวหัวแม่มือออกมาสองเม็ด สีสันสดใสราวกับเพิ่งเด็ดจากต้นไม้ เขาคว้าผลหนึ่งขึ้นมา กล่าวอ่อนโยนว่า “รบกวน ยกตัวเขาขึ้นมาได้ไหม” 

 

 

ฉู่เหล่ยรู้เขามีวิชาพิสดาร ไม่แน่อาจเรียกชีวิตคืนมาได้ รีบประคองร่างท่อนบนจงหมิ่นเหยียนขึ้น เปิดปากเขาออก ถิงหนูบี้ผลไม้นั่นละเอียด หยดแต่น้ำใส่ปากจงหมิ่นเหยียนทีเดียวสามหยด ตามด้วยเก็บผลไม้กลับคืน ไม่ทิ้ง พอถึงคราหลิงหลง เขาดูแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “นางไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ไม่ต้องใช้ผลไม้นี่ พันแผลก็พอ” 

 

 

เสวียนจีเห็นสีผลไม้แดงเหมือนเลือดสด อดไม่ได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ผลไม่อาสัญหรือ” 

 

 

ถิงหนูพยักหน้า “ใช่ ผลไม่อาสัญจากเขาคุนหลุน ตอนข้าสำเร็จผล ราชันสวรรค์ประทานให้สองผล แต่ไรมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ วันนี้ได้นำออกมาใช้ ผลนี้ไม่อาจให้พวกเขากินเปะปะ กินแล้วจะอายุวัฒนะ สามหยดก็จะทำให้เขาคืนชีวิต” 

 

 

ขณะที่พูด จงหมิ่นเหยียนก็ครางเบาๆ ขึ้น สีหน้าซีดเริ่มมีสีเลือด เลือดจากบาดแผลใต้วงแขนเริ่มหยุด ฉู่เหล่ยรีบใส่ยาพันแผลแน่น เงยหน้ามองถิงหนูอย่างซาบซึ้งใจ กล่าวว่า “ท่านช่วยพวกเราไว้มาก!” 

 

 

ถิงหนูยิ้มไม่กล่าวอันใด หลิ่วอี้ฮวนที่เอาแต่ยืนชมดูอยู่ข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “เอาละ เคราะห์เจ้าหนุ่มนี่ก็ผ่านไปแล้ว โชคดีที่เจ้าเป็นผู้มีวาสนาใหญ่! ข้าว่าเจ้าต้องถูกหลอก พูดชัดขนาดนั้น เจ้ายังไม่เข้าใจ เป็นเจ้าโง่ไร้ทางเยียวยาจริงๆ!” 

 

 

ถิงหนูกล่าวว่า “เรื่องไม่ใช่ของตัวเอง เจ้าก็พูดได้สบายสิ เปลี่ยนเป็นเจ้า ก็ใช่จะทำได้ดีกว่าเขา” 

 

 

“ปากเจ้านี่มัน…ทำร้ายคนอื่นไม่เป็นผลดีกับตัว…” หลิ่วอี้ฮวนไม่รู้จะจัดการเขาอย่างไร ได้แต่ส่ายหน้า ไม่กล่าวอันใดเสียเลยดีกว่า 

 

 

ก่อนหน้านี้มกรได้ยินว่าเสวียนจีจะไปสังหารคนก็ดีใจจะรีบตามไป ผู้ใดจะรู้ว่าไปรออยู่ปากถ้ำตั้งนาน พวกเขาพูดจาไปมาก็ไม่ยอมไปแล้ว ทำเขาร้อนใจตะโกนเรียก “จะไปสังหารคนไหม?! ตัดสินใจเร็วหน่อย!” เขาคำรามขึ้น คนในถ้ำอยู่ๆ พลันเงียบกริบ ทุกคนพากันมองเขา มกรกำหมัดตวัดฟาดไปมา ตะโกนเรียกอีกว่า “นังหญิงหน้าเหม็น! ไปไม่ไป?” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้า กล่าวว่า “พวกเราไป” 

 

 

มกรดีใจมาก หันหลังวิ่งออกไปทันที พวกฉู่อิ่งหงรีบรั้งเสวียนจีไว้ ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าอย่าทำให้เรื่องบานปลาย! กล่าวว่าจะไปสังหารผู้ใด!” เหอตันผิงก่อนหน้านี้ร้องไห้ให้หลิงหลงจนตาแดง ตอนนี้อดน้ำตารื้นอีกไม่ได้ คว้าแขนเสื้อเสวียนจีแน่น พร่ำบอกไม่ให้นางไป 

 

 

เสวียนจีสูดลมหายใจ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “แค้นนี้ไม่ชำระ ข้าไม่เป็นสุข อย่าได้ห้ามข้า ข้าจะไป ไม่นานก็กลับมา!” 

 

 

“เจ้าจะไปเขาปู้โจวซาน?” ฉู่เหล่ยส่ายหน้า “ที่นั่นไม่ใช่แดนมนุษย์ เกิดมีเรื่องอีก จะทำอย่างไร อย่างไรก็ไม่อนุญาตให้เจ้าไป! อยู่ที่นี่!” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าจะไป ข้าไม่อนุญาตให้มีใครมาทำลายสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า!” 

 

 

ทุกคนเห็นนางมีท่าทางเด็ดเดี่ยว อดไร้วาจาไม่ได้ เสวียนจีแตะปลายเท้าก็ไปไกลหลายจั้ง พลิ้วแผ่วนำมกรออกจากปากถ้ำไป ด้านหลังพลันมีคนตามมา ร้อนใจกล่าวว่า “ข้าไปด้วย! พาข้าไปด้วย!” 

 

 

เป็นจิ้งจอกม่วง ไม่รู้ว่านางตื่นเต้นหรืออะไร หน้าตาแดงก่ำ ร้องดังขึ้นว่า “ข้าไปเขาปู้โจวซานด้วย! ครั้งนี้ต้องสำเร็จ!” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เป็นตายด้วยกัน…ใช่ไหม” 

 

 

จิ้งจอกม่วงตะลึงงัน ตามมาด้วยเสียงตะโกนรับดังว่า “ใช่! เพื่อเขา ตายไปก็ไม่เป็นไร!” 

 

 

เสวียนจีไม่รู้คิดอะไร อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า