ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 2 ร่วมตกสู่แดนปรภพ (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตลอดทาง จิ้งจอกม่วงเห็นเสวียนจีไม่พูด เอาแต่เม้มปากแน่นราวกับไม่เบิกบาน ก็ปลอบใจว่า “เสวียนจี พี่สาวเจ้ากับศิษย์พี่ไม่เป็นไรแล้ว มีถิงหนู พวกเขาไม่ตายแน่ เจ้าอย่าได้กังวล” 

 

 

เสวียนจี “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่กล่าวอันใด จิ้งจอกม่วงกล่าวอีกว่า “และก็อย่าโมโหมากไป…คนชั่วอย่างไรก็คนชั่ว ต้องไม่ได้ตายดี! ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้าจัดการพวกเขาเอง!” 

 

 

นางยังคง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง นอกจากคำนี้แล้วไม่พูดคำอื่นอีก จิ้งจอกม่วงไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ไม่รู้จะปลอบอย่างไรต่อ ได้แต่มองนางอย่างเป็นห่วง  

 

 

นางไม่รู้ สิ่งที่ในใจเสวียนจีคิดนั้นไม่ใช่อูถง ไม่ใช่อาการบาดเจ็บของพวกหลิงหลง ที่นางคิดก็คือเรื่องตอนเด็ก เรื่องข้างน้ำพุศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาเสี่ยวหยาง วันนั้นศิษย์พี่ใหญ่มาย่างปลาที่ริมทะเลสาบ ควันลอยโขมง ยังมีกลิ่นไหม้ลอยมานิดๆ วันนี้ยังคงจำได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น 

 

 

หลิงหลงกับอวี่ซือเฟิ่งมีเรื่องกันในป่าว่าจะใช้หนังสติ๊กยิงไก่ป่าอย่างไร เถียงกันดังไม่หยุด ท้องฟ้าสีครามวันนั้น มีเพียงเมฆบางๆ ราวแพรไหมค่อยๆ ลอยคลื่อนไป แสงอาทิตย์สาดส่องน้ำบนผืนทะเลสาบ ราวม่านสีทอง มีชายหนุ่มเอาแต่แอบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาอย่างเอาแต่ใจ นางร้อนใจรออยู่อย่างทำอะไรไม่ได้ 

 

 

นางไม่ใช่หลิงหลง นางไม่รู้จะแสดงความห่วงใยของตนเองออกไปอย่างไร ที่นางเชี่ยวชาญที่สุดก็คือเหม่อลอย รักษาทุกสิ่งที่มีค่าของตนเองไว้อย่างงุ่มง่าม ดังนั้นนางย่อมไม่โดดลงไป ที่ทำได้มีแต่เหม่ออยู่ตรงนั้น รออยู่ตรงนั้น รอเขาผุดขึ้นมา รอเขาเห็นนาง 

 

 

ในที่สุดเขาก็ผุดขึ้นมาเห็นนางแล้ว ในแววตาเขามีแต่ภาพนางคนเดียว เขาเผยรอยยิ้มบาง โยนปลาตัวอ้วนเป็นๆ ดิ้นไปมาขึ้นมาให้นาง หยดน้ำไหลไหลลู่ลงตามโครงหน้าหล่อเหลาของเขา ขนตาเขาเปียกลู่ สองตาส่องประกายเป็นพิเศษ เป็นครั้งแรกที่เขาเผยอารมณ์ความรู้สึกอ่อนโยนออกมา หากในความอ่อนโยนนั้นแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์อยู่สามส่วน สองส่วนไม่ใส่ใจ! เด็กน้อย! ศิษย์พี่จับปลาให้เจ้า! 

 

 

นางรู้ว่าที่ตนเองรับไว้ไม่ใช่แค่ปลาเป็นๆ ตัวหนึ่ง น่าจะเป็นบางอย่าง บางอย่างที่นางเฝ้าเหม่อรอ แต่ไม่เคยได้ นางคิดว่าในที่สุดก็รอจนได้บางอย่าง 

 

 

แต่นางผิดแล้ว นางรอแล้วไม่ได้อะไรเลย 

 

 

ก่อนเขาตาย เลือดท่วมใบหน้า ตาส่องประกายราวแสงอาทิตย์ สายตาเขามองเพียงคนเดียว คนเดียวในสายตาเขาไม่มีนาง แท้จริง เขามองแต่ไม่เห็นนาง ใจและกายเขา รวมทั้งจิตวิญญาณ ล้วนลุกโชนร้อนแรงเพื่อคนผู้เดียว 

 

 

“เสวียนจี?” จิ้งจอกม่วงเรียกชื่อนางหวาดหวั่น นางราวกับไม่ได้ยิน มีแต่น้ำตาไร้เสียงสะอื้น ไหลออกจากขอบตาไม่หยุด 

 

 

แปลกมาก จริงๆ แล้วนางไม่เสียใจสักนิด ถึงกับดีใจกับเขาสองคนจากใจ เขาสองคนล้วนมีชีวิตอยู่ วันหน้าก็จะอยู่ร่วมกันตลอดไป คนรักกันได้ครองคู่กัน เป็นเรื่องดีจริง แต่นางกลับเอาแต่กำลังร้องไห้ ร้องมาตลอด ไม่ใช่ร้องให้เขา นางหลั่งน้ำตาให้กับนางที่เคยเป็นเด็กน้อยโง่เง่าหัวทึ่ม 

 

 

ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าแม่นางที่ไม่รู้จักคิดและขี้เกียจเช่นนั้นจะแอบซ่อนความลับไว้ส่วนลึกในใจ แอบรอคอยอย่างเงียบๆ 

 

 

บุปผาดอกน้อยในวัยเยาว์นั้นร่วงโรยอย่างเงียบๆ มีความทรงจำส่วนหนึ่งต้องถูกฝังกลบ ยังมีประสบการณ์ที่ผ่านมาอีกส่วนหนึ่งต้องก้าวผ่านไปให้ได้ นางอยากเติบโต อยากเรียนรู้ที่จะรักใครสักคนให้เป็น ร่วมเป็นร่วมตาย จับมือกันไปจนแก่เฒ่า 

 

 

นางพลันหยุดกลางอากาศ จิ้งจอกม่วงกับมกรต่างหยุดตาม มองนางอย่างแปลกใจ เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “พวกเราลงไปกันก่อน ข้ามีเรื่องต้องจัดการ” 

 

 

มกรร้อนใจร้องดังขึ้นว่า “สวรรค์! ไม่มีเรื่องเจ้าก็ชอบหาเรื่องเรื่อย! สังหารคนก็ไม่สะใจ! ยังมีเรื่องยุ่งยากอะไรให้ทำอีกเนี่ย” 

 

 

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าไม่ไปก็ได้ รออยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา” 

 

 

มกรไหนเลยจะรับปาก เกิดนางแอบหนีไปจะทำอย่างไร! “ข้าไป ข้าไป! เร็วหน่อยสิ!” เขาลดตัวลงไปก่อน จิ้งจอกม่วงถามว่า “ธุระสำคัญอะไรหรือ” เสวียนจียิ้ม คิดไปคิดมา พยักหน้ากล่าวว่า “น่าจะสำคัญมาก เกี่ยวกับความทรงจำส่วนหนึ่ง” 

 

 

อะไรคือเกี่ยวกับความทรงจำส่วนหนึ่ง จิ้งจอกม่วงฟังไม่เข้าใจ 

 

 

หลังจากลดตัวลงไปก็เป็นป่าในหุบเขาลึกผืนหนึ่ง ไม่มีบ้านคนระยะพันลี้ ใช้วาจามกรมากล่าวก็เรียกได้ว่าที่ที่ไม่มีนกมาอึรด! เสวียนจีเดินไปใต้ต้นไม้หนึ่ง ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาเริ่มขุดหลุม คิดใช้เทพศาสตราขุดดินน่าจะมีเพียงนางคนเดียว จิ้งจอกม่วงกับมกรต่างไม่รู้นางทำบ้าอะไร ได้แต่ยืนมองอยู่เงียบๆ 

 

 

นางขุดหลุมไม่ใหญ่มาก จากนั้นก็ควักเอามีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา มีดสั้นนั้นดูแล้วใหม่มาก เห็นชัดว่านางเก็บรักษาอย่างดี ไม่เคยใช้สักครั้ง พวกมกรต่างไม่รู้ นี่ก็คือหลังจากเสวียนจีถูกอูถงทำร้ายบาดเจ็บ บรรดาศิษย์พี่มาเยี่ยมนาง จงหมิ่นเหยียนมอบให้นางเป็นของปลอบขวัญ 

 

 

หลายปีมานี้นางพกมีดนี้ติดตัวมาตลอด แต่ไรมาไม่เคยใช้ บางทีในใจนาง มันไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นของล้ำค่าที่ควรค่าแก่การสะสม ตอนนี้ถึงเวลาฝังมันแล้ว เสวียนจีวางมีดสั้นลงไปในหลุม มองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลบเรียบ ฝังมันไว้ตลอดไป 

 

 

“เอาละ พวกเราไปกันได้!” นางเหมือนอยู่ๆ อะไรในใจก็ผ่อนคลายลง หันกลับไปหัวเราะยิ้มเริงร่าได้ต่อ 

 

 

“ทำบ้าอะไร…” มกรบ่น จิตใจเด็กผู้หญิงวุ่นวาย เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย รู้สึกเพียงแค่นางแปลกประหลาดมาก จิ้งจอกม่วงมองออก ตบไหล่ปลอบใจเสวียนจี กล่าวว่า “เอาละ ที่ผ่านแล้วก็ให้ผ่านเลยไป วันหน้าต้องมองไปข้างหน้า” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะดัง ในสมองพลันมีภาพเงาคนอีกคนขึ้นมา ชายหนุ่มสีหน้าซีดขาว ข้อมือมีงูสีเงินตัวน้อย คิ้วดกตาดำ ส่งรอยยิ้มบางให้นาง เขาทำให้นางรู้ถึงน้ำที่อบอุ่นมาตลอด ไม่มีการช่มขู่บังคับ ไม่มีอันตราย นิ่งเงียบ กุมมือนาง สองคนเดินไปด้วยกัน 

 

 

บางทีนางอาจผิดอีกแล้ว แต่ไรมาซือเฟิ่งไม่เคยเป็นดังน้ำที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ความอบอุ่นแค่ภายนอกเขา แอบซ่อนความร้อนแรงที่ทำให้คนรู้สึกกลัวไว้ภายใน เขาต้องการให้ก็จะมอบให้ทั้งหมด ดังนั้นที่เขาต้องการจากนางก็ต้องการทั้งหมด ไม่อาจไม่ได้แม้เพียงนิด นิสัยเขาราวเปลวไฟร้อนแรง ถึงตอนนี้นางจึงคิดได้ ไม่เช่นนั้นเขาย่อมไม่จากไปอย่างสิ้นเยื่อใย ไม่เหลือความหวังทิ้งไว้ให้นางแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ไรมาระหว่างนางกับเขาล้วนเป็นเขาเข้าหา นางเพียงแต่รับการเอาใจรักใคร่เอ็นดูจากเขาอย่างสบายๆ ตอนนี้นางสูญเสียความรักใคร่เอ็นดูนั้นไปแล้ว พริบตาก็รู้สึกว่าที่แท้เขาสำคัญกับนางเช่นนี้ พอหันกลับไปโบกมือ ชั่วแวบหนึ่งนั้น นางก็อดคิดจะเรียกชื่อเขาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ ราวกับเขายังอยู่ข้างกายนาง 

 

 

ที่แท้นางพึ่งพาเขามาตลอดเช่นนี้ 

 

 

นางโดดเดี่ยวมาหลายปี ตัวคนเดียวมาตลอดมา เติบโตคนเดียว ต้องเผชิญกับกองทัพนับหมื่นแสนเพียงลำพัง เผชิญสภาพวุ่นวายเพียงลำพัง ในที่สุดก็มีคนก้าวเข้าสู่โลกโดดเดี่ยวของนางอย่างเงียบๆ แต่นางไม่มองไม่กระจ่าง ยังไล่ตามแสงที่ไม่ใช่ของตนเอง จนกระทั่งสูญเสียเขาไป ความเจ็บปวดราวกับอาจจะทำให้เสียสติได้ นางพลันเข้าใจ ทุกอย่างเพราะอะไร 

 

 

ของที่ได้มาง่าย คนมักจะไม่เห็นค่า ยามนี้นางรู้แล้ว นางจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดตามเขากลับมาอีกครั้ง 

 

 

อีกครั้ง ตามเขากลับมาอีกครั้ง หากหาเขาพบ ก็จะไม่ปล่อยเขาไปอีก 

 

 

 

 

 

**** 

 

 

 

 

 

มีชีวิตอยู่ คำนี้สำหรับอูถงแล้ว ความหมายคือการแก้แค้น 

 

 

อย่างน้อยเขาก็หนีพ้นจากประตูผีมาได้ ยังยืนหยัดมีลมหายใจต่อได้ ก็เพื่อแก้แค้น เขาอาศัยจังหวะที่รองเจ้าสำนักและเจ้าสำนักไม่อยู่แอบส่งมารปีศาจที่นำมาแอบซ่อนไว้ในเขาปู้โจวซานมานานไปโจมตีสำนักเส้าหยาง ในใจเขาก็รู้สึกดีใจและสุขใจอย่างที่สุด 

 

 

ความรู้สึกนี้ พริบตาก็กลายเป็นความว่างเปล่าและชาหนึบ 

 

 

หลังแก้แค้นเสร็จ เหตุผลในการมีชีวิตเขาคืออะไรกัน ความสุขที่เขาเคยมีวันหนึ่งทำให้เขาต้องรำลึกถึงมันไปตลอดชีวิตงั้นหรือ เขาไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น ยามทุกอย่างจบสิ้น ก็แสวงหาสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเรียกว่าความสุข? 

 

 

รองเจ้าตำหนักเคยแอบบรรยายภาพเขาลับหลังว่าเหมือนดังผีร้ายที่หลบหนีออกจากขุมนรก ใช้คำว่าโหดเหี้ยมกับโหดร้ายมาบรรยายพฤติกรรมของเขา เขายังเคยแอบยินดี คิดว่าเช่นนี้ไม่มีอะไรไม่ดี เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยลืมความแค้นยิ่งใหญ่แม้สักวินาที ใจเขายังคงมีความแค้นซ่อนลึก 

 

 

แต่หลังจากความแค้นจบแล้ว คู่แค้นเขาตายหมดแล้ว เขายังแค้นอะไรอีก พลังชีวิตเขาก็คือพลังความแค้น วันหนึ่งที่สูญสิ้นไป เขายังเหลืออะไรอีก 

 

 

อยู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้างดงามน่ารักของหลิงหลง ในใจร้อนฉ่า มีความรู้สึกหนึ่งล้นปรี่ขึ้นมาในใจ 

 

 

จริงๆ แล้วเขาควรมีความสุข ตอนจับนางขังไว้ที่เขาเกาซื่อซาน ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่สว่างไสวที่สุดในชีวิตอันมืดดำของเขา แม้ว่านางจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ไม่เคยยิ้มให้เขาสักครั้ง แต่ความสดใสเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิตของนางเช่นนั้นต่างจากเขาสิ้นเชิง เขาทั้งโกรธแค้นและชื่นชมสีสันเช่นนั้น คิดจะทำลายให้สะใจ แต่ก็อดเทิดทูนไว้ในอ้อมกอดไม่ได้ 

 

 

เขาคือผีร้ายที่ปีนออกจากนรก บ้าคลั่งและโหดเหี้ยม แต่วันหนึ่งที่ออกจากนรก เขาก็ไม่มีอะไรเหลือเลย เขาก็มีสิ่งที่คิดอยากได้ อยากจะคว้าสิ่งนั้นไว้ในมือให้แน่น แต่เขารู้ดีว่าสิ่งนั้นไม่ว่าเมื่อใดก็ไม่อาจเป็นของเขาได้ 

 

 

ในเมื่อไม่เป็นเขา เช่นนี้ไม่สู้ให้เขาทำลายทิ้ง! สีหน้าเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ความชั่วร้ายที่ว่าหากตนเองไม่ได้ คนอื่นก็อย่าได้คิดได้ไป ยามนี้สำนักเส้าหยางน่าจะกวาดล้างสังหารราบคาบแล้ว คิดถึงหลิงหลงเผ็ดร้อนน่ารักแล้วก็ทำเอาเลือดในกายร้อนฉ่า ในที่สุดก็จบชีวิตสดใสของนาง ในใจเขารู้สึกร่ำร้องร้อนแรงอย่างไม่อาจบรรยาย 

 

 

ความรู้สึกทำให้สองมือเขาสั่นเทาเล็กน้อย มีดขูดเล็บไม่ระวังก็บาดมือ พลันรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้วแน่น จ้องมองบาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนใช้มือค่อยๆ ลูบ 

 

 

วันหน้าจะทำเช่นไรต่อ คนมากมายชอบถามคำถามว่าหลังเรื่องนี้จบลงจะทำเช่นไรต่อ เขาไม่ถามตนเองว่าวันหน้าทำเช่นไร เขามีชีวิตกับปัจจุบัน รอให้แก้แค้นสำเร็จก็จะมีผลแห่งความสุข 

 

 

ด้านนอกมีเสียงก้องดังราวกับเสียงร้องเพลง แต่ก็เหมือนเสียงฟ้าผ่า อูถงวางมีดเล็กที่กำลังตัดเล็มเล็บอยู่ลง ค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ นอกประตูมีลูกน้องรายงานว่า “เซินซูและอวี้ลวี่ปรากกฎตัว ประตูแดนปรภพเขาปู้โจวซานกำลังจะเปิดแล้ว” เขายิ้ม กล่าวว่า “อย่างไร ยังไม่ถึงเดือนสอง รอจะปล่อยผีร้ายออกมาไม่ไหวแล้วหรือ” 

 

 

ลูกน้องนั่นกล่าวว่า “ได้ยินว่าราชันสวรรค์มีคำสั่งปล่อยตัวครั้งใหญ่ ให้บรรดาผีร้ายและคนทำผิดในแดนปรภพและแดนสวรรค์ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวสามวัน นี่คือ…ปล่อยตัวครั้งใหญ่ที่หาได้ยากในพันปี” 

 

 

“คิดเล่นอะไร…” อูถงหัวเราะเยียบเย็น ก็ไม่รู้เขาหัวเราะราชันสวรรค์หรือหัวเราะการปล่อยตัวครั้งใหญ่ 

 

 

อยู่ๆ เขาก็รู้สึกวุ่นวายใจ ไม่คิดจะอยู่ในห้องโถงมืดทึมนี่ต่อ จึงกล่าวว่า “ตั้งแต่มาเขาปู้โจวซาน ข้ายังไม่เคยเห็นประตูใหญ่แดนปรภพที่เซินซูและอวี้ลวี่เฝ้าเลยว่างดงามเพียงใด ครั้งนี้ต้องไปดูสักหน่อย” 

 

 

คนผู้นั้นมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม รู้ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีนัก ตนเองอย่าได้ลูบเสี้ยนตำมือหาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด แม้ว่ารองเจ้าสำนักขวาผู้นี้มาได้ไม่กี่ปี แต่วิธีการโหดเหี้ยมนั้นไม่เป็นรอง เมื่อก่อนมีลูกน้องที่เป็นมนุษย์ไม่ยอมสยบให้เขา คิดทรยศ ปรากฏพอเขารู้ตัวก่อนก็ไม่เสียเวลา ส่งคนไปจับกุมทันที จับทุกคนมาทรมานจนตายต่อหน้าคนอื่นๆ วิธีการจัดการด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ มาจนวันนี้ ยามนึกถึงก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่คลาย 

 

 

ล้วนกล่าวว่ามารปีศาจโหดเหี้ยม มนุษย์ธรรมดาคิดจะควบคุมมารปีศาจก็ต้องทำได้โหดเหี้ยมยิ่งกว่า เห็นชัดว่าอูถงเข้าใจหลักการนี้อย่างลึกซึ้ง 

 

 

มารปีศาจเขาปู้โจวซานถูกเขาส่งไปทลายสำนักเส้าหยางแล้ว พวกสำนักเซวียนหยวนใช้ไม่ได้พวกนั้นก็ตามแต่เจ้าตำหนักใหญ่สั่งการ ให้พวกเขาไปเกาะฝูอวี้ ตอนนี้เหลืออยู่ที่นี่ไม่กี่คน ล้วนเป็นองครักษ์ประจำตัวเขา เห็นอูถงเดินออกไป ก็พากันตามออกไป 

 

 

ไกลออกไป เห็นเพียงเงายักษ์สีทองสองลำแสงลากเขาปู้โจวซานออกก่อนจะเข้าไปฉีกเขานั้นทั้งมือเปล่า ลมเย็นพัดหวีดหวิว ด้านในมีเสียงฝูงผีร้ายกลุ่มใหญ่ดำมืดส่งเสียงร้องบ้าคลั่ง ได้กลิ่นเหม็นเน่ามาแต่ไกล อูถงอุดจมูก กล่าวเยาะว่า “เหม็นจริง…เจ้าพวกนี้ควรค่าจะเรียกว่าผีร้ายหรือ” 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ ก็เห็นเวรยามเฝ้าด้านหน้าที่ไกลออกไปวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ เสียงแหลมดังขึ้น “รองเจ้าสำนักขวา! มีศัตรูบุก!” 

 

 

“อ้อ? ศัตรูอะไร?” อูถงถามขึ้นเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาคิดว่าผีร้ายพวกนั้นบุกเข้ามาอย่างไม่รู้จักใช้ตามอง 

 

 

คนผู้นั้นร้อนใจกล่าวว่า “คือ…คือแม่นางน้อยที่เคยมาครั้งก่อนผู้นั้น! พี่น้องเฝ้าอยู่ด้านนอกล้วนถูกสังหารสิ้น!” 

 

 

แม่นางน้อย? อูถงยังไม่ทันตั้งตัว พลันนึกถึงหลิงหลง จะเป็นนางหรือไม่ ฮาๆ…เขาถึงกับอดอยากจะหัวเราะออกมาไม่ได้ ดีใจสุดขีด นางไม่ตายก็ย่อมดีที่สุด อืม นางไม่สนใจอันใดบุกเขาปู้โจวซานเช่นนี้ หรือว่าเพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่นาง 

 

 

เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกลิงโลดยินดี สะบัดเสื้อคลุมไหล่หัวเราะกล่าวว่า “แม่นางน้อยอะไรกัน ข้าไปดูหน่อย” 

 

 

ครั้งนี้หากชิงตัวนางมาได้ จะจับขังไว้ จะไม่ปล่อยไปอีก!