บทที่ 214 อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

เมื่อเผชิญหน้ากับน้ำลายของราเวนติ มอร์ริสถึงกับผงะถอยหลังกลับและรีบแก้ต่าง “ใจเย็นๆ ราเวนติ ใจเย็นๆ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกก็คือการค้นพบตารางธาตุสามารถแสดงถึงพรสวรรค์ของลูเซียนและวิธีคิดของเขา แต่มันไม่ได้เปิดเผยถึงความรู้ในอาร์คานาศาสตร์ของลูเซียน ระดับอาร์คานาของเขาไม่มากพอที่จะทำให้เขาเป็นผู้คว้ารางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม”

ในการเผชิญกับราเวนติ ซึ่งมีระดับอาร์คานาสูงกว่าเขา มอร์ริสรู้สึกกดดันเช่นกัน เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ได้มาจากราชตระกูลและเชี่ยวชาญพิเศษในสำนักเวทธาตุ ราเวนติก็เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นประธานกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุ

แต่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของราเวนติ แม้เขาจะเป็นจอมเวทระดับเก้า นักเวทระดับเก้า ก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เขาไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกสภาสูงสุด หากพูดกันในเชิงเปรียบเทียบแล้ว แม้ว่าเจ้าแห่งวายุจะขึ้นชื่อในเรื่องอารมณ์เดือดดาลง่ายเช่นกัน แต่ความรู้เชิงวิชาการของเฟอร์นันโดก็สามารถปิดปากใครก็ตามที่ไม่ชอบเขาได้

มหาจอมเวทบางคนที่อยู่ในห้องประชุมถึงกับขยับเก้าอี้ถอยหลังเล็กน้อย เนื่องจากทุกคนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับมอร์ริสก่อนหน้านี้ ซึ่งน้ำลายของราเวนติกระเด็นใส่หน้า

เมื่อราเวนติเชื่อในเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับใครก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะสูงหรือต่ำ เขาจะสนับสนุนสิ่งที่เขาเชื่ออย่างตรงไปตรงมาที่สุด เคยมีข่าวลือเล่าว่าราเวนติกับเจ้าแห่งวายุตะโกนโต้เถียงกันอย่างรุนแรงครั้งหนึ่งด้วยคำถามเชิงวิชาการ แต่โชคร้ายที่ราเวนติเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด และเจ้าแห่งวายุก็ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก

อย่างไรก็ตาม ราเวนติไม่เคยปรับเปลี่ยนอารมณ์ฉุนเฉียวของเขา “ไม่เอาน่า มอร์ริส อย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย! เราก็รู้ดีถึงวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ก็เพื่อเป็นเกียรติให้กับนักเวทที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสำนักเวทธาตุและการอุทิศตนของเขาสมควรได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ แล้วท่านกล้าดียังไงมาบอกข้าว่าอีวานส์ไม่มีคุณสมบัติพอ?! และถ้าท่านคิดว่าเขาไม่ดีพอ แล้วเมอเรดิธล่ะ?! ท่านคิดว่านางมีคุณสมบัติเพียงพออย่างนั้นหรือ?!”

มอร์ริสรู้สึกหน้าชา เนื่องจากเหตุผลแท้จริงที่เขาไม่สนับสนุนถูกราเวนติเปิดเผยต่อหน้าทุกคน เนื่องจากเขาลำบากใจที่จะใช้วัตถุดิบอันมีค่าในการหลอม ‘แหวนมงกุฎโฮล์ม’ อุปกรณ์เวทระดับเจ็ด

“อืม… ข้าเข้าใจท่าน…” เมื่อเผชิญกับการตะโกนเสียงดังของราเวนติ มอร์ริสรีบยกมือขึ้นปิดหน้า “ข้าหมายถึง… ผู้ชนะรางวัลมงกุฎโฮล์มก่อนหน้านี้ได้ค้นพบวิธีวิจัย ทฤษฎี หรือผลการวิจัยที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ แต่ตารางธาตุนี้มันเหมือนกับ… ลองดูสิ วาดขึ้นมาจากผลลัพธ์ที่มีอยู่แล้ว”

ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไปกันใหญ่ และก่อนที่ราเวนติจะเริ่มพ่นน้ำลายอีกรอบ แกสตันกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ท่านมอร์ริส เราเข้าใจจุดยืนของท่าน และข้าเชื่อว่าท่านก็เห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของตารางธาตุนี้ ถ้าเรามองไปยังผู้คว้ารางวัลท่านก่อนๆ เราจะรู้ว่าเมอเรดิธได้รับรางวัลเพราะนางนำเสนอ ‘กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส’ และนางก็ค้นพบธาตุใหม่ ส่วนท่านโดนัลด์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในอัลลินตอนนี้ ก็นำเสนอการวิเคราะห์สเปกตรัม และท่านก็ค้นพบธาตุใหม่เช่นกัน ขณะที่ตารางธาตุของลูเซียนก็นำไปสู่การค้นพบธาตุใหม่สองชนิด ถ้าพูดกันตามตรง ข้าไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมลูเซียนไม่สมควรได้รับรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ นอกจากนี้ เมอเรดิธก็เป็นเพียงจอมเวทระดับหนึ่ง ตอนที่นางคว้ารางวัลนี้”

มอร์ริสหมดเหตุผลที่จะกล่าวอ้าง เมื่อเขามองไปรอบๆ และพยายามหาเสียงสนับสนุน ไม่มีใครยืนอยู่ข้างเขา ฟลอเรนเซีย จากคณะกรรมการกิจการ ซึ่งน่าจะเป็นพันธมิตรข้างเดียวกับมอร์ริส กลับพยักบอกเป็นนัยว่าไม่เห็นด้วย

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น…” มอร์ริสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ข้าตกลง เรามาลงคะแนนเสียงกันเถอะ”

ราเวนติมองไปรอบๆ แล้วเห็นจอมเวทส่วนใหญ่ยกมือสนับสนุน ยกเว้นสมาชิกหลายคนจากสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม

“เอาล่ะ…” มอร์ริสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเล็กน้อย “การตัดสินผ่านมติยอมรับ กลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์มขอประกาศให้ ลูเซียน อีวานส์ เป็นผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ เรื่องต่อไป… มาพูดถึงชื่อของแหวนสำหรับอีวานส์ และประเภทเวทมนตร์ที่จะบรรจุถาวรลงในแหวนเป็นของกำนัลสำหรับผู้ชนะรางวัล สำหรับการออกแบบแหวน… ฟลอเรนเซีย ข้ารู้ว่าเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องนี้”

ฟลอเรนเซียเป็นสาวงามผมสีทอง นางชำเลืองมองมอร์ริส “ค่ะ ข้าถนัด ข้าเองก็เต็มใจอย่างยิ่งในการออกแบบแหวน แต่ท่านอาจารย์คะ ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการเสียเงินจ้างนักออกแบบอัญมณีมืออาชีพ”

ฟลอเรนเซียเป็นจอมเวทระดับหก นักเวทระดับแปด  ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องเวทธาตุ เวทอัญเชิญ แม่เหล็กไฟฟ้า และแรง นางยังมีความสนใจในเรื่องเวทมนตร์คำสาปเป็นพิเศษ ในแง่ของความสำเร็จ ฟลอเรนเซียเป็นหญิงสาว ‘อายุน้อย’ ที่งดงาม ขณะที่อายุยังไม่รู้เลยเจ็ดสิบปี นางกลายเป็นลูกศิษย์ของมอร์ริส หลังจากมอร์ริสเลื่อนระดับเป็นนักเวทระดับเก้า ส่วนฟลอเรนเซียเองก็ขึ้นเป็นนักเวทชั้นอาวุโสภายในอายุเพียงสามสิบปี และปัจจุบันนี้ นางเป็นสมาชิกคณะกรรมการกิจการและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม

“…” มอร์ริสมีสีหน้าจริงจัง “ในฐานะประธานเจตจำนงแห่งธาตุและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม ข้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบดูแลงบประมาณของเรา”

“ข้าทราบค่ะ ท่านอาจารย์” ฟลอเรนเซียยิ้มกว้าง “เราควรตั้งชื่อแหวนของลูเซียนว่าอย่างไร? อะไรที่เกี่ยวกับ…ลำดับธาตุไหมคะ?”

แกสตันมองฟลอเรนเซียด้วยดวงตาที่สีแปลกประหลาด “ไม่ชัดเจนหรือไม่บ่งบอกถึงสำนักเวทธาตุมากพอ”

“ลางสังหรณ์?” ล็อกลินน์เสนอ

“นั่นดูเหมือนชื่อของ ‘รางวัลเหรียญจันทราเงิน’ มากกว่า ลินน์ และข้าคิดว่า ‘กฎ’ ก็ฟังดูไม่เลว ลิเดีย สมาชิกหญิงจากคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา ซึ่งดูสง่างามด้วยสายเลือดปีศาจของนาง

“ไม่ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับธาตุเลย” ฟลอเรนเซียส่ายหน้า

สตรีหลายคนที่อยู่ในที่ต่างประชุมเกือบจะถกเถียงกัน จนกระทั่งเหล่านักเวทฝ่ายชายรู้สึกกระอักกระอ่วน พวกเขามองไปที่ราเวนติ หวังว่าเขาจะเสนอชื่อดีๆ ออกมา

อย่างไรก็ตาม ราเวนติไม่ได้สนอกสนใจในการตั้งชื่อแหวนแต่อย่างใด แม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่เขามักไม่ขัดจังหวะการสนทนาของสตรี

ตอนนั้นเอง มอร์นริสยืนขึ้นตัวตรงด้วยท่าทางจริงจัง เพียงชั่วอึดใจ มอร์ริสทุบลงบนโต๊ะและกล่าวกับนักเวททั้งหลาย “ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ท่านหญิงแฮททาเวย์ เพิ่งแจ้งมาว่าแหวนวงนี้ควรตั้งชื่อว่า ‘ธาตุ’ เนื่องจากการค้นพบของลูเซียนครอบคลุมธาตุทั้งหมด”

ในฐานะสตรี แฮททาเวย์ก็สนใจในการตั้งชื่อแหวนเช่นกัน

นักเวทชั้นอาวุโสทั้งหลายต้องยอมรับว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เหมาะกับแหวน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าแหวนวงนี้เป็นรางวัลที่ใหญ่เกินไปสำหรับอีวานส์ แม้กระทั่งคอนสแตนตินและแฮททาเวย์เองก็ยังไม่ได้รับแหวนที่ชื่อ ‘ธาตุ’ ตอนที่ทั้งสองได้รับรางวัลนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นคำแนะนำที่มาจากแฮททาเวย์เอง ดูเหมือนไม่มีเหตุผลที่ใครจะปฏิเสธชื่อนี้

ฉะนั้น ราเวนติจึงรีบสรุป “ธาตุ ควรเป็นชื่อของแหวนวงนี้ มอร์ริส เจ้าตัดสินใจเลือกว่าจะมอบเวทมนต์อะไรให้กับแหวน”

ไม่เหลือเวลาให้เราสตรีเถียงกันอีกต่อไป

มอร์ริสไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในสำนักเวทธาตุ แต่ยังรวมถึงการเล่นแร่แปรธาตุด้วย

“แต่ยังเหลืออีกเรื่องหนึ่ง” ฟลอเรนเซียกล่าวเสริม “ลูเซียนเป็นจอมเวทระดับสี่แล้วตอนนี้ ถ้าพูดกันในทางวิชาการแล้ว เขาก็เป็นนักเวทชั้นกลาง ข้าจึงกังวลว่าอาจมีใครใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการมอบภารกิจให้กับเขาผ่านคณะกรรมการกิจการ ข้าคิดว่า แม้เรื่องนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะลูเซียนอยู่ภายใต้การดูแลของเราแล้ว เราก็ไม่ควรเปิดช่องว่างให้ศัตรู”

แกสตันไขว้นิ้วพยักหน้า “ลูเซียนเป็นเพียงจอมเวทชั้นกลาง ไม่ใช่นักเวทชั้นกลาง เราควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าลูเซียนจะได้รับภารกิจเกี่ยวกับการวิจัยเท่านั้น แต่ไม่ใช่การสู้รบหรือการผจญภัย ฟลอเรนเซีย ข้าอยากให้เจ้าหาภารกิจวิจัยง่ายๆ ให้ลูเซียนทำไปก่อนเพื่อให้เขาไม่ว่าง แต่ว่า ข้าก็ยังอยากให้มั่นใจว่าเราลงทุนกันขนาดนี้ เพราะอีวานส์จะเข้าร่วมกับเจตจำนงแห่งธาตุของเรา”

ฟลอเรนเซียพยักหน้าและยิ้ม ก่อนที่นางจะถามต่อ “ในทีนี้ มีใครประสงค์เป็นที่ปรึกษาให้กับลูเซียนไหม?”

จอมเวทส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประชุมส่ายหน้าในทันที ใครจะกล้าไปสั่งสอนเจ้าของรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ เมื่อตัวพวกเขาเองยังไม่ใกล้เคียงที่จะได้รับรางวัล

ตั้งแต่รางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ก่อตั้งขึ้น มีการมอบแหวนรางวัลไปแล้วทั้งหมดยี่สิบห้าวง ในบรรดายี่สิบห้าวงดังกล่าว แหวนหกวงตกเป็นของจอมเวทระดับสูงและผู้วิเศษชั้นตำนานจากสภาสูงสุด และในบรรดาผู้ได้รับรางวัลที่เหลืออีกสิบเก้าคน แปดคนเสียชีวิตไปแล้วด้วยเหตุผลต่างๆ นานาในอดีตตลอดสองร้อยเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา อีกสามคนไม่ได้พัฒนางานวิจัยของตนเองต่อ และอีกหนึ่งคนอุทิศชีวิตให้กับการศึกษาและไม่ยอมเข้าร่วมกับกลุ่มใดเลย โดนัลด์ มอร์ริส ราเวนติ แกสตัน และจอมเวทอีกสามคนก็เป็นอีกเจ็ดคนผู้ชนะรางวัลที่เหลือ ปัจจุบัน ยกเว้นโดนัลด์และมอร์ริส อดีตสมาชิกสภาสูงสุด โดนัลด์เป็นสมาชิกสภาสูงสุด และมอร์ริสเป็นประธานเจตจำนงแห่งธาตุ และประธานสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม ส่วนคนที่เหลือเป็นสมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา

ดังนั้น ผู้คว้ารางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ก็อาจไม่สามารถเข้าร่วมคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา แต่ใครก็ตามที่เชี่ยวชาญในสำนักเวทธาตุและเข้าร่วมกับคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาต้องได้รับแหวนจากรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’

แกสตันลูบแหวนเพชรสีน้ำเงินในมือซ้ายอย่างเบามือและพูดออกมาว่า “อีวานส์ยังหนุ่ม และเขายังมีหนทางอีกยาวไกลให้เดิน แม้ว่าเราจะชื่นชมพรสวรรค์และวิธีคิดของเขา ข้าก็ยังอยากรออีกสักหน่อยเพื่อดูสถานการณ์ของเขาก่อนตัดสินใจ”

แกสตันกังวลว่าความสำเร็จของลูเซียนอาจเป็นความสำเร็จเพียงชั่ววูบ

“ข้าเห็นด้วย” ราเวนติพยักหน้า “เจ้าต้องระวังกับการมอบหมายภารกิจให้อีวานส์ ฟลอเรนเซีย และเจ้าต้องเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิดด้วย”

“ถ้าอย่างนั้น… ขอแสดงความยินดีกับเจ้าของรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์มที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์! ชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบเอ็ด!” มอร์ริสยืนขึ้นและเริ่มปรบมือเป็นคนแรก “ข้าต้องกลับไปทำงานเรื่องการหลอมแหวนก่อน โกดังของเจตจำนงแห่งธาตุและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์มคงต้องขาดทุนครั้งใหญ่เพราะแหวนวงนี้”

อันที่จริง ลูเซียนยังอายุไม่ถึงสิบเก้าปี

เนื่องจากบทความของลูเซียน การประชุมใหญ่ประจำปีจึงใช้เวลายาวนานกว่าที่คาด ห้าวันต่อมา ณ ช่วงเย็นวันเสาร์ ราเวนติก็ประกาศปิดการประชุมใหญ่ในที่สุด

“ข้าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นนำเสนอระหว่างการประชุมประจำปีนี้จะเป็นที่จดจำของผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ทุกคน เพระฉะนั้น เจตจำนงแห่งธาตุและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์มจึงมีผลการตัดสินใจ เราตัดสินใจประกาศให้ลูเซียน อีวานส์ ได้รับรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ เพื่อเป็นเกียรติกับผลการศึกษาอันยิ่งใหญ่ต่อสำนักเวทธาตุ! เชิญขึ้นมาบนเวที อีวานส์!”

แม้พวกเขารู้อยู่แล้วว่าไม่นานเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น แลร์รี่และทิโมธีก็ยังคงตกใจที่ทั้งสององค์กรด่วนตัดสินใจกันเร็วขนาดนี้

ลูเซียนยืนขึ้น เสียงปรบมือดังสนั่นรอบตัวเขา

เมื่อลาซาร์มองสหายรักของเขากำลังเดินตรงไปที่หน้าเวทีด้วยความมั่นใจและสุขุม เขารู้สึกว่าช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเกิดขึ้นราวกับความฝัน เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่กำลังยืนอยู่บนเวทีตอนนี้เป็นคนเดียวกับที่ไม่รู้จักอะไรเลย ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองอัลลิน เมื่อสองเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา

ราเวนติพยักหน้าก่อนจะกล่าวกับเขา “ณ บัดนี้ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ท่านมอร์ริส ฮอฟเฟนเบิร์ก ประธานเจตจำนงแห่งธาตุและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม ให้เกียรติมาเป็นมอบรางวัลแก่อีวานส์”

เหล่าจอมเวทไม่คาดมาก่อนว่าประธานจะมาด้วยตัวเอง จนตอนนี้ทุกคนต่างมองมอร์ริสพร้อมเพรียงกัน

ตามหลังขบวนแถวนักเวทชั้นอาวุโสจากเจตจำนงแห่งธาตุและสถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม มอร์ริสเดินขึ้นบนเวทีด้วยตัวเองและยืนอยู่ข้างๆ ลูเซียน พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ขอแสดงความยินดีด้วย อีวานส์ ก่อนที่ข้าจะมอบรางวัลให้กับเจ้า ข้าอยากรู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”

จอมเวทต่างๆ เริ่มปรบมืออย่างอบอุ่นอีกครั้ง ลูเซียนมองลงไปที่จอมเวทข้างล่างจากบนเวที ว่าแล้วเขาก็ค้อมศีรษะลงคำนับและยิ้ม

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ลูเซียนเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากข้าสามารถมองออกไปได้ไกล นั่นก็เพราะข้ายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์”

………………………