ผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจ
หนังศีรษะของเธอด้านชา สันหลังเย็นเยียบ เด็กสองคนนี้ไม่มีทางรอดแล้ว!
ในตอนนั้นเอง เงาร่างของใครบางคนที่ข้างกายเธอก็โผออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นไม่ต่างอะไรกับฉากในภาพยนตร์ เงาร่างนั้นโผไปหยุดอยู่ตรงหน้าม้าอย่างกล้าหาญ พร้อมกับที่เงาร่างสีน้ำเงินอีกสายหนึ่งก็พุ่งไปตรงหน้าม้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เงาร่างสีดำทางซ้ายและเงาร่างสีน้ำเงินทางขวาต่างพุ่งตรงไปหาเด็กทั้งสองอย่างรวดเร็วราวกับธนูสองดอก
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นตกใจนั้น สมองของกู้จิ้งเหลือเพียงความว่างเปล่า เธอเบิกตามองเงาร่างของคนข้างกายโผไปอุ้มเด็กชุดสีน้ำเงินขึ้นมา จากนั้นเพียงสะกิดเท้าครั้งเดียว ร่างของเขาก็พุ่งกลับไปที่ข้างทางอย่างสง่างาม การเคลื่อนไหวทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น
คนผู้นี้คือเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งเมื่อครู่ยังยืนอยู่ข้างกายเธอ!
อันตรายจริงๆ… เขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย ดูราวกับฉากบู๊ในภาพยนตร์ไม่มีผิด!
ช่างกล้าหาญ ช่างองอาจนัก!
กู้จิ้งร้องอุทานอยู่ในใจ
สตรีในชุดผ้าเนื้อหยาบสีเหลืองหม่นคนหนึ่งพุ่งเข้ามารับลูกของตัวเองไปจากมือของเซียวเถี่ยเฟิง จากนั้นก็พร่ำขอบคุณไม่หยุดแถมยังทำท่าจะคุกเข่า ต่อให้ฟังไม่เข้าใจทั้งหมด กู้จิ้งก็รู้ว่านางคงจะพูดว่า “ผู้มีพระคุณ ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตลูกของข้าไว้ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย!”
แต่ในตอนนั้นเองกลับมีเสียงร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังของสตรีอีกคนหนึ่งดังขึ้น “หยาเป่าเอ๋อ หยาเป่าเอ๋อ หยาเป่าเอ๋อของข้า!”
กู้จิ้งรีบหันไปมองด้วยความตกใจ ที่แท้เงาร่างสีน้ำเงินที่พุ่งมาจากด้านขวาเพียงแค่ใช้เท้าเตะเด็กไปทางด้านหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปคว้าบังเหียนของม้าที่กำลังบ้าคลั่งเอาไว้
เขามีแรงมาก สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของม้าที่กำลังบ้าคลั่งได้ด้วยการออกแรงเพียงครั้งเดียว ม้าตัวนั้นถูกจับเอาไว้ก็พยายามกระโดดขึ้นลงอยู่กับที่อย่างบ้าคลั่ง แต่เขาก็ออกแรงจับบังเหียนของมันเอาไว้ เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นเรียกได้ว่ามากพอจะโค่นขุนเขา ดูองอาจห้าวหาญกว่าเซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้กี่เท่า!
เพราะการอุ้มเด็กคนหนึ่งไม่ยาก แต่การหยุดม้าที่กำลังบ้าคลั่งไม่ใช่เรื่องง่าย!
การกระทำที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้สมควรได้รับเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว แต่ยามนี้กลับไม่มีใครส่งเสียงโห่ร้องหรือปรบมือชื่นชมเขาเลย
เพราะสายตาของทุกคนกำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างของหยาเป่าเอ๋อซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น
เดิมเด็กน้อยก็ตกใจมากอยู่แล้ว ตามหลัก เมื่อร่างหล่นลงมากระแทกพื้น อย่างมากก็แค่เจ็บก้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีเด็กบ้านไหนที่ไม่เคยหกล้มบ้าง? แต่ครั้งนี้กลับบังเอิญตรงที่ว่าตอนที่ร่างของแกร่วงลงมา หัวบังเอิญไปกระแทกกับแผงขายของที่ด้านข้างเข้าพอดี ทีนี้ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ เพราะบาดแผลบนศีรษะนั้นมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
กู้จิ้งเห็นแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้
เซียวเถี่ยเฟิงคืนเด็กให้สตรีสวมชุดผ้าเนื้อหยาบสีเหลืองหม่นเสร็จก็ตั้งท่าจะยื่นมือไปห้ามไม่ให้อีกฝ่ายคุกเข่า จู่ๆ กลับได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กอีกคนเสียก่อน พอหันไปเห็นเหตุการณ์ทางด้านนั้น เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ความสนใจของทุกคนมุ่งไปยังสถานที่เกิดเหตุ ไม่มีใครสนใจมองกู้จิ้งทั้งนั้น
กู้จิ้งแอบล้วงมือเข้าไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล, ยา และเจลประคบเย็นออกมาจากกระเป๋า
นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เจลประคบเย็นยังเย็นอยู่แถมยังมีไอสีขาวลอยกรุ่นเหมือนเพิ่งหยิบออกมาจากตู้เย็น แต่ข้าวของชิ้นอื่นๆ กลับไม่ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิของมันสักนิด
กู้จิ้งรีบวิ่งไปหาเซียวเถี่ยเฟิง จากนั้นก็ชี้ไปที่ฝูงชนแล้วชี้ข้าวของของตัวเอง
เซียวเถี่ยเฟิงเคยเห็นเธอใช้วิธีผายปอดช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้น น่าจะเข้าใจความหมายของเธอ เขาไม่กล้าชักช้าอยู่อีก พอตั้งสติได้ก็รีบคว้าแขนเธอเดินฝ่าฝูงชนเข้าไป ปากก็ร้องตะโกนไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นการร้องบอกให้คนอื่นๆ หลีกทาง
ไม่นานนัก เซียวเถี่ยเฟิงก็พาเธอเบียดเข้าไปได้สำเร็จ
เซียวเถี่ยเฟิงพูด “@$&$@” กับทุกคนรอบหนึ่งพลางชี้มาที่เธอ กู้จิ้งพอจะทายได้ว่าเขาคงกำลังบอกคนอื่นๆ ว่าเธอจะช่วยทำแผลให้เด็กคนนั้น
แต่สีหน้าของทุกคนเหมือนไม่ค่อยเชื่อนัก พวกเขาต่างก็หันมามองเธอด้วยแววตาสงสัย
มารดาของเด็กคนนั้นทำอะไรไม่ถูก นางเอาแต่กอดลูกร้องไห้ ไม่ยอมปล่อยมือ
กู้จิ้งกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจก่อนจะหันไปมองเซียวเถี่ยเฟิง “ข้าช่วย รีบ!”
คงไม่ต้องให้เธอแย่งเด็กมาเองหรอกนะ?
ถึงเธอจะพอฟังเข้าใจ แต่ก็พูดไม่คล่อง ทุกอย่างต้องอาศัยเขาแล้ว!
เซียวเถี่ยเฟิงมองสีหน้าร้อนใจของกู้จิ้งแล้วก็เข้าใจทันที เขารีบพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “อาซ้อท่านนี้ ภรรยาข้าเป็นหมอ ให้นางดูก่อนเถิด”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นเซียวเถี่ยเฟิงมีรูปร่างหน้าตาสง่างาม น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความจริงใจก็ยอมปล่อยลูกให้กู้จิ้งตรวจดูอาการ
คิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเองกลับมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนว่า “อย่าไปเชื่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนดี นางมีอาคม!”
เซียวเถี่ยเฟิงมองไปก็พบว่าคนผู้นี้คือจ้าววั่งโก่ว เป็นหนึ่งในคนตระกูลจ้าวที่ติดตามจ้าวจิ้งเทียนมาในครั้งนี้
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาพากันหันขวับมามองปีศาจสาวด้วยแววตาสงสัย
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว “อาซ้อท่านนี้ ท่านเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี แต่ภรรยาของข้าเจตนาดี อยากจะช่วยรักษาอาการให้เด็กคนนี้จริงๆ ตอนนี้แกบาดเจ็บไม่น้อย จะมัวชักช้าไม่ได้”
“ข้า…ข้าต้องการหมอ!” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้โฮ
ผู้คนรอบด้านพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเซ็งแซ่ สุดท้ายก็มีคนเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ท่านหมอฉางร้านเป่าอันถังออกไปตรวจคนไข้นอกเมือง จะไปตามมาเดี๋ยวนี้ก็คงไม่ได้ ร้านขายยาของท่านหมอยังปิดประตูอยู่เลย!”
เลือดยังคงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลของเด็กชาย ไม่ว่าผู้เป็นมารดาจะพยายามใช้มืออุดเอาไว้อย่างไรก็ไม่ได้ผล
ใครบางคนช่วยไปหาขี้เถ้ามาให้ ไม่มียารักษาบาดแผลก็ใช้ขี้เถ้าห้ามเลือดไปก่อน!
กู้จิ้งซึ่งยืนอยู่ข้างกายเซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็แทบจะกระทืบเท้าด้วยความโมโห เด็กเล็กขนาดนี้ ติดเชื้อไปจะทำอย่างไร? หากเกิดภาวะติดเชื้อขึ้นมาย่อมไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิด คนสมัยโบราณแค่เป็นหวัดก็มีสิทธิ์ตายได้ เกิดติดเชื้อขึ้นมาจริงๆ อยู่ในยุคสมัยที่การแพทย์ล้าหลังเช่นนี้คงไม่มีทางรอดแน่!
กู้จิ้งถกแขนเสื้อขึ้น ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปแย่งเด็กมา
เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อน เขารู้นิสัยของเธอดีว่าคงจะห้ามไม่ได้ ดังนั้นจึงร้องตวาดขึ้นว่า “ภรรยาของข้ารู้วิชาแพทย์ ย่อมช่วยลูกของท่านได้ หากท่านไม่เชื่อก็เท่ากับทำร้ายลูกของตัวเอง! ในเมื่อหาหมอคนอื่นไม่ได้ ทำไมถึงไม่ให้นางลองรักษาดูเล่า?”
ผู้หญิงคนนั้นคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มอย่างสุภาพจะทำท่าดุร้ายขึ้นมาเช่นนี้ นางตะลึงงันไปทันที จากนั้นเห็นว่าไม่มีหมอคนอื่น จะปล่อยลูกไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ ต่อให้ไม่เชื่อก็จำต้องลองดู
นางมองกู้จิ้งด้วยสายตาหวาดระแวง แต่ก็ยอมส่งลูกมาให้
กู้จิ้งแทบจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว เธอรีบรับเด็กมาแล้วหยิบคีมกับสำลีฆ่าเชื้อที่เตรียมเอาไว้ออกมาลงมือทำแผล
จากนั้น ทุกคนก็ได้เห็นเธอใช้ของแหลมๆ บางอย่างทิ่มไปทิ่มมาตรงบาดแผลของเด็กเพื่อทำความสะอาดก่อนจะทาน้ำสีม่วงอมดำลงไป ทำให้บริเวณบาดแผลกลายเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลไปทันที
ผู้เป็นมารดาเห็นแล้วตื่นตระหนกมาก ใจอยากจะแย่งลูกกลับไปแต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายจึงได้แต่จ้องกู้จิ้งน้ำตาคลอ ราวกับว่ากู้จิ้งกำลังลงมือสังหารลูกของนางอย่างไรอย่างนั้น
กู้จิ้งเห็นบาดแผลค่อนข้างใหญ่ แต่เด็กอายุยังน้อย จึงใช้สำลีฆ่าเชื้อกดปากแผลเอาไว้แล้วใช้ผ้าพันแผลพันทับ ผ่านไปประมาณสิบนาที ในที่สุดเลือดก็หยุดไหล เธอจึงเตรียมลงมือเย็บแผลต่อ
ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างตะลึงงันกันไปหมด ผู้หญิงคนนี้กำลังถืออะไร? เข็ม? แถมยังมีด้ายด้วย? นางคิดจะทำอะไร?
เซียวเถี่ยเฟิงเองก็งุนงง เขาเคยเห็นนางใช้วิธีประกบปากถ่ายทอดไอหยางให้ผู้หญิงที่กำลังจะตายเท่านั้น ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านางต้องใช้เข็มเย็บผ้าในการช่วยคนด้วย?
ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ทำให้ทุกคนถึงกับปากอ้าตาค้าง
นางใช้เข็มเย็บผ้าเย็บแผลของเด็กเหมือนกำลังเย็บเสื้อผ้าไม่มีผิด!
แต่ละเข็มที่ทิ่มแทงลงไปในผิวเนื้อทำให้ทุกคนถึงกับตาค้าง ข้างหูเหมือนจะได้ยินเสียงเข็มทิ่มผ่านเนื้อครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เป็นมารดาแทบจะเสียสติอยู่แล้ว สองตาของนางจ้องลูกเขม็ง ปากร้องไห้คร่ำครวญพลางตั้งท่าจะโผเข้ามาแย่งลูกคืนไป แต่โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงขวางเอาไว้ได้
วีรบุรุษผู้ยับยั้งม้าบ้าคลั่งแต่กลับถูกทุกคนมองข้ามไปอย่างจ้าวจิ้งเทียนเดินมาดูบ้าง
ในใจเขารู้สึกท้อแท้ไม่น้อย
มีหลายครั้งที่เห็นชัดๆ ว่าเขาทำมากกว่าเซียวเถี่ยเฟิง เช่นวันนี้ เซียวเถี่ยเฟิงคิดจะช่วยคน ส่วนเขาไม่เพียงคิดจะช่วยคนแต่ยังคิดจะยับยั้งม้าอีกด้วย เพราะหากไม่ยังยั้ง ปล่อยให้มันวิ่งต่อไป มิต้องมีคนได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้หรอกหรือ?