เซียวเถี่ยเฟิงเอ่ยตอบทันที “ใช่ ข้าเข้าใจดี หากข้าเป็นเจ้า ข้าอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าเจ้าก็ได้”

จ้าวจิ้งเทียนตบบ่าเซียวเถี่ยเฟิง “เจ้าออกจากหมู่บ้านมาอย่างกะทันหัน ขาดเหลืออะไรก็บอกสักคำ ข้าจะส่งไปให้ หากมีเรื่องลำบากอะไร เจ้าก็บอกมาได้เต็มที่”

เซียวเถี่ยเฟิงมองเพื่อนรักในอดีตพลางกล่าวยิ้มๆ “จิ้งเทียน เราเป็นพี่น้องกัน ข้าย่อมเข้าใจดี หากต้องการอะไร ข้าจะไม่ลืมแน่ว่ายังมีพี่น้องที่ดีเช่นเจ้าอยู่”

จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้า จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะสูง หยิบธนูคันนั้นขึ้นมาดูแล้วหันมาพูดกับเซียวเถี่ยเฟิงว่า “นี่เป็นธนูชั้นเลิศ”

เซียวเถี่ยเฟิงพยักหน้า “ใช่”

จ้าวจิ้งเทียนหันไปพูดกับเถ้าแก่ “เฒ่าหลี่ นี่เป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันกับข้า ในเมื่อเขาชอบธนูคันนี้ก็ห่อให้เขาไปเถิด”

เฒ่าหลี่ฟังแล้วรีบค้อมกายรับคำอย่างยิ้มแย้ม “ต้องโทษข้าที่มีตาแต่ไร้แวว ไม่รู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพี่น้องของท่านจ้าว ผู้น้อยจะรีบทำตามที่ท่านจ้าวสั่งเดี๋ยวนี้”

ว่าแล้วก็หันไปสั่งคนงาน

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้คนที่สั่งธนูคันนี้ไว้คือจ้าวจิ้งเทียน เขารีบเอ่ยปากห้าม “จิ้งเทียน ช่างเถิด ข้าไม่ได้คิดจะซื้อธนูคันนี้ ในเมื่อเจ้าสั่งไว้ก็เก็บเอาไว้ใช้เองเถิด”

แต่จ้าวจิ้งเทียนกลับกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเห็นว่ามันดี ข้าก็จะมอบมันให้เจ้า ทำไม เจ้ารังเกียจหรือ?”

คำพูดนี้ทำให้เซียวเถี่ยเฟิงจนใจมาก สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวว่า “จริงๆ ข้าก็แค่ดูเท่านั้น ปกติข้าไม่มีอะไรทำ ว่างๆ ก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ธนูดีๆ แบบนี้สักนิด ให้ข้ามาก็เสียของเปล่า แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ตอนนี้เจ้ามีภาระหน้าที่สำคัญ สมควรต้องใช้ธนูดีๆ เช่นนี้”

จ้าวจิ้งเทียนได้ยินเช่นนี้ก็จ้องเขานิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ

เถ้าแก่กับคนงานซึ่งถือคันธนูเอาไว้จะก้าวต่อก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ใช่ ได้แต่ยืนอึดอัดทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

ทันใดนั้น จ้าวจิ้งเทียนก็ก้าวไปหยิบธนูคันนั้นขึ้นมาดูพลางพึมพำว่า “ธนูที่ดีเช่นนี้ หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็ไม่อาจครอบครองเอาไว้”

กล่าวจบเขาก็ใช้มือทั้งสองจับปลายสองด้านของคันธนูเอาไว้ ตาทั้งสองเบิกกว้าง ปากคำรามเสียงต่ำ ทันใดนั้น คันธนูก็ถูกหักเป็นสองท่อน

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที เซียวเถี่ยเฟิงเองก็ขมวดคิ้ว “จิ้งเทียน เจ้าทำอะไรกัน?”

จ้าวจิ้งเทียนใช้กำลังแขนของตัวเองหักคันธนู ใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ปากกล่าวเสียงหอบว่า “ข้ากับเจ้าเติบโตมาด้วยกัน เราสัญญากันว่ามีสุขต้องร่วมเสพมีทุกข์ต้องร่วมต้าน แต่พอเราโตขึ้น ข้ากลับจำเป็นต้องขับไล่เจ้าออกจากหมู่บ้าน ในใจข้ารู้สึกผิดเหลือเกิน ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการธนูคันนี้ ข้าจะเก็บเอาไว้เพียงลำพังได้อย่างไร? ข้ายินดีทำลายมัน แต่ต้องรักษาความผูกพันฉันพี่น้องของเราเอาไว้!”

เซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมีนิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนใจออกมา “ข้าไม่มีธนูคันนั้นก็ยังมีคันอื่น ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้”

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว!” จ้าวจิ้งเทียนคว้าแขนเซียวเถี่ยเฟิง “ไป ข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้า”

เซียวเถี่ยเฟิงหันไปมองปีศาจสาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นนางยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ ก็หันไปกล่าวกับจ้าวจิ้งเทียนว่า “เกรงว่าวันนี้คงไม่สะดวกนัก เอาไว้วันหลังเถิด วันหลังข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง”

จ้าวจิ้งเทียนมองตามสายตาของเซียวเถี่ยเฟิงไปที่ร่างของปีศาจสาว เห็นหญิงสาวซึ่งมีรูปโฉมธรรมดา แววตาเยือกเย็นกำลังมองดูเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก็ตะลึงงันไปวูบหนึ่ง

คืนนั้นฟ้ามืด นางถูกเซียวเถี่ยเฟิงแบกเอาไว้ เขาเองก็ไม่ได้สังเกต ตอนนี้มองดูกลับรู้สึกว่านางคุ้นตาอยู่บ้าง

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเขามองปีศาจสาวก็มองตามไปบ้าง คิดไม่ถึงว่าปีศาจสาวจะกำลังจ้องหน้าจ้าวจิ้งเทียนเช่นกัน เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล “จิ้งเทียน ข้าไปก่อนนะ”

กล่าวจบเขาก็ขยับไปบังสายตาของจ้าวจิ้งเทียนเอาไว้แล้วเดินไปจูงมือปีศาจสาว

จ้าวจิ้งเทียนค่อยตั้งสติได้ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเผลอจ้องหญิงกาลกิณีคนนั้นนานเช่นนี้ พอหันกลับไปมองเซียวเถี่ยเฟิง เขาก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“จะว่าไป ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า”

“ว่ามาสิ”

“เมื่อวานซิ่วเฟินไปหาเจ้าใช่ไหม?”

เซียวเถี่ยเฟิงพยักหน้า “ใช่ นางไล่ตามมาถามข้าว่า…”

คิดไม่ถึงว่าจ้าวจิ้งเทียนกลับยกมือขึ้นห้าม “ช่างเถิด เจ้าไม่ต้องพูด ข้าเข้าใจดี ข้าแค่ถามดูเท่านั้น”

เซียวเถี่ยเฟิงมองเขา รู้สึกว่าเขาต้องไม่เข้าใจ แต่พอจะอธิบาย จ้าวจิ้งเทียนกลับยืนกรานว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องพูด ข้าเองก็ไม่อยากฟัง แค่รู้ว่านางเคยไปหาเจ้าก็พอแล้ว”

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็จำต้องเงียบ

ในใจอดคิดไม่ได้ว่า จากไปหลายปี เพื่อนสนิทในอดีตกลับเปลี่ยนไปจนยากจะเข้าใจเสียแล้ว

เข้าใจยากยิ่งกว่าปีศาจสาวเสียอีก

เซียวเถี่ยเฟิงพาปีศาจสาวเดินออกจากร้านตีเหล็ก ตอนที่บังเอิญหันกลับไป เขาเห็นจ้าวจิ้งเทียนยังคงยืนอยู่ตรงหน้าร้านพลางมองมาทางด้านนี้

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของปีศาจสาว

ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นในใจอีกครั้ง เขากุมมือปีศาจสาวแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เห็นได้ชัดว่าปีศาจสาวรู้สึกเจ็บ นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ดวงตาที่เคยใสกระจ่างดูงุนงงอย่างเห็นได้ชัด

เขาเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเบาๆ “ข้าจะพาเจ้าไปกินของอร่อยนะ”

ปีศาจสาวอาจจะไม่เข้าใจคำอื่น แต่นางเข้าใจคำว่า ‘กิน’ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางทันที

 

กู้จิ้งเฝ้ามองละครฉากสนุกอยู่ข้างๆ แม้จะฟังเข้าใจแค่ไม่กี่ประโยค แต่ละครสนุกแบบนี้ ต่อให้เป็นละครใบ้ก็ยังดูรู้เรื่องอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าคนที่ชื่อจ้าวจิ้งเทียนอะไรนั่นเป็นพวกชอบวางอำนาจ คาดว่าคงจะเป็นพวกอันธพาลบนเขาเว่ยอวิ๋น

เขาเข้ามาในเมือง เจอเซียวเถี่ยเฟิงที่ถูกขับออกจากหมู่บ้าน ย่อมต้องพูดจาแดกดัน เขายังใช้มือตบบ่าเซียวเถี่ยเฟิงด้วย คิดจะทำอะไรกัน? ก็เปลือกนอกแสดงความเป็นมิตร แต่ลับหลังแอบกลั่นแกล้งอีกฝ่ายน่ะสิ

ตบ! ตบ! ตบ! ตบจนเจ้าแยกเขี้ยว แต่ปากก็ยังเรียกพี่น้องที่ดี!

ต่อมา เขาได้ยินว่าเซียวเถี่ยเฟิงชอบธนูคันนั้น เขาเป็นพวกที่ทนเห็นใครดีไม่ได้ แถมยังถือคติ ‘ทำลายสิ่งที่เจ้ารัก ทำให้เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่’ อันธพาลจ้าวจิ้งเทียนก็เลยหักธนูคันนั้นทิ้งซะ

แน่นอน อันธพาลจ้าวจิ้งเทียนยังอาจจะอยากสำแดงพลังอำนาจของตัวเอง หึๆๆ เซียวเถี่ยเฟิง เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า รีบไสหัวกลับป่าไปซะ

เดิมนี่เป็นแค่การงัดข้อกันระหว่างอันธพาลจ้าวจิ้งเทียนกับชาวป่ายากจนเซียวเถี่ยเฟิง แต่ก็เหมือนกับที่แสดงในละครโทรทัศน์ ผู้ชายสองคนสู้กันไปสู้กันมาไม่มีอะไรน่าดูสักนิด ดังนั้นต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ปะปนอยู่ด้วย

ผู้ชายสองคนสู้กันเพื่อผู้หญิง แบบนี้ถึงจะมีรสชาติ!

ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?

กู้จิ้งพิจารณาระหว่างสาวน้อยใบหน้ารูปผลท้อกับแม่ม่ายท่าทางยั่วยวนรอบหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกแม่ม่ายท่าทางยั่วยวน

หนึ่ง เพราะแม่ม่ายท่าทางยั่วยวนมีอายุไล่เลี่ยกับผู้ชายสองคนนี้ สอง เพราะเธอได้ยินว่าเมื่อครู่พวกเขาพูดคำว่า ‘ซิ่วเฟิน’ เธอจำได้ว่าตอนที่เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งแบกเธอไว้บนหลังหยุดพูดกับแม่ม่ายท่าทางยั่วยวนคนนั้น เขาเหมือนจะเคยเรียกชื่อชื่อนี้?

หลักฐานแน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็คือเรื่องราวระหว่างชายสองหญิงหนึ่งกับธนูอีกหนึ่งคัน

‘เจ้ารักอะไร ข้าจะแย่งมา หากแย่งไม่ได้ ข้าก็จะทำลายซะ!’

คิดได้เช่นนี้ กู้จิ้งก็หันไปจ้องอันธพาลจ้าวจิ้งเทียนตาเขม็ง ในใจแค่นเสียงฮึด้วยความดูแคลน คิดว่าตัวเองเจ๋งนักรึไง

ใครจะรู้ว่ากำลังคิดอยู่ จู่ๆ อันธพาลจ้าวจิ้งเทียนก็หันมามองเธอ แววตานั้นดุดันเหมือนอยากจะกินเธอไม่มีผิด

ใครกลัวกัน! เธอเป็นคนที่ใช้สายตาบีบคั้นผู้หญิงสองคนให้ล่าถอยไปได้เชียวนะ!

ดังนั้นเธอจึงจ้องกลับไปด้วยสายตาเยียบเย็น

สถานการณ์ตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเซียวเถี่ยเฟิงก็ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยการลากเธอไป

ตอนที่เดินออกจากร้านตีเหล็ก เธอยังคิดในใจว่าเจ้าอันธพาลนั่นข่มเหงกันเกินไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาเว่ยอวิ๋นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย เธอต้องหาทางช่วยเหลือตาพรานยากจนนี่ให้ได้ ว่าแต่…จะจัดการกับอันธพาลนั่นอย่างไรดีนะ?

กู้จิ้งเริ่มคิดว่าในกระเป๋าของตัวเองมีอะไรที่พอจะสั่งสอนจ้าวจิ้งเทียนได้บ้าง?

สเปรย์กันหมาป่า? หากจะใช้ต้องหาโอกาสให้ดี เพราะอันธพาลจ้าวจิ้งเทียนไม่ใช่คนใจดีแบบเซียวเถี่ยเฟิง

ต้องวางแผนให้รอบคอบ

กำลังคิดอยู่ ตาโง่เซียวเถี่ยเฟิงก็หันมาพูดบางอย่างกับเธอ แถมยังยื่นมือมาลูบผมเธอด้วย

เธอกำลังหมกมุ่นอยู่กับการวางแผนจัดการอันธพาลจ้าวจิ้งเทียน ดังนั้นจึงแค่ยิ้มส่งเดชกลับไปให้เขา

เขาเห็นเธอยิ้มก็ยิ้มตาม จากนั้นก็จูงมือเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “ไป”

ไป… ไปไหน?

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน

“ถอยไป!”

สิ่งที่ตามมาหลังเสียงเอะอะโวยวายนั้นคือเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นรัวเร็ว

เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นรัวเร็ว

เสียงผู้คนเอะอะโวยวาย ตามมาด้วยเสียงเด็กร้องไห้ดังลั่น กู้จิ้งมองไปก็พบว่าม้าตัวหนึ่งกำลังวิ่งฝ่าฝูงชนมาอย่างบ้าคลั่ง ตรงหน้ามันคือเด็กน้อยสองคนซึ่งกำลังเล่นกันอยู่ ดูท่าจะหลบไม่ทันแล้ว