เซียวเถี่ยเฟิงคิดว่า เขาคงไม่มีวันลืมคืนวันนั้นตลอดกาล
ตอนแรกปีศาจสาวตัวสั่นระริก ท่าทางบอกชัดว่าต้องการมาก แต่เขาแข็งใจไม่ยอม นางอาจจะโง่เขลาไม่รู้ความ แต่เขาต้องมีสติ หากมอบไอหยางให้นาง พวกเขาจะมีชีวิตรอดอยู่ในป่าลึกได้อย่างไร
คิดไม่ถึงว่าภายหลังปีศาจสาวจะใช้ลิ้นอ่อนนุ่มแหย่เข้าไปแล้วดูดไอหยางของเขาเบาๆ
รสชาตินั้น เขาคงไม่มีวันลืมตลอดชีวิต
เลือดในกายพลุ่งพล่าน แข้งขาแข็งเกร็ง เส้นชีพจรทั่วร่างทั้งสิบสองเส้นสั่นระริกด้านชา
ปีศาจสาวดูดไปคำหนึ่งไม่พอ ยังดูดต่อเป็นคำที่สอง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ท่ามกลางเตาไฟร้อนรุ่มจนแทบจะทนไม่ได้ เขาได้ยินเสียงคำรามต่ำเหมือนสัตว์ป่าดังมาจากลำคอของตัวเอง ได้ยินเสียงกระดูกแขนของตัวเองลั่นดังกร๊อบๆ เขารู้สึกว่าสมอง, หัวใจ และดวงตาล้วนถูกร่างหอมนุ่มนิ่มนี้ครอบครองไปจนหมดสิ้น เขาถึงกับรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะทนไม่ได้อีกแล้ว
แต่ยังดีที่เขาทนได้
จนกระทั่งภายหลัง ปีศาจสาวเหมือนจะดูดไอหยางจนพอแล้ว นางจึงหลับไปในอ้อมอกของเขาทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
เรี่ยวแรงของเขาค่อยๆ กลับคืนมา แต่ในใจยังคงหวนระลึกถึงรสชาติเมื่อครู่ เขาจ้องมองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทของนางพลางยื่นนิ้วไปแตะแก้มของนางเบาๆ ด้วยความสงสาร
“อีกสองสามวัน รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยให้เจ้าดูดให้พอ ดีหรือไม่?”
เสียงลมพัด เสียงหมาป่าหอน เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ เขามองหญิงสาวซึ่งกำลังนอนนิ่งอยู่ในอ้อมอกท่ามกลางแสงไฟริบหรี่ก่อนจะก้มหน้าลงประทับริมฝีปากของตัวเองกับแก้มอ่อนนุ่มของนาง
คืนวันนี้เซียวเถี่ยเฟิงแทบจะไม่ได้นอน เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมอกอย่างนั้นตลอดทั้งคืน
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเมื่อฟ้าเริ่มสาง เขาถึงได้วางร่างปีศาจสาวลงบนกองหญ้านุ่มที่ปูเอาไว้บนพื้นแล้วหยิบเสื้อคลุมสีครามมาห่มให้ จากนั้นจึงเดินออกจากถ้ำไปหาไข่ที่นางชอบกินที่สุด พอกลับมาก็จัดการก่อไฟอุ่นเนื้อกวางที่เหลือจากเมื่อคืนวาน รอให้ปีศาจสาวตื่นขึ้นมากิน
ในที่สุดปีศาจสาวก็ตื่น กินอาหารเสร็จ เขาก็นั่งอยู่ข้างๆ พลางคิดว่านางจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานหรือไม่?
คิดไม่ถึงว่านางจะกินไปกวาดตามองเขาไป ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นางไม่พูดถึงเรื่องไอหยางสักนิด แต่กลับพูดถึงหมาสีดำตัวนั้นแทน
เซียวเถี่ยเฟิงอดผิดหวังไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะก้มลงมองถ้ำ จากนั้นก็วางแผนว่าจะต้องทำรั้วป้องกันเสือและหมาป่าให้แน่นหนา เสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในอันตรายเพราะถูกดูดไอหยางจนไร้เรี่ยวแรงอีกแล้ว
เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ต้องรีบออกไปซื้อเครื่องมือมาทำรั้วเสียแล้ว
หลังจากทั้งสองเดินไปถึงตีนเขา ตา卜ล่ำบึ้กพากู้จิ้งเดินไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นก็อาศัยนั่งรถของชาวนาโยกเยกไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดก็ไปถึงเมืองเมืองหนึ่ง
เมืองแห่งนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง
มองซ้ายมองขวา ในที่สุดกู้จิ้งก็จำได้ นี่ไม่ใช่เมืองที่เธอเคยมาเมื่อครั้งที่หนีออกมาจากภูเขาอย่างยากลำบากหรอกหรือ?
ตอนนั้นในใจเธอเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นเต้นจึงไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก ยามนี้เงยหน้าขึ้นมอง เธอก็พบว่าบนกำแพงเมืองมีตัวอักษรเขียนอยู่สองตัว…เมืองจูเฉิง
กู้จิ้งขมวดคิ้วครุ่นคิด ในที่สุดก็นึกออก สถานที่แห่งนี้เคยเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ในที่สุดก็ถึงยุคสมัยของเธอ ตอนแรกมันเป็นอำเภอ ภายหลังถึงยกระดับเป็นเมือง เขาเว่ยอวิ๋นของเธอก็อยู่ภายใต้เขตปกครองของเมืองนี้
สมัยเด็กๆ เธอเคยตามคุณยายเข้าเมืองไปซื้อผ้าซื้อข้าวของที่ต้องใช้ในช่วงปีใหม่บ่อยๆ!
คิดได้เช่นนี้เธอก็รู้สึกใกล้ชิดขึ้นมา เธอรีบดึงแขนตา卜ล่ำบึ้กเดินเข้าเมืองไปทันที
เมืองเล็กๆ แห่งนี้เจริญไม่น้อย ในเมืองมีร้านค้ามากมาย มีสาวน้อยสาวใหญ่เดินกันขวักไขว่ มีคนขายสินค้ามากมายหลายชนิด มีชาวนาที่มาจับจ่ายหาซื้อข้าวของ ดูคึกคักมาก ข้างทางยังมีคนขายของกินเล่นแปลกๆ มากมายหลายชนิด ดูลานตาเสียยิ่งกว่าแผนกขนมและของกินเล่นในซูเปอร์มาร์เก็ตยุคปัจจุบันเสียอีก
ตา卜ล่ำบึ้กคงคิดว่าเธออยากกินก็เลยซื้อของกินเล่นให้เธอพวงหนึ่ง
เธอมองไปมองมา ในที่สุดก็จำได้ นี่ไม่ใช่ตัวอ่อนของจักจั่นหรอกหรือ?
มันถูกทอดจนเป็นสีเหลืองทองกรอบแล้วใช้เชือกร้อยไว้เป็นพวงเหมือนพวงเหรียญทองแดง
เธอกัดคำหนึ่ง…อร่อย! จากนั้นก็ส่งให้ตา卜ล่ำบึ้กกินบ้าง
ตา卜ล่ำบึ้กเหมือนจะประหลาดใจ เขาหันมามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงกัดแต่โดยดี
ชั่ววินาทีนั้น ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าของที่กินอยู่อร่อยเหลือเกิน
กินไปเดินไป ในที่สุดก็ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง กู้จิ้งมองดูก็พบว่ามันเป็นร้านตีเหล็ก บนกำแพงมีตะขอเหล็ก, ดาบ, กระบี่, คันธนู รวมทั้งง้าวยาวแขวนอยู่ แต่ละชิ้นล้วนเปล่งประกายวาววับบาดตา
ตา卜ล่ำบึ้กพูด “@$&*%$” กับเจ้าของร้าน อีกฝ่ายก็หยิบธนูหลายคันออกมาให้ดู แต่ตา卜ล่ำบึ้กกลับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
เจ้าของร้านพูด “$@&%” น้ำลายแตกฟอง ในตอนนั้นเอง คนงานที่ด้านข้างก็หยิบคันธนูคันหนึ่งออกมา
คันธนูนี้ยาวถึงสองเมตร แค่ดูก็รู้ว่าไม่เหมือนธนูคันอื่นๆ มันมีลวดลายประณีตงดงาม ไม่ว่าจะวัตถุดิบหรืองานฝีมือก็ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
ตา卜ล่ำบึ้กหยิบขึ้นมาดู แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยถามราคา เจ้าของร้านก็พูด “@$%&” รอบหนึ่งพลางโบกไม้โบกมือไปมา
แม้กู้จิ้งจะไม่เข้าใจคำพูดของพวกเขา แต่จับใจความจากคำที่พอจะเข้าใจ เธอก็เดาได้ว่าธนูคันนี้มีราคาแพงมาก ตา卜ล่ำบึ้กซื้อไม่ไหว
เธอไม่รู้ค่าของเงินที่นี่ และไม่รู้ว่าเงินก้อนนั้นพอจะซื้อธนูคันนี้หรือไม่ แต่ดูจากที่ตา卜ล่ำบึ้กพูดว่าไม่ซื้อ แต่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ธนูคันนั้น เธอก็ไม่อาจแข็งใจได้เลย
“เงิน ซื้อ?” เธอพูดเป็นคำๆ
ตา卜ล่ำบึ้กยิ้มพลางลูบหัวเธอ จากนั้นก็จูงมือเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”
คิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง จะมีคนหลายคนเดินเข้ามาในร้านตีเหล็ก กู้จิ้งรู้สึกคุ้นหน้าคนที่เป็นผู้นำกลุ่มอยู่บ้าง
เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้
“เถี่ยเฟิง ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยทักตา卜ล่ำบึ้ก
เถี่ยเฟิง… ที่แท้เขาชื่อเถี่ยเฟิง? กู้จิ้งเพิ่งรู้ตัวว่าเธอได้ยินคำคำนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่จนป่านนี้ถึงได้รู้ว่ามันเป็นชื่อของเขา
ช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับเขาจริงๆ
“จิ้งเทียน เจ้าก็มาหรือ? ข้าแค่เข้ามาดูเฉยๆ เท่านั้น” เซียวเถี่ยเฟิงตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าไปก่อนนะ”
จิ้งเทียน?
กู้จิ้งรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูไม่น้อย พอคิดๆ ดูค่อยนึกออก
ตอนนั้นเธอมัวแต่ใช้สายตาข่มขู่สาวน้อยใบหน้ารูปผลท้อที่กำลังน้ำตาคลอ จึงไม่ทันได้สังเกตอะไรนัก เพียงแต่รู้สึกว่าตรงนั้นเหมือนจะมีคนคนนี้อยู่ด้วย แต่มองผ่านๆ แค่ไม่กี่ครั้งก็หลับไปเสียก่อน
นี่มันคนบ้านเดียวกันที่เขาเว่ยอวิ๋นนี่นา!
จ้าวจิ้งเทียนเห็นเซียวเถี่ยเฟิงตั้งท่าจะจากไปก็ขยับมาขวางเอาไว้ “เถี่ยเฟิง อย่าเพิ่งไป เจ้าคิดจะซื้ออะไรหรือ?”
ระหว่างที่พูดเขาก็หันไปมองโต๊ะสูงที่ด้านข้าง เห็นบนนั้นมีคันธนูยาวประณีตงดงามคันหนึ่ง ที่ด้านข้างคือเจ้าของร้านที่กำลังรอต้อนรับอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ดวงตาของเขาเปล่งประกายวูบ
“ทำไม เถี่ยเฟิง เจ้าคิดจะซื้อธนูคันนี้อย่างนั้นหรือ?”
เดิมคิดจะซื้อธนูธรรมดาสักคัน จะได้ล่าสัตว์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินอยู่ในมือก้อนหนึ่ง แต่เขาถูกไล่ออกมาจากหมู่บ้านตัวเปล่า มีข้าวของต้องซื้อมากมาย ปีศาจสาวดูไม่เหมือนคนที่จะยอมหยวนอะไรง่ายๆ เขาเองก็อยากให้นางมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายที่สุด เรื่องเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องใช้เงินทั้งสิ้น
เขาวางแผนว่าจะซื้อธนูสักคัน ซื้อหม้อชามอ่างข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ซื้อข้าวสารน้ำมันน้ำส้มสายชู แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าให้ปีศาจสาวสักสองสามชุด เท่านี้ก็คงพอจะอยู่ได้ชั่วคราว หลังจากนี้เขาจะออกไปล่าสัตว์, หาโสม, หาของป่าแล้วเอามาขายในเมืองทุกวัน ชีวิตความเป็นอยู่ก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่เขาอยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่ายากจนแค่ไหนเขาก็ไม่เคยใส่ใจ เพราะไม่ว่าจะกินอะไรสวมเสื้อผ้าแบบไหนก็ไม่มีอะไรต่างกัน ทว่าตอนนี้มีปีศาจสาวอยู่ด้วย เขาย่อมต้องคิดมากขึ้น
แต่วันนี้เลือกดูธนูหลายคัน กลับไม่มีคันไหนถูกใจเลยสักคัน บังเอิญเถ้าแก่หยิบธนูคันหนึ่งออกมา พอถามดูถึงได้รู้ว่าธนูคันนี้ไม่เพียงมีราคาแพง แต่ยังเป็นธนูที่ผู้อื่นสั่งทำเอาไว้ บอกว่าจะมาเอาวันนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ตัดใจ เซียวเถี่ยเฟิงกำลังจะออกจากร้าน แต่บังเอิญเจอจ้าวจิ้งเทียนกับคนตระกูลจ้าวคนอื่นๆ เข้าเสียก่อน
จ้าวจิ้งเทียนเหลือบมองคันธนูที่วางอยู่บนโต๊ะสูง “ทำไม เถี่ยเฟิง เจ้าคิดจะซื้อธนูคันนี้อย่างนั้นหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงส่ายหน้า “แค่ดูเฉยๆ เท่านั้น มันเป็นธนูที่ผู้อื่นสั่งทำไว้ ราคาก็แพงมากด้วย”
แต่จ้าวจิ้งเทียนกลับดึงแขนเซียวเถี่ยเฟิงไปพูดคุยกันที่ด้านข้าง “เถี่ยเฟิง เรื่องในวันนั้นเป็นเรื่องของหมู่บ้าน เรื่องของส่วนรวม ส่วนเรื่องระหว่างข้ากับเจ้าเป็นเรื่องของเรา เรื่องส่วนตัว”