“ติ้งอ๋อง เป็นเกียรติที่ได้พบ” หลงหยางมองดูผู้ชายตรงหน้าเป็นเวลานาน แล้วในที่สุดก็พูดออกมาช้าๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลงหยางได้พบกับติ้งอ๋องผู้โด่งดังไปทั่วใต้หล้าคนนี้ หากดูจากบางเรื่องแล้ว ชื่อเสียงของม่อซิวเหยาอาจจะสู้กับชื่อเสียงของม่อหลิวฟางผู้เป็นบิดา ที่ความสามารถด้านบุ๋นก็เก่งกาจจนสามารถบริหารแคว้น ความสามารถด้านบู๊ก็แข็งแกร่งจนสามารถรักษาความสงบไว้ได้ ทั้งยังเคยสร้างคุณูปการให้แก่ต้าฉู่มาก่อน เพราะว่าเขาทำในสิ่งที่ตำหนักติ้งอ๋องหลายต่อหลายรุ่นไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือ การตัดขาดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาดกับต้าฉู่ ทำให้กองทัพตระกูลม่อและติ้งอ๋องหลุดออกจากโซ่ตรวนของต้าฉู่ และนับแต่นั้นก็ได้กลายเป็นหนึ่งในฝ่ายที่มีอิทธิพลในการครอบครองแผ่นดินโดยแท้จริง หลังจากนี้ไม่ว่าชื่อเสียงหรือชื่อเสียของต้าฉู่ก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกต่อไป
บุรุษตรงหน้าเขาที่อยู่ในชุดขาวบวกกับเส้นผมสีขาวราวหิมะที่ยาวทิ้งตัวพริ้วไหว ช่างดูขาวสะอาดตัดกับกลิ่นคาวเลือดในสนามรบโดยสิ้นเชิง แต่กลับทำให้หลงหยางรู้สึกถึงความอันตรายบางอย่าง หลงหยางเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมสงครามเป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม บุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ไม่ได้สุขุมสงบเงียบดังที่แสดงออกมา ภายใต้สีขาวที่ดูสะอาดสะอ้านราวหิมะกลางหุบเขานั้น ก็มีกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้คนต้องรู้สึกหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่
ม่อซิวเหยามองดูหลงหยางด้วยความสงบนิ่ง มือข้างหนึ่งถือถ้วยกระเบื้องลายครามเล่น พลางพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “เดิมที ข้าก็อยากจะพูดคุยดีๆ กับแม่ทัพหลงและแม่ทัพจู แต่แม่ทัพหลง ข้าคงต้องบอกว่า…ตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก แม่ทัพหลงน่าจะทราบดีว่าสิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตคืออะไร”
หลงหยางมองม่อซิวเหยาแล้วพูดเสียงเข้ม “ขอติ้งอ๋องโปรดสั่งสอน”
ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาลงช้าๆ เสียงของถ้วยชาที่กระทบกับผิวโต๊ะ ดังกังวาลขึ้นในห้องที่เงียบสงัด “คือการถูกข่มขู่ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือ การถูกข่มขู่อย่างไรล่ะ อีกอย่าง ที่ข้าสงสัยมากกว่าก็คือ เหตุใดแม่ทัพหลงถึงคิดว่าข้าจะเลิกล้มการบุกเมืองเพื่อคนต้าฉู่พวกนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาหัวเราะออกมาช้าๆ ราวกับกำลังพูดเรื่องน่าขัน หลงหยางไปเงียบครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดขึ้น “เป็นข้าที่คิดผิดไปเอง น่าจะเพราะ…พอแก่แล้วใจก็อ่อนลงกระมัง ถ้าหากเป็นสมัยที่ข้ายังหนุ่ม ก็น่าจะตัดสินใจเช่นเดียวกับติ้งอ๋อง”
ม่อซิวเหยาพยักหน้ายิ้ม “แม่ทัพหลงเข้าใจข้าดีจริงๆ ด้วยสินะ เมื่อเป็นเช่นนี้…แม่ทัพหลงก็คงเตรียมรับผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ของท่านแล้วใช่หรือไม่”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลงหยางก็เปลี่ยนไป “ติ้งอ๋อง ในเมื่อเจ้าก็ตีเมืองเปี้ยนแตกแล้ว แล้วยังจะฆ่าล้างเมืองอีกหรือ เรื่องนี้เป็นการกระทำของข้าแต่เพียงผู้เดียว หากว่าติ้งอ๋องโกรธ ท่านก็เอาชีวิตของข้านี้ไปเลยก็แล้วกัน” ม่อซิวเหยาเผยรอยยิ้มบางๆ ไม่แสดงท่าทีอันใด “ลืมบอกแม่ทัพหลงไป แม้ว่าเมื่อคืนแม่ทัพหลงจะปล่อยประชาชนในเมืองไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ว่า…ทหารตระกูลม่อก็จับทหารของซีหลิงไว้ได้ไม่น้อย น่าจะพอ…เอามาทดแทนจำนวนประชาชนที่หนีไปได้ละมัง”
“ติ้งอ๋อง…” หลงหยางหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด “ข้าทำคนเดียว ข้าควรรับคนเดียว ถึงติ้งอ๋องจะเอาข้าไปหั่นไปชิ้นๆ ข้าก็จะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ติ้งอ๋องโปรด…ปล่อยประชาชนกับทหารที่บริสุทธิ์ไปเถิด”
ม่อซิวเหยาทำราวกับไม่ได้ยิน โบกมือให้กับคนที่อยู่หน้าประตู และพูดด้วยรอยยิ้ม “พาแม่ทัพหลงหยางไปดูสักหน่อย…”
ด้านนอกประตู จั๋วจิ้งโบกมือให้องครักษ์สองคนเข้ามาพาหลงหยางออกไป ภายในห้อง ม่อซิวเหยาปิดตาลงอย่างช้าๆ ผ่านครู่ใหญ่ เสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาใต้เส้นผมที่ขาวดั่งหิมะ “คนพวกนี้…น่ารังเกียจนัก! ท่านพ่อ พี่ใหญ่…รอให้ข้าสังหารพวกเขาให้หมดเสียก่อน พวกท่านก็จะได้ตายตาหลับกันเสียที…และจะไม่มีใครมาทำร้ายอาหลีได้อีก…”
เยี่ยหลีพอจัดการเรื่องในสนามรบเรียบร้อยแล้ว ก็พาเฟิ่งจือเหยาและคนอื่นๆ กลับมาถึงเมืองเปี้ยน ทหารตระกูลม่อภายในเมืองกำลังทำความสะอาดสนามรบ ในอากาศอบอวลคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คณะของพวกนางเดินไปตามถนนในเมือง ระหว่างทางก็มีทหารที่กำลังทำความสะอาดถนนเข้ามาทำความเคารพเป็นระยะๆ
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยความสงสัย “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดในเมืองถึงไม่มีประชาชนเลยแม้แต่คนเดียว” แม้สงครามจะเพิ่งเสร็จสิ้น ประชาชนอาจจะหวาดกลัวจนไม่กล้าออกมานอกบ้าน ทว่า ไม่น่าจะถึงขนาดที่ไม่มีแม้แต่คนเดียวอย่างนี้ แม้กระทั่งหน้าต่างตามตึกตลอดสองข้างถนนก็ไม่ได้มีใครแอบมองเลย นอกจากทหารที่ทำความสะอาดแล้ว ทั้งเมืองก็เงียบสนิทจนคล้ายกับว่าเป็นเมืองร้าง
ทหารตรงหน้าลังเลและมองเยี่ยหลีกับคนอื่นๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะกล่าวรายงาน “เรียนพระชายาและแม่ทัพเฟิ่ง ท่านอ๋องเพิ่งจะสั่งว่าให้จับประชาชนทั้งหมดไปที่ด้านนอกเมืองฝั่งตะวันตกขอรับ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม “จับไปที่ฝั่งตะวันตกของเมืองหรือ จับไปทำอะไรกัน”
“นอกเมืองฝั่งตะวันตก…เป็นลานประหารของเมืองเปี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”
“ลานประหารหรือ” เฟิ่งจือเหยานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูด “จับแม่ทัพสำคัญคนไหนของซีหลิงได้หรือ หลงหยางหรือว่าเหลยเถิงเฟิงล่ะ ไม่ใช่สิ แม้ว่าจะจับพวกเขาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรีบลงมือประหารตอนนี้นี่นา” สังหารหลงหยางยังถือว่าสมเหตุสมผลอยู่บ้าง เพราะสามารถทำลายขวัญกำลังใจของทหารซีหลิงได้ แต่ว่าสถานะของเหลยเถิงเฟิงนั้น ชีวิตของเขามีค่ากว่าการตายมากนัก คุณชายเฟิ่งซานมึนงงไปชั่วขณะจนลืมไปว่าเหลยเถิงเฟิงเพิ่งจะหลบหนีจากเขาไปได้เมื่อคืน
ทหารมองเยี่ยหลีและไม่ได้พูดอะไร เยี่ยหลีจึงขมวดคิ้วพูดว่า “พูดมาตามความจริงเถิด”
ทหารพูดเสียงขรึม “ท่านอ๋องสั่งให้จับนักโทษและประชาชนเมืองเปี้ยนทุกคน และสังหารให้หมดทุกคนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ว่าอย่างไรนะ!” เยี่ยหลีกับเฟิ่งจือเหยาพากันตกใจ พวกเขามองหน้ากันก่อนเฟิ่งจือเหยาจะสงบจิตสงบใจถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทหารคนนั้นรีบเล่าเหตุการณ์การสู้รบเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ให้พวกเขาฟัง ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่หลงหยางจับประชาชนต้าฉู่ในเมืองเปี้ยนมาขู่ให้พวกเขาถอนทัพด้วย ขณะที่ฟังยังไม่ทันจบ คณะของพวกนางก็รีบเร่งฝีเท้ามุ่งไปยังลานประหารนอกเมืองฝั่งตะวันตกทันที
พื้นที่โล่งกว้างด้านนอกเมืองฝั่งตะวันตกนี้ ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองเปี้ยนขึ้นมาก็ใช้เป็นลานประหารมาโดยตลอด แต่กระนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ ที่แห่งนี้ในวันนี้ จำนวนคนที่จะหัวหลุดจากบ่าจะต้องมากกว่าจำนวนคนทั้งหมดทีเคยถูกประหารชีวิตตลอดหลายร้อยปีที่ก่อตั้งเมืองเปี้ยนมาอย่างแน่นอน หลงหยางถูกหน่วยกิเลนสองคนจับตัวเอาไว้ โดยให้หันหน้าไปทางลานประหาร มองดูทหารที่ถูกบังคับให้ก้มตัวคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในบรรดาคนเหล่านี้ มีหลายคนที่ตามตัวยังมีบาดแผล แต่เวลานี้พวกเขากลับถูกมัดให้คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อรอรับความตาย
ก้อนหินผิวเรียบที่เย็นเฉียบได้อาบฉ่ำไปด้วยรอยเลือดสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดเจนว่าพวกที่คุกเข่าอยู่ตอนนี้ไม่ได้เป็นกลุ่มแรก หลงหยางถูกคนด้านหลังจับเอาไว้จนขยับตัวไม่ได้ ดวงตาเขาแทบจะถลนออกมา “พอได้แล้ว! ติ้งอ๋อง! พอได้แล้ว…ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ท่านฆ่าข้าตอนนี้เลยเถิด!” ดวงตาทั้งคู่ของหลงหยางแดงฉาน หน้าผากมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนขึ้นมา เขาคิดผิดไปแล้วจริงๆ เจตนาเขาอยากจะป้องกันเมืองเปี้ยน แต่กลับไปทำให้เสือร้ายกระหายเลือดที่จำศีลมาหลายปีโมโหเข้าโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจเพราะสมัยหนุ่มเขาสังหารผู้คนมากเกินไป บาปกรรมถึงได้ไปตกกับทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ในตอนที่เขาเข้าสู่วัยชราแล้ว
“ติ้งอ๋อง! ท่านฆ่าข้าเถิด!” หลงหยางร้องคำราม
มุมปากของม่อซิวเหยาแสยะขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มบางๆ จากนั้นก็ยกมือชี้ไปยังคนที่อยู่บนกองเลือดด้านล่าง ยิ้มพลางพูด “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก แม่ทัพหลงหยางจงดูต่อไปให้ดีเถิด ดูให้ดีว่าทหารและประชาชนเหล่านี้ตายกันอย่างไร เป็นเจ้า…ที่ทำร้ายพวกเขา เมื่อมีการสู้รบระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย ข้าไม่เคยทำร้ายประชาชนเลย แต่ครั้งนี้…เป็นเพราะเจ้าบีบบังคับข้า หลังจากผ่านครั้งนี้ไป ข้าเชื่อว่า ในสนามรบจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังเช่นเมื่อวานอีก เจ้าว่าจริงหรือไม่”
“ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามใจชอบแบบนี้ ท่านไม่กลัวว่าเวรกรรมหรือ” หลงหยางพูดด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว หากเป็นเมื่อก่อน หลงหยางก็คงไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมเช่นกัน สิ่งที่เขาเชื่อมีเพียงชัยชนะและการเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เขากลับต้องยอมรับว่า บนโลกนี้มีเวรกรรมอยู่จริงๆ