ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วแสยะยิ้ม “ข้าจะกลัวเวรกรรมไปไยเล่า ตำหนักติ้งอ๋องจงรักภักดีต่อแผ่นดินกันมาทุกรุ่น แล้วได้รับผลดีอะไรบ้าง”
“อย่าบอกนะว่าพระชายากับซื่อจื่อก็ไม่กลัวเช่นกัน” หลงหยางพูด เมื่อถ้อยคำนี้ดังออกไป ม่อซิ่วเหยาก็ขมวดคิ้ว ไอรอบกายเย็นยะเยือกดั่งหยดน้ำค้างที่เกาะตัวกันโดยทันที ม่อซิวเหยาพลันเงยหน้าขึ้นมองหลงหยาง สายตาที่ราวกับเปลวเพลิงโลหิตทำให้หลงหยางรู้สึกสั่นวาบอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้น เสียงที่ดุร้ายของม่อซิวเหยาก็ดังขึ้น “ประหารซะ!” จากนั้นม่อซิวเหยาก็หันหน้ามองไปทางหลงหยาง และพูดอย่างเฉยชา “ทางที่ดีเจ้าอวยพรให้อาหลีมีชีวิตรอดปลอดภัยจะดีเสียกว่า มิฉะนั้น…ข้าจะให้คนทั้งแผ่นดินตายตกไปพร้อมกับนาง!”
ได้ยินคำสั่งของม่อซิวเหยา คนที่อยู่ในลานประหารก็ยกดาบในมือขึ้นอีกครั้ง…
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงกังวานใสของผู้หญิงคนหนึ่งดังชัดขึ้นจากด้านหลัง ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นร่างที่อยู่ในชุดสีขาวดั่งก้อนเมฆลอยลงมากลางลานประหาร เยี่ยหลีก้มมองรอยเลือดสีคล้ำใต้เท้า พลางขมวดคิ้ว จากนั้นเมื่อหันไปเห็นเหล่าประชาชนที่ถูกมัด กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่รอบๆ ลานประหาร นางก็ถอนหายใจเบาๆ ในที่สุดก็มาทัน…
“อาหลี่ เจ้ามาได้อย่างไร” ม่อซิวเหยาชะงักไป สีหน้าที่เย็นชาพลันอ่อนโยนขึ้นในทันใด เขาลุกขึ้น มองดูร่างในชุดสีขาวกลางลานประหาร พร้อมกล่าวถามด้วยเสียงนุ่มนวล เยี่ยหลีเงยหน้ามองบุรุษผมขาวที่สวมชุดขาวราวหิมะอยู่บนแท่นสูง บนใบหน้าที่หล่อเหลาเจือแววอบอุ่นและอ่อนโยนบางๆ แตกต่างกับเสียงที่โหดร้ายไร้ความปราณีดั่งอสูรร้ายเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
นางเดินนำเฟิ่งจือเหยาขึ้นไปบนแท่นสูง เฟิ่งจือเหยาสัมผัสได้ถึงแววตาที่ราวกับคมมีดซึ่งส่งมาจากท่านอ๋องของตน จึงถูจมูกอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเขยิบไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง พระชายากลับมาในเวลานี้พอดี ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย
“อาหลี เจ้ามาได้อย่างไร เหนื่อยมาตั้งหลายวัน เหตุใดถึงไม่กลับไปพักผ่อนเล่า” เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าที่ยากจะปิดบังบนใบหน้าของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็เอ่ยถามเสียงเข้มอย่างไม่สบอารมณ์
เยี่ยหลีกรอกตาใส่เขาอย่างจนปัญญา นางกลับไปพักผ่อนไม่ได้ก็เพราะว่าใครกันล่ะ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ก็…” เยี่ยหลีกระซิบถาม ถ้าหากว่าเป็นไปได้ นางก็ไม่อยากถามม่อซิวเหยาตรงนี้ ทว่าตอนนี้กลับเป็นเวลาที่นางเลือกไม่ได้ จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่ไม่อย่างนั้นศีรษะของคนหลายแสนคนอาจจะต้องหลุดจากบ่า แม้จะกลับชาติมาเกิด แต่เยี่ยหลีก็ยังคงมีสายเลือดความเป็นทหารอยู่ นางไม่เกรงกลัวการสู้รบ และไม่หวาดหวั่นต่อความตาย แต่การฆ่าทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่อยู่ภายใต้ขีดจำกัดด้านศีลธรรมของนางอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น มันจะเป็นผลเสียต่อชื่อเสียงของกองทัพตระกูลม่อและม่อซิวเหยาเองด้วย ช่วงหลายปีก่อนที่ม่อซิวเหยาสังหารทหารต้าฉู่ที่ซีเป่ยจำนวนนับพันนาย ก็ทำให้ปัญญาชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปมากมายแล้ว ถ้าหากยังจะมีเรื่องสังหารหมู่ทั้งเมืองเช่นนี้อีก คงจะไม่เป็นเรื่องที่ดีต่อม่อซิวเหยาแต่อย่างใดจริงๆ
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเข้ม “อาหลีไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก กลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่ รอให้ข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ข้าจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า พวกเราพักผ่อนอยู่ที่เมืองเปี้ยนกันสักสองวันก็ได้”
“ซิวเหยา” เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาอยากจะเปลี่ยนประเด็นอย่างชัดเจน เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วมุ่น มองเขาเงียบๆ ภายในดวงตาเผยความกังวลเล็กน้อย “ซิวเหยา ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ แล้วเราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กันวันหลัง” เยี่ยหลีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ภายในน้ำเสียงมีความเปราะบางและเหนื่อยล้า
ม่อซิวเหยาพลันใจอ่อน ก้มหน้ามองเงาคล้ำใต้ขอบตาของเยี่ยหลี ในที่สุดเขาก็โน้มตัวลงไปอุ้มเยี่ยหลีแล้วเดินออกไป เยี่ยหลีอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของม่อซิวเหยา แล้วเงยหน้าหันไปส่งสัญญาณให้เฟิ่งจือเหยาทางสายตา เฟิ่งจือเหยาผงกศีรษะเล็กน้อย แสดงออกว่า ให้เป็นหน้าที่เขาเอง เยี่ยหลีถึงได้วางใจและหลับตาลงพิงศีรษะเข้ากับอ้อมอกของม่อซิวเหยา หลายวันมานี้ นางรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ
ม่อซิวเหยาอุ้มเยี่ยหลีผ่านด้านข้างลานประหาร สายตาที่เรียบเฉยกวาดมองทหารซีหลิงที่คุกเข่าอยู่ นัยน์ตาที่เย็นชาแฝงแววามเหยียดหยามและดูถูก ในบรรดาแม่ทัพซีหลิงเหล่านี้ย่อมต้องมีคนที่แข็งข้อไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อพ่ายแพ้จนถูกจับ พวกเขาก็เตรียมใจรับความตายไว้แล้ว แต่เมื่อมาเห็นสายตาเยาะเย้ยของม่อซิวเหยาเช่นนี้ ไหนเลยจะอดกลั้นไหว มีคนหนึ่งถ่มน้ำลายออกมา ยิ้มเยาะพลางพูดว่า “ไอพวกแซ่ม่อ อยากจะฆ่าก็ฆ่าสิ ยี่สิบปีหลังจากนี้ข้าก็จะเป็นทหารผู้กล้าอีก ถึงเวลานั้นจะไปสังหารตำหนักติ้งอ๋องของเจ้าให้สิ้นทั้งตระกูลเอง!”
แววตาของม่อซิวเหยาเย็นวาบขึ้นโดยพลัน แล้วพูดเรียบๆ ว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสงเคราะห์เจ้าเอง ประหารมันให้หมด!” พูดจบ ก็ไม่สนใจคนตรงหน้าอีก อุ้มเยี่ยหลีเดินออกจากลานประหารไปช้าๆ ทิ้งให้ผู้คนทำได้เพียงมองหน้ากัน ในความหมายของพระชายา แน่นอนว่าก็คือห้ามไม่ให้ประหาร ทว่าท่านอ๋องกลับให้ประหารทุกคน จะประหารหรือไม่ประหารนี้กลายเป็นปัญหาไปเสียแล้ว ตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาย่อมควรฟังคำสั่งของท่านอ๋อง แต่ว่าหลายปีมานี้ ท่านอ๋องไม่เคยขัดความประสงค์ของพระชายาเลย นอกจากนี้ ทหารตระกูลม่อล้วนเป็นทหารที่เก่งกาจที่สุด ทุกคนต่างมีความภาคภูมิใจในการเป็นทหาร การฆ่าคนในสนามรบก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การต้องสังหารหมู่ประชาชนธรรมดาที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านเช่นนี้ พวกเขากลับทำใจลงมือไม่ได้จริงๆ
“แม่ทัพเฟิ่ง เรื่องนี้ควรทำอย่างไรหรือขอรับ” ทหารเพชรฆาตเดินเข้ามาสอบถาม
เฟิ่งจือเหยาลูบคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักเพยิดไปยังกลุ่มคนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนลานประหาร “พวกนั้น ประหารให้หมดเสีย ส่วนที่เหลือก็ปล่อยไปก่อนแล้วกัน” ก็ท่านอ๋องบอกให้ประหารให้หมดไม่ใช่หรือ คนที่หมิ่นเกียรติ ด่าทอสาปแช่งติ้งอ๋องก็ย่อมสมควรตาย สงสารก็แต่คนร้อยกว่าคนที่อยู่พร้อมกับเขานั่น คงทำได้แค่คิดว่าพวกเขาโชคร้ายเองเสียแล้ว คนที่คุกเข่าอยู่กลางลานต้องประหารแน่แล้ว ส่วนคนที่เหลือก็…แน่นอนว่าคงต้องรอคำสั่งของท่านอ๋องกับพระชายา เฟิ่งจือเหยาคิดเงียบๆ ในใจ
ทหารเพชรฆาตไปทำตามคำสั่งด้วยความพอใจ เฟิ่งจือเหยาเห็นหลงหยางที่ใบหน้าราวกับไร้ดวงวิญญาณก็ลอบส่ายหน้า หลงหยางเองก็ทำผิดต่อม่อซิวเหยาอย่างมหันต์ ที่คิดจับประชาชนต้าฉู่มาเป็นโล่เนื้อกำบัง หากม่อซิวเหยาถอยทัพไปครั้งนี้ ทหารซีหลิงต่อจากนี้ก็จะเลียนแบบทำตามอีก และที่สำคัญไปกว่านั้น เวลานั้นยังมีทหารหน่วยกิเลนอีกเกือบพันคนที่เข้าเมืองมาก่อนแล้ว ถ้าหากว่า ม่อซิวเหยาสั่งให้ถอยทัพจริงๆ หลงหยางก็คงจะลงมือกับทหารภายในเมืองเปี้ยน และทหารหน่วยกิเลนเกือบพันคนที่เข้าเมืองไปก่อนเหล่านั้นคงต้องลำบากอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า…ครั้งนี้ท่านอ๋องโมโหมากไปหน่อยรึเปล่านะ
เมื่อเยี่ยหลีตื่นจากการนอนกลับ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว หลังจากลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตา ก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป แม้ว่านางจะเหนื่อยมาก แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นพอม่อซิวเหยาอุ้มขึ้น ก็หลับไปทั้งในอ้อมอกของเขาแบบนั้น พลันนึกถึงเรื่องบนลานประหารก่อนหน้านี้ เยี่ยหลีก็เงยหน้าขึ้นมองผ่านม่านกั้นผืนบางที่วาดลวดลายภูเขาและแม่น้ำออกไป จึงเห็นว่าม่อซิวเหยากำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ใต้แสงเทียน เขาราวกับได้ยินเสียงเยี่ยหลีขยับตัว ม่อซิวเหยาจึงวางปากกาลง ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้ามาด้านในพร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้ “ตื่นแล้วหรือ”
เยี่ยหลี่พยักหน้ามองม่อซิวเหยาอย่างละเอียด ดวงตานางเป็นประกายไข่มุกท่ามกลางแสงยามค่ำคืน แล้วใบหน้าที่งดงามก็เผยรอยยิ้มบางๆ ที่ดูอบอุ่นและสบายใจ
เยี่ยหลีแนบชิดอยู่ในอ้อมอกของเขา เงยหน้ามองดูใบหน้าที่ค่อนข้างเหนื่อยล้าของเขา และกล่าวเบาๆ “เหตุใดจึงไม่พักผ่อนสักหน่อย ไม่ใช่ว่าจะพักอยู่ในเมืองเปี้ยนสองวันหรือ มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยจัดการก็ยังทัน” ม่อซิวเหยาวางคางลงบนศีรษะของนาง ลูบไล้เส้นผมที่อ่อนนุ่ม พร้อมยิ้มเรียบๆ “นอนไม่หลับ…หากจัดการเรื่องที่ต้องจัดการจนหมดแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะได้อยู่เป็นเพื่อนเจ้า อาหลี หลายวันนี้ ลำบากเจ้าแล้วนะ”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เยี่ยหลีพลันนึกถึงท่าทีของจูหลิงยามก่อนตายขึ้นมา เสื้อขาวนวลจันทร์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนอนอยู่บนพื้นดินที่อาบฉ่ำไปด้วยเลือดสดและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ นัยน์ตานางก็หม่นหมองลง…รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป เยี่ยหลีหลับตาลงด้วยความปวดหัวเล็กน้อย
“อาหลี เป็นอะไรไป” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา