“ไม่มีอะไร” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงต่ำ “แค่เหนื่อยเท่านั้น”
นัยน์ตาม่อซิวเหยาวูบไหวเล็กน้อย ลูบหลังบอบบางของนางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นก็หลับสักตื่นเถิด มีเรื่องอะไรไว้ค่อยพูดกันพรุ่งนี้ ดีไหม” เยี่ยหลีพยักหน้า ยามที่ได้อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของม่อซิวเหยา ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกง่วงขึ้นมาเล็กน้อย นางพยายามฝืนความง่วงงุนแล้วเอ่ยว่า “ซิวเหยา สงครามไม่เกี่ยวกับประชาชน อย่าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เลย หัวใจของปวงประชา…”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมา มองใบหน้างดงามที่ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตเบาๆ “หัวใจของอาหลีอ่อนโยนเกินไป เป็นเช่นนี้ไม่ดีนะ จะถูกคนอื่นทำร้ายได้ง่ายๆ ผู้บริสุทธิ์…ใต้หล้าแห่งนี้ ผู้ใดบ้างเป็นผู้บริสุทธิ์”
ภายในห้องหนังสือที่ต่อเติมออกมาชั่วคราวของจวนเจ้าเมือง ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ มองเฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ในใจเฟิ่งจือเหยานึกจนปัญญาอย่างที่สุด ทว่าก็ไม่กล้าพูดแทงใจดำ ในขณะที่ม่อซิวเหยากำลังอารมณ์ย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มเกียจคร้านที่เผยอยู่บนใบหน้าในตอนแรก ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจอมปลอมอันแข็งกระด้าง สุดท้ายก็ฝืนต่อไปไม่ไหวอีก
เขาเหลือบมองฉินเฟิงที่ไม่ยอมพูดอะไรแวบหนึ่ง แล้วเฟิงจือเหยาถึงได้กระแอมเบาๆ “ท่านอ๋อง…”
ม่อซิวเหยาเงยหน้า มองเขาอย่างไม่แยแส ก่อนจะถาม “จัดการคนที่ลานประหารเรียบร้อยหรือยัง”
“จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจือเหยารีบตอบ
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วยิ้มเย็น “เช่นนั้น ในค่ายเชลยขังผู้ใดไว้” เฟิ่งจือเหยาหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยตอบ “บรรดาคนที่ก่นด่าท่านอ๋อง และคนที่คุกเข่าอยู่บนลานประหารพวกนั้นฆ่าหมดแล้วจริงๆ ท่านอ๋องก็เห็นอยู่ ส่วนคนที่เหลือ…ท่านอ๋องไม่ได้สั่งไม่ใช่หรือ”
“อย่างนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาที่ราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ก่อนจะถาม “เช่นนั้นตอนนี้ข้าสั่งแล้ว เจ้าจงไปฆ่าพวกเขาให้หมดเถิด”
“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งจือเหยาหน้าเจื่อน ก่อนจะกระซิบ “ท่านอ๋องได้โปรดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน”
ม่อซิวเหยามองเขาด้วยสายตาเย็นชา เฟิ่งจือเหยาเอ่ยต่อ “ท่านอ๋อง กองทัพตระกูลม่อของพวกเรามีระเบียบวินัยทางทหารที่เข้มงวดและไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์ หากท่านอ๋องสังหารคนเหล่านี้ด้วยความโกรธแค้นที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ ชื่อเสียงของกองทัพตระกูลม่อและตำหนักติ้งอ๋องก็จะถูกทำลายลงในชั่วพริบตา ยิ่งไปกว่านั้นประชาชนของซีหลิงยังเป็นคนองอาจกล้าหาญ หากพวกเขารู้เรื่องการสังหารหมู่ของกองทัพตระกูลม่อ พวกเขาจะต้องช่วยกองทหารซีหลิงปกป้องเมืองอย่างเต็มที่แน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อสงครามในภายภาคหน้าของเรานะพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมยของม่อซิวเหยา เฟิ่งซิวเหยาก็แอบถอนหายใจและพูดต่อ “นอกจากนี้พระชายายังมีจิตใจเมตตา ย่อมไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของท่านอ๋อง เหตุใดท่านอ๋องถึงจะต้องทำให้พระชายาไม่สบายใจเพียงเพราะคนที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนี้ด้วยเล่า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฟิ่งจือเหยาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ม่อซิวเหยา เห็นว่าคิ้วคมของเขามีรอยย่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังใช้ความคิดอยู่ เขาถึงได้เบาใจลง ถ้าท่านอ๋องจะฆ่าคนพวกนั้นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดจริงๆ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเกลี้ยกล่อมเขาได้
หลังจากนั้นไม่นาน ถึงได้ยินม่อซิวเหยาพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ฆ่านักโทษพวกนั้นทั้งหมด ส่วนประชาชนทั่วไปให้ขับออกจากเมืองไป เฟิ่งซาน หากเจ้ายังจัดการได้ไม่ดีอีก เจ้าก็หาทางเอาเองแล้วกัน!”
เฟิ่งจือเหยาโล่งใจ ในยุคนี้ไม่มีการไม่ประหารเชลย ทุกๆ ประเทศเมื่อจับเชลยบนสนามรบได้ นอกจากจะมีการแลกเปลี่ยนหรือจับไปเป็นทาสแล้ว โดยทั่วไปต่างก็ให้สังหารทั้งหมด แม้เฟิงจื่อเหยาจะคิดว่าการฆ่าทหารของซีหลิงที่ไร้ประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า แต่เขาก็รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่สามารถปล่อยไปได้ เก็บไว้กับตัวก็มีแต่จะรำคาญใจ หากม่อซิวเหยาจะต้องฆ่าให้ได้ เขาก็ไม่สนใจแล้วเช่นกัน
“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยพร้อมคารวะ เขามองม่อซิวเหยาและถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านอ๋อง หลงหยาง…จะจัดการอย่างไรดี”
เมื่อเอ่ยถึงหลงหยาง สีหน้าม่อซิวเหยาก็พลันตึงเครียดขึ้นทันที เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พาหลงหยางไปที่ลานประหาร ให้เขาเห็นว่าคนซีหลิงพวกนั้นต้องตายอย่างไร”
เฟิ่งจือเหยาเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อตอนกลางวัน หลงหยางถึงได้ไปปรากฏตัวอยู่บนลานประหาร เขาแอบส่ายหัวอยู่ในใจ หลงหยางทำให้ท่านอ๋องโกรธมากเกินไป เกรงว่าใครก็คงไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้แล้ว “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา จะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าให้พระชายารู้เด็ดขาด” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสริมช้าๆ
เฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิงมองตากัน เรื่องแบบนี้…จะปิดได้หรือ
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยน้อมรับบัญชา”
พอพูดธุระจบแล้ว แต่ม่อซิวเหยากลับดูไม่มีทีท่าว่าจะให้พวกเขาถอยออกไป ทั้งสองเลต่างไม่รู้จะทำอย่างไรขึ้นมาชั่วขณะ ม่อซิวเหยามองทั้งสองคนอยู่นาน แล้วถึงจะเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับอาหลี” ทั้งคู่ต่างผงะไป ไม่ค่อยเข้าใจคำถามของม่อซิวเหยาสักเท่าไร ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยอย่างรำคาญใจ “อาหลีอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอด พวกเขาออกไปครั้งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
พระชายาอารมณ์ไม่ดีหรือ
พวกเขาขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออกว่าตรงไหนที่ทำให้พระชายารู้สึกแย่ สงครามราบรื่นมาโดยตลอด แม้ว่ากองทัพตระกูลม่อจะมีการสูญเสียบ้าง แต่ก็อยู่ในการคาดการณ์ของพวกเขาและล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก พอเห็นสีหน้าของม่อซิวเหยาย่ำแย่ลงไปทุกที ฉินเฟิงเลยเอ่ยว่า “จูหลิงหลานชายของแม่ทัพจูเยี่ยนเอาตัวมาบังการลอบโจมตีแทนพระชายาจนเสียชีวิตลง อีกทั้งแม่ทัพจูเยี่ยนยังกระโดดลงมาจากหอคอย สละชีพฆ่าตัวตายต่อหน้าพระชายา” ฉินเฟิงคิดอยู่นาน มีเพียงแค่สองสิ่งนี้เท่านั้นที่พอเรียกได้ว่าเป็นเรื่องพิเศษ
“จูหลิงหรือ เขาเป็นใคร” ม่อซิวเหยาถาม
ฉินเฟิงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้ม่อซิวเหยาฟัง แต่เดิมเยี่ยหลีและฉินเฟิงเพียงแค่ไปช่วยจางฉี่หลันจัดการกับจูเยี่ยนที่อาจออกมาและกองทัพรักษาความสงบที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใด หลังจากนั้นเยี่ยหลีและหลินหานก็แอบเข้าไปในกองทัพรักษาความสงบเพียงสองคน เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหันของเยี่ยหลี โดยที่ไม่ได้บอกให้ม่อซิวเหยารู้ ดังนั้นเขาย่อมไม่รู้อย่างแน่นอน
ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ ใบหน้าของม่อซิวเหยาก็ยิ่งดำคล้ำมากเท่านั้น เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะแอบถอยไปสองก้าวโดยไม่ให้ใครทันสังเกตเห็น เมื่อฉินเฟิงเอ่ยจบ ภายในห้องหนังสือก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เฟิ่งจือเหยากำลังรอการมาเยือนของความโกรธที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าของม่อซิวเหยา แต่หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน กลับได้ยินเพียงเสียงอันสงบราบเรียบของม่อซิวเหยา “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าออกไปเถิด”
เอ๋
เฟิ่งจือเหยาผงะไป ฉินเฟิงที่อยู่ข้างกายกวาดสายตามาทางเขาอย่างเยือกเย็น ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างเรียบร้อย เฟิ่งจือเหยาอกสั่นขวัญแขวน กุลีกุจอพุ่งตัวออกไปเช่นกัน ภายในห้องหนังสือ เหลือเพียงม่อซิวเหยาที่นั่งหันหน้าเข้ากับโคมไฟเพียงดวงเดียวที่อยู่บนโต๊ะ “จูหลิง…คนตายไปแล้วยังทำให้อาหลีไม่สบายใจได้อีก ตายง่ายเกินไปจริงๆ!”