ในตอนเช้าตรู่ ความสงบสุขและบรรยากาศสบายๆ อย่างในวันวานของเมืองเปี้ยนได้คืนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ไม่ได้รุ่งเรืองและครึกครื้นดังเก่าก่อนอีก บนท้องถนนอันว่างเปล่า นอกจากทหารตระกูลม่อที่เดินลาดตระเวนแล้ว ก็ไร้เสียงเอะอะโวยวายของพ่อค้าแม่ขายริมทาง ไร้ซึ่งเสียงต้อนรับลูกค้าของบรรดาพนักงานจากร้านรวงที่อยู่สองข้างทาง เมืองเปี้ยนอันกว้างใหญ่นั้นเงียบเชียบและว่างเปล่าอย่างหาที่เปรียบมิได้
ม่อซิวเหยาได้รับเชิญจากพวกจางฉี่หลันให้ไปที่ห้องหนังสือตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ เยี่ยหลีใช้เวลาว่างในการเดินเล่นรอบเมืองกับจั๋วจิ้ง หลินหานและฉินเฟิง เมื่อมองไปเห็นถนนอันว่างเปล่า จึงเงียบไปครู่หนึ่งและถามขึ้น “คนเหล่านั้นที่อยู่บนลานประหารเมื่อวาน…” ทั้งสามคนสบตากันทีหนึ่ง ฉินเฟิงเอ่ย “เรียนพระชายา ท่านอ๋องมีรับสั่งให้เนรเทศประชาชนทั้งหมดออกจากเมืองเปี้ยนขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยหลีจึงโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าฆ่าล้างเมืองเป็นไหนๆ
“เนรเทศออกจากเมืองเปี้ยนทั้งหมดหรือ แล้วคนพวกนั้นไปไหนกัน” คิดไปคิดมา เยี่ยหลีก็เอ่ยถามขึ้น ฉินเฟิงตอบ “เก็บชีวิตกลับมาได้ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ดีทั้งนั้น ทว่า…กองกำลังทหารของเหลยเถิงเฟิงที่เหลืออยู่เพียงสองสามหมื่นคนได้ถอยทัพไปยังทิศตะวันตกแล้ว ประชาชนเหล่านั้นเลยพากันเดินทางไปยังทิศนั้นด้วย กลัวก็แต่จะมีคนไม่น้อยที่จะถูกเหลยเถิงเฟิงต้อนเข้าไปอยู่ในกองทัพ พอถึงเวลาต้องลงสู่สนามรบ…”
เยี่ยหลีเอ่ยเบาๆ “ยามเมื่อลงสู่สนามรบก็กลายเป็นศัตรู กระจายข่าวที่ว่าหลงหยางเอาชาวต้าฉู่มาเป็นเกราะกำบังอยู่บนกำแพงเมืองเปี้ยนออกไป พูดต่อกันไปให้เกินจริงหน่อยก็ไม่เป็นไร” ทั้งสามคนมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย เยี่ยหลีเอ่ย “เรื่องของเชลยเหล่านั้นกับเรื่องที่ท่านอ๋องต้องการสังหารประชาชนคงปิดไม่มิดแน่ เมื่อมีเหตุผลนี้แล้ว ก็จะส่งผลดีต่อชื่อเสียงของท่านอ๋องและกองทัพตระกูลม่อ” ทันทีที่เรื่องหลงหยางนำคนของต้าฉู่มาเป็นเกราะกำบังกระจายออกไป การกระทำของม่อซิวเหยาก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็นการแก้แค้นก็ดี หรืออารมณ์ชั่ววูบก็ดี ผู้คนจะเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของม่อซิวเหยาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นสุดท้ายแล้วติ้งอ๋องก็ไม่ได้สังหารล้างเมืองมิใช่หรือ
จั๋วจิ้งขานรับก่อนจะไปสะสางงานที่ได้รับ เยี่ยหลีนำฉินเฟิงและหลินหานเดินต่อไป “หลงหยางอยู่ที่ไหน”
ฉินเฟิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “อยู่ที่คุกทางตะวันตกของเมืองขอรับ ท่านอ๋องสั่งให้กองกำลังทหารคอยเฝ้าอยู่”
“ไปดูกันเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ
ม่อซิวเหยาจงเกลียดจงชังหลงหยางจริงๆ สถานที่ที่หลงหยางถูกคุมขังไม่ใช่คุกที่แข็งแรงแต่อย่างใด ทว่าเป็นสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ที่หันหน้าไปทางลานประหารซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมือง เมื่อมองจากหน้าต่างของที่เล็กๆ แห่งนั้นออกไป จะเห็นเป็นลานประหารที่อยู่นอกเมือง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนมีผู้ถูกสังหารในลานประหารนอกเมืองนี้ไปแล้วกี่คน แต่หลงหยางคงจะต้องรู้แน่ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเขาถูกบังคับให้ดูเชลยตายไปทีละคน แม้การประหารจะจบลงแล้ว แต่ห้องขังที่ม่อซิวเหยาจัดไว้สำหรับเขา ยังคงเป็นห้องขังที่หันหน้าเข้าหาลานประหารซึ่งคงไม่มีผู้ใดรปรารถนาที่จะอยู่ เกรงว่าเมื่อคืนคงจะได้กลิ่นคาวเลือดที่พัดมาจากลานประหารตลอดทั้งคืน
ทหารที่เฝ้าอยู่ชั้นล่างไม่ได้ขวางเยี่ยหลีไว้ นางโบกมือให้คนอื่นๆ หยุดตาม อนุญาตเพียงฉินเฟิงและหลินหานให้ตามเข้าไปในที่อาคารหลังเล็กแห่งนั้นเท่านั้น ไม่ได้พบกันเพียงคืนเดียว หลงหยางกลับผิดไปจากเมื่อวานอย่างลิบลับ หลงหยางที่แต่เดิมก็อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งเต็มที ตอนแรกยังดูสดใสแข็งแรง ทว่าตอนนี้กลับหลังค่อมโค้งงอ เพียงชั่วข้ามคืนรอยคิ้วขมวดบนใบหน้าพลันชัดมากขึ้นกว่าเก่า มองผ่านๆ ราวกับเขาแก่ชราขึ้นไปกว่าสิบปี ผมขาวบางยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ นัยน์ตาขาวขุ่นดูหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
ใครๆ ก็เห็นว่าตอนนี้หลงหยางกำลังเจ็บปวดอย่างมาก ความเจ็บปวดของเขาไม่ใช่ทางกายภาพ ทว่าเกิดจากจิตใจที่ถูกทรมานจากความรู้สึกผิดและความเสียใจ เขาเป็นชายชราอายุเจ็ดสิบปีแล้ว เขาไม่ได้มีหัวใจอันแข็งกระด้างและฆ่าคนได้หน้าตาเฉยอย่างในวัยหนุ่มมานานแล้ว เมื่อเห็นทหารของซีหลิงเสียชีวิตเพราะความผิดพลาดของตัวเอง เขาจึงอยากจะตายแทนพวกเขาเสียให้ได้
“แค่กๆ…พระชายาติ้งอ๋องหรือ” พอได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นมาชั้นบน หลงหยางจึงหันกลับไปมองด้วยความยากลำบาก เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปากบันได หญิงสาวรูปงามในชุดสีเขียวคราม ไร้ประกายอัญมณีล้อมรอบ ไม่มีกลิ่นอายของความหรูหราและสูงส่งจากสิ่งทออันตระการตา ทว่าใบหน้าเรียบเฉยอันงดงามนั้นมีความน่าเกรงขามอย่างที่สตรีสูงศักดิ์ทั่วไปไม่สามารถเทียบเคียงได้ หลงหยางคาดไม่ถึงว่าพระชายาติ้งอ๋องที่ชื่อเสียงดังก้องไปทั่วใต้หล้าจะเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุยังไม่ถึงยี่สิบเช่นนี้ แต่ในเมืองเปี้ยนแห่งนี้ ผู้หญิงคนเดียวที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระทั้งยังดูมีบารมีเช่นนี้ ก็เห็นจะมีแต่เพียงพระชายาติ้งอ๋องเท่านั้น
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา “คารวะท่านแม่ทัพหลงหยาง”
หลงหยางยิ้มอย่างขมขื่น “แม่ทัพที่พ่ายแพ้ เหตุใดต้องคารวะด้วยเล่า เมื่อวาน…ขอบคุณพระชายาที่ช่วยชีวิตประชาชนเมืองเปี้ยนไว้”
“ข้าไม่ได้ทำเพื่อประชาชนเมืองเปี้ยน” เยี่ยหลีเดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลจากหลงหยางพลางเอ่ยตอบเบาๆ หลงหยางส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด เรื่องที่พระชายาช่วยพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริง ข้า…ข้าแก่จนเลอะเลือน เกือบจะคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เหล่านี้เข้าเสียแล้ว ข้าย่อมต้องขอบคุณพระชายา” หลงหยางพูดพลางยืนขึ้นและโค้งคำนับให้เยี่ยหลี เขาเป็นคนที่กำลังจะตายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงและความมั่งคั่ง การคุกเข่าคำนับให้หญิงสาวในวัยยี่สิบต้นๆ จึงไม่รู้สึกเสียหน้าอะไรเช่นกัน
เยี่ยหลีอึ้งไป มองฉินเฟิงและจั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างกาย พวกเขารีบเดินเข้าไปพยุงแขนหลงหยางซ้ายขวาและพาเขากลับไปยังเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ หลงหยางนั่งลงพลางพักหายใจ ก่อนจะมองเยี่ยหลีและพูดว่า “พระชายามาที่นี่ในยามนี้ มีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ” จิตใจและกำลังวังชาของหลงหยางล้วนแย่มาก ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่ตลอดทั้งคืนเมื่อคืน เขายังมองการประหารผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่จนไม่ได้หลับตาพักผ่อน จึงยิ่งทำให้ชายชราอายุเจ็ดสิบปีเหนื่อยล้าถึงที่สุด แม้ว่ากองทัพตระกูลม่อจะไม่ได้ทำร้ายหลงหยาง กระทั่งอาหารการกินก็มีให้ไม่ขาด ทว่าใบหน้าและร่างกายของหลงหยางยังดูอ่อนระโหยโรยแรงอย่างมาก
เยี่ยหลีพยักหน้า ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ท่านแม่ทัพจูเยี่ยนและจูหลิงเสียชีวิตในสงครามแล้ว”
หลงหยางยิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญา “เรื่องนี้น่ะ…ข้าคาดไว้อยู่แล้ว จูเยี่ยนไม่สบายใจมาทั้งชีวิต เก็บกดมาตลอดยี่สิบปี การที่ได้ตายในสนามรบ ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา เขาโชคดีกว่าข้า เพียงแต่เสียดายเจ้าจูหลิง…เด็กนั่นถูกปู่ของเขาส่งไปอยู่ในกองทัพรักษาความสงบตั้งแต่อายุสิบต้นๆ ต่อสู้มาสิบกว่าปีถึงได้อำนาจการเป็นผู้นำของกองทัพรักษาความสงบ แต่คิดไม่ถึงว่า…” หลงหยางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ มองเยี่ยหลีก่อนจะเอ่ย “ตอนแรกข้าได้ยินมาว่าพระชายาเอาชนะกองทัพหลายแสนนายของเหลยเถิงเฟิงได้ด้วยกำลังของตัวเอง พวกเรายังคิดกันเพียงว่าเพราะเหลยเถิงเฟิงหยิ่งผยองจนเคยชิน ไม่มีผู้ใดในสายตาถึงได้พ่ายแพ้เช่นนั้น มาตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าเองก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาเช่นกัน ฝีมือพระชายาไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในยุคนี้เลยจริงๆ ลำพังแค่…สามารถหากองทัพรักษาความสงบเจอได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ข้าก็ชื่นชมอย่างมากแล้ว”
“อาศัยเพียงทักษะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ท่านแม่ทัพชมเกินไปแล้ว”
ชั้นบนของอาคารหลังเล็กตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนที่หลงหยางจะเอ่ย “จูเยี่ยนตายอย่างไรหรือ”
“ท่านแม่ทัพจู…กระโดดกำแพงเมืองปลิดชีพตนเองหลังจากเมืองแตก” เยี่ยหลีเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ดี...ตายอย่างไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียใจ” หลงหยางพยักหน้า มองเยี่ยหลีก่อนจะเอ่ย “อันที่จริง ต่อให้ในวันนี้พระชายาไม่มา ข้าก็อยากพบพระชายาอยู่เหมือนกัน” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเครียด “ท่านแม่ทัพหลงหยางมีเรื่องอะไรเชิญพูดมาได้เลย” หลงหยางถอนหายใจครั้งหนึ่ง มองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าบนลานประหารที่อยู่ไม่ไกล “คิดว่าพระชายาคงเคยได้ยินมาแล้ว ตอนที่ข้ายังหนุ่ม เป็นคนจิตใจอำมหิต สังหารคนได้โดยไม่กะพริบตา” เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ย “ถูกต้อง ท่านแม่ทัพได้รับสมญานามว่าเป็นเทพสังหารแห่งดินแดนตะวันตก ไม่เพียงเลื่องชื่อในแดนตะวันตกเท่านั้น ทว่าคนที่จงหยวนก็หาน้อยนักที่จะไม่รู้จักท่าน”