“ทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีด ไม่รู้ว่าทักษะหล่อหลอมนี้จะเป็นอย่างไร?!”

เซี่ยปิงไม่ได้ให้ความสนใจกับระบบอีก จากนั้นเขาก็ได้นำคัมภีร์หยกออกมาจากร่างกาย นี่คือสิ่งที่ได้รับมาจากโลกเสมือนจริง ข้างในมีทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดอยู่ เป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้แข่งขันแย่งชิงกัน

ในการที่จะแข่งขันเพื่อทักษะลับนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากแค่ไหนที่ได้บาดเจ็บล้มตายไป การที่จะพูดว่าเป็นทะเลเลือดนั้น ก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลย

แน่นอนว่าต่อให้เขาจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมา มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับโลกเสมือนจริง เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดนั้นก็ล้ำค่าเกินไป ไม่ว่าใครก็ต้องการที่จะได้มันมาครอบครอง

“ทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีด? ช่างลึกลับจริงๆ”

เซี่ยปิงถือคัมภีร์หยกนี้ไว้ในมือ จากนั้นจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ได้สำรวจเข้าไป ทันใดนั้นข้อมูลที่ไร้ขอบเขตก็ได้พรั่งพรูเข้ามาในความคิดของเขา

เขารู้สึกว่าตนเองได้หลุดเข้ามาในห้องหล่อหลอมแห่งหนึ่งทันที ข้างในห้องนี้มีชายชราผมสีแดงสดปรากฏอยู่ ทั่วทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ในมือมีกลุ่มเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ ซึ่งก็คือเปลวไฟสามขีดนั่นเอง

เปลวไฟแห่งสวรรค์เช่นนี้ภายใต้การควบคุมของชายชราผมแดงนั้น มันได้เปลี่ยนกลายเป็นรูปร่างต่างๆนาๆ นี่มันเหมือนกับชายชราที่เล่นกับเปลวไฟอย่างอิสระก็ว่าได้ ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

วัตถุดิบในการหล่อหลอมจำนวนนับไม่ถ้วนได้ละลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การแผดเผาของเปลวไฟนี้ การเคลื่อนไหวของชายชราผมแดงเป็นเหมือนกับผู้ควบคุมวงดนตรีก็ว่าได้ ภาพที่เห็นเต็มไปด้วยความงดงามของศิลปะ

หลังจากผ่านระยะเวลาไปครู่หนึ่ง สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ก็ได้ก่อรูปร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เซี่ยปิงรับรู้ได้อย่างกะทันหัน เขารู้สึกว่าตนเองเข้าใจถึงความลึกซึ้งของทักษะหล่อหลอมนี้ในระดับหนึ่ง มันเป็นการผสมผสานวัตถุดิบต่างๆนับไม่ถ้วนโดยที่ใช้เปลวไฟแห่งสวรรค์ จากนั้นก็ใช้ฝีมือที่ประณีตละเอียดอ่อนในการจารึกค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ไว้บนสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์อีกครั้ง ทำให้มันมีจิตวิญญาณตามธรรมชาติขึ้นมา

ทว่ากุญแจสำคัญของทักษะหล่อหลอมนี้ก็อยู่ที่พลังอำนาจของเปลวไฟ

หากปราศจากเปลวไฟสามขีดซึ่งเป็นเปลวไฟแห่งสวรรค์นี้ วัตถุดิบจำนวนมากก็ไม่สามารถที่จะหลอมละลายรวมกันได้

การที่คิดจะเรียนรู้ทักษะหล่อหลอมนี้จนสำเร็จนั้น จะต้องมีเปลวไฟแห่งสวรรค์ที่ผสมผสานเข้ากับร่างกายอยู่ ทว่าเพียงแค่การที่จะได้เปลวไฟแห่งสวรรค์มานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเส้นทางที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากแค่ไหนเสียชีวิตไป เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วการที่ต้องการจะควบคุมเปลวไฟแห่งสวรรค์นั้น มันก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

ผู้คนปกติธรรมดาที่สัมผัสเข้าเปลวไฟแห่งสวรรค์นั้น บางทีก็อาจจะถูกเปลวไฟแห่งสวรรค์แผดเผาจนตายทั้งเป็น

ทว่าสำหรับเซี่ยปิงนั้น เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่เรียบง่ายอย่างมาก ในตัวของเขามีเปลวไฟแห่งสวรรค์อยู่ห้าชนิดด้วยกัน ตรงตามความต้องการของทักษะนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เปลวไฟสามขีด ทว่าก็ยังถือว่าเป็นเปลวไฟแห่งสวรรค์เหมือนกัน มีประสิทธิภาพที่คล้ายคลึงกัน

ทว่านอกเหนือจากการที่ต้องมีเปลวไฟแห่งสวรรค์นั้น การที่ต้องการจะศึกษาเรียนรู้ทักษะหล่อหลอมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย จำเป็นที่จะต้องมีความเชี่ยวชาญในรากฐานของค่ายกลเช่นกัน

หากมีความรู้ในเรื่องค่ายกลที่ไม่มากพอนั้น การที่คิดจะหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ทว่าคัมภีร์หยกนี้ก็มีข้อมูลที่มหาศาลเกี่ยวกับค่ายกลอยู่เช่นกัน หากทำการคำนวณอย่างคร่าวๆนั้น อย่างน้อยก็มีรากฐานของค่ายกลอยู่108,000ชนิดด้วยกันซึ่งรวมถึงค่ายกลห้าธาตุ ค่ายกลดวงดาว ค่ายกลห้วงมิติ ค่ายกลลวงวิญญาณ ค่ายกลภาพลวงตาและค่ายกลอื่นๆ ค่ายกลแต่ละชนิดนั้นมีความลึกลับและซับซ้อนอย่างมาก เทียบเท่าได้กับการแก้โจทย์แต่ละข้อของคณิตศาสตร์โอลิมปิกก็ว่าได้

ผู้คนปกติธรรมดาที่เพียงแค่เห็นค่ายกลเหล่านี้นั้น จะมีอาการปวดหัว ไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรได้

หากต้องการที่จะเรียนรู้จนสำเร็จนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้ระยะเวลากว่าหมื่นปี ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังต้องมีพรสวรรค์อยู่เช่นกัน

มันดูเหมือนกับเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ก็ว่าได้ หากไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้ใช้ระยะเวลาหนึ่งร้อยปีก็ไม่สามารถที่จะแก้โจทย์ได้ ทำได้เพียงแค่จ้องมองอย่างไร้หนทาง

ทว่าข้อมูลของค่ายกลเช่นนี้ หากให้ปรมาจารย์ด้านค่ายกลมาดูล่ะก็ แต่ละคนจะต้องมีอาการดีใจอย่างมาก เหมือนกับว่าได้ครอบครองสมบัติระดับสุดยอดก็ว่าได้ นี่คือความรู้ที่ล้ำค่าซึ่งต่อให้รวยก็ไม่สามารถที่จะซื้อได้

แม้แต่ค่ายกลบางอย่างก็ยังไม่มีในนิกายฟ้าดิน นี่คือค่ายกลดั้งเดิมที่บรรพบุรุษเก่าแก่เปลวไฟสามขีดได้คิดค้นขึ้นมา

“ไม่ประหลาดใจว่าทำไมการที่ต้องการจะกลายเป็นนักหล่อหลอมถึงได้ยากยิ่งนัก ต่อให้จะเลื่อนขั้นไปในระดับหล่อหลอมสมบัติ ผู้ที่สามารถกลายเป็นนักหล่อหลอมได้จริงๆก็มีไม่มาก ไม่คาดคิดว่าการที่จะหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ขึ้นมานั้นจะเป็นเรื่องที่ยากเช่นนี้”

เซี่ยปิงถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม ผู้คนปกติธรรมที่ต้องการจะกลายเป็นนักหล่อหลอมนั้น อย่างแรกจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ หากปราศจากพรสวรรค์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความสามารถในแขนงนี้ได้

ทว่าต่อให้จะมีพรสวรรค์ในการเข้าถึงศาสตร์แขนงนี้ได้นั้น หลังจากนั้นก็จำเป็นที่จะต้องทำการฝึกฝนอีกเป็นระยะเวลาหลายๆปี จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจในค่ายกลรูปแบบต่างๆ จำเป็นที่จะต้องมีวัตถุดิบในการหล่อหลอมเช่นกัน นอกจากนี้ก็จำเป็นที่จะต้องล่วงรู้ถึงสัดส่วนของวัตถุดิบต่างๆนาๆที่ใช้ในการหล่อหลอมด้วย

หลังจากที่มีความเชี่ยวชาญในด้านความรู้ทั้งหมดนี้ ก็จะถือว่าประสบความสำเร็จในระดับฝึกหัด

แต่ปัญหาก็คือว่าการที่จะเข้าใจความรู้ทั้งหมดนี้ได้นั้น ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาที่นานแค่ไหน

ดังนั้นปรมาจารย์นักหล่อหลอมแต่ละคนที่เติบโตขึ้นมานั้น จำเป็นที่จะต้องสั่งสมประสบการณ์เป็นระยะเวลานานหลายๆปีและจำเป็นต้องมีทรัพยากรในปริมาณที่มหาศาลเช่นกัน หากปราศจากการสนับสนุนจากกลุ่มอิทธิพลระดับสุดยอดนั้น การที่ต้องการจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ด้านการหล่อหลอมก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่เพ้อฝัน

“โชคดีที่ข้ามีระบบอยู่ ไม่อย่างนั้นการที่ศึกษาข้อมูลของค่ายกลรูปแบบต่างๆเหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาที่นานแค่ไหน” เซี่ยปิงเอามือเท้าคาง เขาได้ถามระบบทันทีว่าการที่จะเรียนรู้ค่ายกลทั้งหมดนี้จะต้องใช้คะแนนความเกลียดชังจำนวนมากแค่ไหน

“ผู้เล่น จำเป็นที่จะต้องใช้คะแนนความเกลียดชังทั้งหมด2พันล้านคะแนน”

ระบบตอบกลับ

“อะไรนะ? ทำไมถึงได้แพงยิ่งนัก? นี่มันแพงยิ่งกว่าการเรียนรู้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังถึงหลายเท่า?” เซี่ยปิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

ระบบพูดออกมา “นี่เป็นเรื่องปกติ รากฐานของค่ายกลแต่ละชนิดนั้นมีความซับซ้อนอย่างมาก ต่อให้ตอนนี้จะมีข้อมูลของรากฐานค่ายกลอยู่108,000ชนิดด้วยกัน ทว่าการที่คิดจะเรียนรู้พวกมันทั้งหมดนั้น แม้กระทั่งผู้ที่มีพรสวรรค์ดั่งปีศาจก็ยังต้องใช้ระยะเวลานานนับพันปี”

เซี่ยปิงเอามือเท้าคาง เขาก็คิดได้อย่างกะทันหันเช่นกัน ผู้คนปกติธรรมดาที่ต้องการจะเรียนรู้ค่ายกลทั้งหมดนี้นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลาที่นานมาก การที่ตนเองสามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างกะทันหันนั้น คะแนนความเกลียดชังเพียงแค่สองพันล้านคะแนนไม่ได้ถือว่ามากเกินไป

“เอาล่ะ แลกเปลี่ยน”

คิดได้แบบนี้ เขาก็ได้ตัดสินใจในทันที

หล่ง หล่ง หล่ง~

ทันใดนั้นข้อมูลมหาศาลก็พรั่งพรูเข้ามาในความคิดของเซี่ยปิงซึ่งมากยิ่งกว่าข้อมูลของคัมภีร์หยกก่อนหน้านี้เสียอีก นี่มันหเหมือนกับการมอบความรู้และสติปัญญาให้ผู้อื่นแตกฉาน เป็นเหมือนกับการจารึกข้อมูลทั้งหมดไว้ในจิตวิญญาณของเขาโดยตรง

ในช่วงเวลานี้สติการรับรู้ของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นมาไม่รู้กี่เท่า เป็นเหมือนกับยอดปรมาจารย์ด้านค่ายกลก็ว่าได้ อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจรากฐานของค่ายกลทั้ง108,000ชนิดอย่างรวดเร็ว

ทว่าการที่จะรับรู้ข้อมูลทั้งหมดนี้ ระยะเวลาก็ได้ผ่านไปถึงสามวันสามคืน

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”

หลังจากที่เสร็จสิ้นการรับรู้ข้อมูล ดวงตาของเซี่ยปิงก็เป็นประกาย ส่วนลึกของม่านตาเหมือนกับว่ามีค่ายกลที่ลึกลับบางอย่างไหลเวียนอยู่ ร่างกายมีออร่าที่ลึกลับแผ่ออกมา กระตุ้นพลังอำนาจของสวรรค์และโลกเล็กน้อย ส่งผลให้โลกรอบๆสั่นไหว

การที่ได้รับข้อมูลมาจากระบบนั้น เขาก็ได้เรียนรู้รากฐานของค่ายกลทั้ง108,000จนสำเร็จ เข้าใจได้อย่างกะทันหัน กลายเป็นปรมาจารย์ในด้านค่ายกล

แน่นอนว่าการที่จะกลายเป็นยอดปรมาจารย์นั้น มันยังไม่สามารถที่จะไปถึงในระดับนั้นได้

เพราะว่าถึงอย่างไรยอดปรมาจารย์ด้านค่ายกลนั้นไม่ใช่เพียงแค่เรียนรู้รากฐานของค่ายกลเท่านั้น ทว่าบุคคลที่มาถึงระดับนี้ได้ จะสามารถปรับแต่งค่ายกลหรือแม้กระทั่งสร้างค่ายกลขึ้นมาเองได้ นี่คือระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างแท้จริง

นี่เป็นเหมือนกับผู้ที่จบปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ก็ว่าได้ แตกต่างจากนักคณิตศาสตร์ทั่วไป ฝ่ายหนึ่งเพียงแค่มีความรู้ของคณิตศาสตร์ ทว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ที่สามารถแก้โจทย์ยากที่ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น สำหรับค่ายกลรูปแบบต่างๆนั้น เซี่ยปิงก็ยังมีความเข้าใจอย่างชัดเจน

ในตอนนี้เขาก็ล่วงรู้ถึงต้นกำเนิดของค่ายกลเช่นกัน มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ทว่าเป็นค่ายกลที่ดำรงอยู่โดยธรรมชาติของโลก เป็นสนามอาณาเขต เป็นพลังอำนาจของธรรมชาติ

ทว่ามนุษย์หรือว่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจของจักรวาลนั้น เนื่องจากผ่านการสำรวจและเข้าใจถึงธรรมชาติของโลก พวกเขาจึงบรรลุพลังในระดับนี้ อย่างเช่นคำกล่าวที่ว่าคนเราจะทำการใดให้บรรลุผลได้ ต้องรู้ฟ้า รู้ดิน รู้คน และรู้ให้เป็นเอกภาพ

เรียกได้ว่าค่ายกลนั้นมาจากพลังอำนาจของโลก

ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนในจักรวาลนั้นจึงสัมผัสได้ถึงค่ายกลของโลกและทำการเปลี่ยนแปลงมันเพื่อการใช้งานของตนเองหรือไม่ก็ผสมผสานเข้ากับร่างกาย ส่งอิทธิพลต่อโลก แสดงพลังอำนาจที่มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าหรือแม้กระทั่งหลายสิบเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น ยอดปรมาจารย์ด้านค่ายกลที่ทรงอำนาจบางคนนั้น พวกเขายังสามารถที่จะใช้ความรู้ในค่ายกลของพวกเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎที่ควบคุมโลกได้เช่นกัน

ทว่านี่ก็เป็นพลังอำนาจที่อยู่ในระดับที่สูงกว่านี้