เขาเป็นห่วงปีศาจสาวต่างหาก!

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วแน่น “รบกวนเถ้าแก่หาคนมาให้มากขึ้น เราออกไปตามหาข้างนอกกัน ตอนนี้ดึกแล้ว ประตูเมืองก็ปิด ไม่ว่าอย่างไรก็คงออกนอกเมืองไม่ได้ ถ้าอยู่ในเมืองจูเฉิงก็ไม่มีทางหายไปไหนแน่”

ถึงปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจอดนึกสังหรณ์ไม่ดีไม่ได้

ปีศาจสาวมีอาคม หากนางสามารถเหินฟ้าดำดินได้ ไม่แน่ว่าอาจจะออกจากเมืองไปนานแล้วก็ได้

เถ้าแก่คิดดูก็เห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีก เขาถอนใจพลางกล่าวว่า “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าปากมาก แต่ผู้หญิงกับผู้ชายหายไปพร้อมกันแบบนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องอื่น…”

คิดไม่ถึงว่ายังพูดไม่ทันจบ เซียวเถี่ยเฟิงก็ตวาดเสียงดัง “หุบปาก!”

เถ้าแก่ตกใจจนเผลอทำโคมหลุดมือ

เสียงของเขาแฝงแววคมกริบเย็นชา ใครได้ยินก็อดกลัวไม่ได้ ไม่เหมือนกับชายหนุ่มซึ่งมีสีหน้าเป็นมิตรคนเมื่อครู่สักนิด? พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าท่ามกลางความมืดนั้น ใบหน้าแข็งกร้าวของชายหนุ่มดูน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเขาชักสีหน้าเช่นนี้ก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น ใครเห็นเข้าก็ต้องตกใจจนเข่าอ่อนมือสั่นระริกด้วยกันทั้งนั้น

นี่ๆๆ ทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้!

“ข้า…ข้าก็แค่…แค่พูดไปอย่างนั้นเอง…”

เถ้าแก่ยกมือสั่นระริกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ปากก็พร่ำขอโทษไม่หยุด

คิดดูก็ใช่ ผู้หญิงที่หายไปเป็นภรรยาของผู้ชายคนนี้ ส่วนผู้ชายที่หายไปก็เป็นเพื่อนของเขา หากเป็นอย่างที่เขาคิดจริง มิเท่ากับถูกสวมเขาหรอกหรือ? เขาจะทนรับได้อย่างไร!

ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเอ้อก็ร้องตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ “เจอแล้ว เจอแล้ว! นอนอยู่ในส้วม!”

เถ้าแก่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบวิ่งไปดู คิดไม่ถึงว่าร่างของบุรุษตรงหน้าจะพุ่งตรงไปที่ส้วมอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ไปถึงก็พบว่าในส้วมนั้นทั้งมืดทั้งเหม็นทั้งสกปรก มิน่าก่อนหน้านี้คนที่มาหาถึงหาไม่พบ คนนอนหมดสติอยู่ในนั้น คนงานที่มาหาคงกลัวเหม็นก็เลยแค่ตะโกนอยู่ด้านนอกว่า “ท่านจ้าว อยู่ด้านในหรือไม่ ข้างในมีคนอยู่หรือเปล่า” พอไม่มีใครตอบก็ไปหาที่อื่น

แบบนี้ก็ต้องหาไม่เจออยู่แล้ว!

ครั้งนี้มีคนงานคนหนึ่งปวดฉี่ พอก้าวเข้าไปในส้วมก็เหยียบโดนขาของใครบางคนเข้าพอดี เขาตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง แต่พอก้มมองดีๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นคน

เขารีบเรียกคนมาช่วยกันแบกคนคนนี้ออกไป

ฝ่ายเซียวเถี่ยเฟิง ได้ยินว่าหาพบในส้วม ในใจก็มีภาพต่างๆ ผุดขึ้นมากมาย

เช่น งูตัวหนึ่งได้กลิ่นเหล้าแล้วเป็นลมหมดสติ มันเปลี่ยนเป็นร่างเดิมเลื้อยเข้าไปในส้วม รอจนสร่างเมาถึงได้กลับคืนเป็นร่างคนนอนอยู่ตรงนั้น

แม้จะแปลกประหลาดไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคิดออกในตอนนี้

ไม่คิดว่าพอไปถึงกลับพบว่า คนที่นอนหมดสติอยู่ในส้วมกลับเป็นจ้าวจิ้งเทียน ไม่ใช่ปีศาจสาว

ถ้าอย่างนั้น ปีศาจสาวไปอยู่ที่ไหน?

เซียวเถี่ยเฟิงมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก

เถ้าแก่สั่งให้คนงานช่วยกันปลุกจ้าวจิ้งเทียน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่ฟื้น เขายังคงนอนหลับสนิท ร่างทั้งร่างก็อ่อนปวกเปียกไปหมด

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ หัวใจก็กระตุกวูบ เขารีบขยับเข้าไปใกล้ พอดมดู หัวใจก็เจ็บแปลบราวกับถูกมีดแทง เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่

กลิ่นนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เขาเคยได้กลิ่นนี้ในวันที่ปีศาจสาวดูดไอหยางของเขาไป!

ถ้าอย่างนั้น…ปีศาจสาวเล่า?

เถ้าแก่เห็นชายหนุ่มซึ่งแข็งแกร่งราวกับหลอมขึ้นจากเหล็กเช่นเซียวเถี่ยเฟิงเซไปวูบหนึ่งเหมือนจะล้มลงตรงนั้นก็ตกใจมาก

“เพิ่งจะล้มไปคนหนึ่ง คงไม่ล้มอีกเป็นคนที่สองหรอกนะ”

โรงเตี๊ยมของเขาเป็นแค่กิจการเล็กๆ ไม่อาจทนรับเภทภัยได้

เซียวเถี่ยเฟิงถูกประคองเอาไว้ เขาพยายามตั้งสติและอดทนต่อความเจ็บปวดหัวใจ เดินกลับห้องไปทีละก้าวๆ

ใจก็คิดไปเรื่อยๆ ว่า ครั้งนี้ปีศาจสาวดูดไอหยางแล้วจะหนีไปที่ไหน ทำไมนางไม่เอาหนังงูไปด้วย?

เขาคิดจะกลับห้องไปเก็บสัมภาระกับหนังงูของปีศาจสาวก่อน จากนั้นค่อยคิดว่าจะไปตามหานางที่ไหน คิดไม่ถึงว่าพอกลับไปถึงห้องกลับเห็นปีศาจสาวนั่งอยู่บนเตียง

ปีศาจสาวในยามนี้มีสีหน้าสดใส ราวกับเพิ่งได้กินโอสถทิพย์บำรุงร่างกายมา

เขาเดินเข้าไปถาม แต่นางกลับพูดว่าไปส้วมมา!

แถมระหว่างที่นางพูด กลิ่นเหล้าก็โชยออกมาจากปากของนางด้วย

นางไม่ได้ดื่มเหล้า ทำไมในปากถึงมีกลิ่นเหล้าได้?

ในส้วมมีแต่จ้าวจิ้งเทียนซึ่งนอนหมดสติอยู่ตรงนั้นชัดๆ มีนางเสียที่ไหน!

เซียวเถี่ยเฟิงมองปีศาจสาวผู้มีใบหน้าไร้เดียงสาด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ในใจได้ข้อสรุปว่า ปีศาจสาวชอบจ้าวจิ้งเทียน นางก็เลยไปดูดไอหยางของจ้าวจิ้งเทียน แถมยังใช้วิธีปากประกบปากอีกด้วย

ดังนั้นในปากนางถึงได้มีกลิ่นเหล้า ดังนั้นนางถึงได้มีสีหน้าสดใส ดังนั้นนางถึงได้ไปที่ส้วมในเวลาเดียวกับจ้าวจิ้งเทียน ดังนั้นจ้าวจิ้งเทียนถึงได้หมดสติ!

“เจ้าใช้ปากดูดเหมือนเมื่อคืนวานหรือเปล่า? เจ้ายังทำอะไรเขาอีก?”

หัวใจของเขากำลังหลั่งเลือด

เมื่อคืนวาน นางร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างไร ใช้ปากน้อยๆ ดูดปากของเขาอย่างไร รสชาตินั้น ชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันลืมเลย!

แต่พริบตาเดียว ผ่านไปแค่วันเดียว นางก็ไปดูดไอหยางของคนอื่นเสียแล้ว?

กู้จิ้งเพิ่งจะมุดออกมาจากกระเป๋าหนังสุดที่รักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นชายหนุ่มผู้มีหน้าบูดบึ้งเหมือนเพิ่งจับได้ว่าเมียมีชู้ก็อดงุนงงไม่ได้

“ปาก? กินข้าว?”

เธอไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ พูดถึงปากทำไมกัน?

ดูดอะไร? เธอยิ่งไม่เข้าใจ

เซียวเถี่ยเฟิงรู้ว่าเธอไม่เข้าใจก็กัดฟันถามอีกว่า “จิ้งเทียน จิ้งเทียนที่เมื่อครู่ดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน เจ้ากับเขา… เจ้ากับเขา…”

กับเขาทำไม คำพูดเหล่านี้เขาพูดไม่ออก

แม้แต่คิดก็ไม่กล้าคิด

เขาไม่อาจจินตนาการภาพที่ปากน้อยๆ ของปีศาจสาวสัมผัสกับจ้าวจิ้งเทียนได้เลย แค่คิดขึ้นมาเขาก็รู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอก

กู้จิ้งตกใจไม่น้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองเซียวเถี่ยเฟิง ใจอดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้หน้าบึ้งมากเหมือนจะพุ่งเข้ามาบีบคอเธอได้ทุกเวลา ร่างทั้งร่างก็เหมือนจะปกคลุมด้วยรังสีอำมหิต

เธอไม่เคยเห็นเซียวเถี่ยเฟิงที่เป็นแบบนี้มาก่อน

แต่ไหนแต่ไรมา เธอคิดว่าเขาเป็นนายพรานซื่อๆ ยากจน…หยางไป๋เหลาที่ถูกผู้คนข่มเหง ทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นยมบาลดาวพิฆาตไปได้เล่า?

เป็นเพราะเธอรังแกจ้าวจิ้งเทียนอย่างนั้นหรือ?

เขารู้งั้นรึ?

แต่…แต่เธอทำไปเพราะโกรธแค้นแทนเขานี่นา… เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร?

“ฉัน…ฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรเขา แค่พ่นนิดเดียว…” เธอก้มหน้าด้วยท่าทางสำนึกผิดพลางกล่าวเสียงเบา “แค่นิดเดียวเอง ใครจะรู้ว่าเขาจะหมดสติไปเลย…ไม่เอาไหนจริงๆ…”

เธอกลัวเขาไม่เข้าใจจึงทำไม้ทำมือประกอบด้วย

แค่พ่นนิดเดียวเองจริงๆ นะ! จ้าวจิ้งเทียนคงไม่ได้ไม่เอาไหนจนกระทั่งป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้นหรอกนะ?!

แต่เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งกำลังถูกความโกรธแค้นครอบงำกลับเข้าใจความหมายของเธอผิด เขาจับคำพูดของเธอได้ไม่กี่คำ รู้ว่าเธอพูดว่า “นิดเดียว, หมดสติ, ไม่เอาไหน”

หากเอามาเชื่อมเข้าด้วยกันก็หมายความว่า นางดูดไอหยางของจ้าวจิ้งเทียนไปแค่นิดเดียว แต่จ้าวจิ้งเทียนกลับหมดสติไป ช่างไม่เอาไหนจริงๆ

ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว

นางจูบผู้อื่นและแหย่ลิ้นเข้าไปดูดไอหยางจริงๆ

เซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่ได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ไหน ฤทธิ์สุราร้อนแรงฉวยโอกาสที่จิตใจกำลังถูกความแค้นเคืองและความริษยาครอบงำพุ่งขึ้นสู่สมอง เขากัดฟันกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?”

เขาอยากจะพูดว่า ทำไมเจ้าถึงทำตัวร่านเช่นนี้ แต่ก็พูดไม่ออก

หัวใจของเขาหนักอึ้งเหมือนถูกก้อนหินทับเอาไว้ จะก้าวต่อไปก็ไม่ใช่จะถอยหลังก็ไม่ใช่ เจ็บปวดจนร่างกายไร้ความรู้สึก

“นายต้องโกรธขนาดนี้ด้วยหรือ?” เมื่อครู่กู้จิ้งยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เห็นแววตาที่ไม่คุ้นเคยของเซียวเถี่ยเฟิงแล้ว เธอก็โมโหขึ้นมาบ้าง “ต่อให้ฉันผิด ว่าฉันก็พอ ทำไมต้องทำเหมือนฉันไปฆ่าใครตายด้วย!”

“ก็แค่จ้าวจิ้งเทียนไม่ใช่รึ เขาเป็นพ่อหรือแม่ของนายรึไง ทำไมถึงได้เข้าข้างเขาขนาดนี้!”

ยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ

เธอเห็นเขาเป็นญาติเป็นเพื่อน บางครั้งยังรู้สึกใกล้ชิดเหมือนกับเป็นสามีภรรยา เธอคิดว่าอย่างน้อยสำหรับเขา เธอก็เป็นคนที่มีความสำคัญ ไม่มีใครสามารถทดแทนได้

แต่ใครจะรู้ว่า เธอกลับเทียบจ้าวจิ้งเทียนไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!

เสียดายที่เซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจคำพูดของเธอ เขารู้เพียงแค่ว่า เธอเอาแต่พูดคำว่าจ้าวจิ้งเทียน เธอกำลังน้อยใจ ทั้งโกรธทั้งน้อยใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก!

เซียวเถี่ยเฟิงมองเธอนิ่ง ในแววตามีทั้งความผิดหวัง งุนงง พ่ายแพ้และจนใจอย่างเห็นได้ชัด

ใช่ เขาเป็นคนไร้สามารถ ครั้งแรกในชีวิตที่ได้กอดผู้หญิงก็ยังเหลวไม่เป็นท่า

เขาถูกขับออกจากหมู่บ้าน ไม่อาจหาบ้านหรืออาหารดีๆ ให้ ทำให้นางต้องลำบาก แต่นางไม่จำเป็นต้องทนลำบากกับเขา นางสามารถหาคนที่ดีกว่า คนที่มีไอหยางมากพอและมีอาหารดีๆ ให้นางมากพอ

“ได้” เขาถลึงตามองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าไปหาจ้าวจิ้งเทียน ไปหาเขา เขามีเงิน จะแต่งภรรยาอีกคนก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เจ้าไปเถอะ!”

กล่าวจบเขาก็ตั้งท่าจะหันกายเดินจากไป ปากกัดฟันกล่าวว่า “นับแต่นี้ไป เจ้าเดินทางของเจ้า ข้าข้ามสะพานของข้า ทางใครทางมัน ไม่ต้องมารู้จักกันอีก!”