บทที่ 308 นกฮูกออกล่าเหยื่อ
ดึกสงัด
เมฆดำบนท้องฟ้าลอยต่ำ แผ่เงาของมันปกคลุมพื้นโลก
ณ สถานศึกษากระบี่ที่สาม
ในห้องทำงานของคณะอาจารย์มีโคมไฟจุดสว่าง
อาจารย์ระดับอาวุโสทั้งสามท่านซึ่งประกอบไปด้วยฉู่เหิน พานเว่ยหมิน และหลิวฉีไห่ กำลังนั่งประชุมกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล” พานเว่ยหมินว่า “เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเฉาพั่วเถียนมีพลังปราณปีศาจอยู่ในตัว”
ฉู่เหินเอ่ย “ต่อให้มีพลังปราณปีศาจอยู่ในตัวจริง แต่ร่องรอยบนร่างกายของเขาก็บอกว่าได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของปีศาจเช่นกัน อีกอย่างเขามีสถานะเป็นถึงลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุน จึงไม่มีเหตุผลที่เฉาพั่วเถียนจะต้องหันไปเป็นสาวกปีศาจ นอกจากได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสได้รับบาดเจ็บจากที่อื่นอีกเลย เจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไง?”
“หรือเจ้าเด็กนั่นรู้ตัวว่าจะต้องพ่ายแพ้ มันก็เลยใช้วิธีนี้เพื่อใส่ความหลินเป่ยเฉิน?” หลิวฉีไห่พูดอย่างใช้ความคิด
พานเว่ยหมินส่ายหน้า “เจ้ายกย่องเฉาพั่วเถียนมากเกินไปแล้ว เขาหวาดกลัวแทบตายตอนที่รู้ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสและกระอักลิ่มเลือดออกมา แล้วเขาจะกล้ารับพลังปราณปีศาจเข้าร่างกาย เพื่อใส่ความหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?”
หลิวฉีไห่นิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนที่ความตกตะลึงจะปรากฏขึ้นบนสีหน้า
ฉู่เหินอุทานออกมาว่า “เฒ่าหลิว เจ้านึกอะไรขึ้นมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
หลิวฉีไห่สั่นศีรษะเสมือนไม่อยากยอมรับความจริง “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
ฉู่เหินกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะคิดอย่างที่ข้าคิดสินะ”
หลิวฉีไห่ตอบว่า “ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคิดสิ่งใด ข้าก็คิดสิ่งนั้นอยู่เช่นกัน”
“ไป๋ไห่ชินจะกล้าทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หลิวฉีไห่ยกมือลูบเคราของตนเอง เป็นครั้งแรกที่ชายชรารู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้มันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป
“สิ่งที่เราต้องสนใจบัดนี้ ไม่ใช่ว่าไป๋ไห่ชินจะกล้าทำถึงขนาดนั้นหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่าเราจะสามารถนำหลินเป่ยเฉินออกมาจากปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรต่างหาก” พานเว่ยหมินยกมือนวดขมับและกล่าวต่อ “ข้าเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาแล้วสิ จะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้แน่นอน นับตั้งแต่ที่ฟางเจิ้นหรู่ถูกฆาตกรรม ข้าก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เหตุการณ์ทุกอย่างกำลังพุ่งเป้าไปที่หลินเป่ยเฉิน”
ฉู่เหินไม่ตอบรับคำใด
หลิวฉีไห่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เจ้าก็รู้สึกเหมือนกันหรือ? ลางสังหรณ์ก็กำลังบอกข้าว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเช่นกัน มันจะเป็นพายุใหญ่ที่พร้อมทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง… บอกตามตรงเลยนะ มันทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน”
พานเว่ยหมินพยักหน้าเห็นด้วย
ดูเหมือนว่าอนาคตหลังจากนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นกับหลินเป่ยเฉินแน่ๆ
“เราไปหาอาจารย์ใหญ่กันดีกว่า” ฉู่เหินพลันลุกขึ้นยืนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เรื่องนี้อาจารย์ใหญ่ควรต้องลงมาจัดการด้วยตนเองแล้ว”
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลหลิน
ภายใต้พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ เต็มไปด้วยศาลานั่งเล่นและสระน้ำ รวมถึงน้ำพุจำลองถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม นอกจากนั้นก็ยังมีต้นไม้หนาแน่นไม่ต่างไปจากผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์
รองจากจวนผู้ว่าแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ที่แห่งนี้เท่านั้นที่มีความหรูหรามากที่สุดในตัวเมืองหยุนเมิ่ง
คฤหาสน์หลังงามถูกปิดตายเป็นเวลาหลายเดือน แต่ในที่สุด ประตูรั้วก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
นับตั้งแต่บ่ายวันนี้เป็นต้นมา มีข้ารับใช้จำนวนมากเดินเข้าออกตลอดเวลา
และยังมีเวรยามรักษาความปลอดภัยคอยเดินตรวจตราอย่างหนาแน่นรัดกุม
เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับผู้ที่ได้ครอบครองคฤหาสน์คนปัจจุบัน
หลินเจิ้นหนานมาจากครอบครัวยากจนและใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก
นับตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยได้กินอาหารอิ่มท้อง ไม่เคยได้สวมใส่เสื้อผ้าดีๆ
แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อหลินเจิ้นหนานได้แต่งงานกับน้องสาวบุญธรรมของหลินจิ้นหนาน สภาพความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ อาหารวันละหลายมื้อได้รับประทานแต่ของดีชั้นเลิศ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ราคาแพง หรูหราและตัดเย็บอย่างประณีต
ก่อนหน้านี้ หลินจิ้นหนานปฏิเสธการรับคฤหาสน์หลังนี้เป็นของรางวัลจากองค์จักรพรรดิมาตลอด
แต่เมื่อบุตรชายของเขาอย่างหลินเป่ยเฉินถือกำเนิดขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
หลินจิ้นหนานผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ ยอมรับของรางวัลโดยไม่ทัดทานอีกแล้ว มิหนำซ้ำ เขายังยอมร่วมมือกับขุนนางจำนวนมากเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว ชีวิตที่เคยสมถะก็กลับกลายเป็นหรูหรา และใช้เวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น คฤหาสน์ตระกูลหลินแห่งนี้ก็ถูกต่อเติมจนมันกลายเป็นหนึ่งในที่อยู่อาศัยที่ใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดแห่งเมืองหยุนเมิ่ง
ที่นี่เคยมีข้ารับใช้และเวรยามหลายร้อยคนเดินลาดตระเวนในผืนป่ารอบคฤหาสน์ทุกๆ วัน
และเมื่อหลินเป่ยเฉินเติบโตมากยิ่งขึ้น ผู้เป็นบิดาก็ดูแลเขาดียิ่งกว่าไข่ในหิน
หลายคนกล่าวหาว่าที่เด็กหนุ่มโตขึ้นมาเป็นคนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมือง ก็เป็นเพราะว่าบิดาของเขาตามใจมากเกินไปนั่นเอง
ในภายหลัง หลินจิ้นหนานต้องโทษก่อกบฏ และคฤหาสน์ตระกูลหลินถูกบุกยึดตรวจค้น ที่นี่ห้ามไม่มีใครเข้าออกอีกต่อไป หลายคนได้แต่มายืนมองอยู่จากระยะไกล มันถูกปล่อยทิ้งร้างเป็นเวลาหลายเดือน แต่ในที่สุด วันนี้ก็เกิดการเคลื่อนไหวในอาณาเขตของคฤหาสน์สกุลหลินอีกครั้ง
บัดนี้ ล่วงเข้ายามดึกสงัดแล้ว
ภายในตัวคฤหาสน์ยังคงจุดโคมไฟสว่างไสว
ถังกู่จินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หุ้มหนังเสือในห้องโถงใหญ่ ดวงตาของเขาปิดลงเหมือนกำลังนั่งสมาธิ
สองข้างที่นั่งของเขายืนเรียงรายด้วยผู้ติดตามข้างละสิบคน ซึ่งพร้อมที่จะรับคำสั่งตลอดเวลา
ได้ยินเสียงท้องฟ้าคำรามดังครืนครัน
สายลมกรรโชกแรง ต้นไม้ที่อยู่ในผืนป่ารอบคฤหาสน์ไหวเอนไปมาเสียดสีกันส่งเสียงดังระคายหู
แล้วก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“ใต้เท้าขอรับ ข้าเจอแล้วขอรับ ข้าเจอมันแล้ว…” หลินเจิ้นหนานวิ่งผ่านประตูห้องโถงเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดขีด “ข้าพบเจอมันในบ้านพักข้างสวนหย่อม มันเคยเป็นที่อยู่อาศัยของหลินเป่ยเฉินขอรับ หลักฐานยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก เห็นได้ชัดว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นความจริง…”
พลัน ถังกู่จินลืมตาขึ้นมาทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า นับว่าครั้งนี้สวรรค์เมตตาข้าแล้วจริงๆ”
เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ในที่สุดความรู้สึกหนักอึ้งซึ่งกดทับหัวใจก็สลายหายไป
“งั้นพวกเรารีบพาเจ้าหน้าที่มือปราบไปดูกันเลยดีกว่า”
ถังกู่จินอยากจะเห็นหลักฐานที่ว่านั้นด้วยตาของตนเองแล้ว
หลินเจิ้นหนานรีบนำทางไปเร็วไว
ผ่านไปช่วงเวลา 1 ก้านธูป
รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังกู่จินในขณะที่เขาเดินกลับเข้ามาในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง “ฮ่าฮ่าฮ่า เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบสมบูรณ์แบบ… ผู้อาวุโสหลิน ไม่ทราบว่าอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าให้ท่านจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเจิ้นหนานรีบตอบกลับโดยเร็วว่า “กราบเรียนใต้เท้า ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยดีแล้วขอรับ”
“ประเสริฐ”
ถังกู่จินไม่สามารถหุบยิ้มได้แล้วจริงๆ “ท่านทำผลงานได้ดีมาก เราจะไม่ลืมความดีความชอบของท่านเด็ดขาด ได้โปรดจำเอาไว้เถิดว่าผลงานของท่านในครั้งนี้ จะทำให้ท่านไปได้ไกลมากกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้”
หลินเจิ้นหนานได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าลงพูดด้วยความยินดีว่า “นับเป็นวาสนาของข้าน้อยแล้วที่ได้ทำงานรับใช้ใต้เท้า”
ถังกู่จินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ไม่มีปัญหา ผู้อาวุโสหลินลุกขึ้นเถิด จะมาคุกเข่าให้ข้าทำไม”
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้หุ้มหนังเสืออีกครั้ง พลัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นความดุร้ายดังเดิม
ได้ยินเสียงย่ำกลองดังขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่มือปราบจำนวน 60 นายก็ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกห้องโถงใหญ่
แต่ละคนมีระดับพลังลมปราณแข็งแกร่ง
ดวงตาของถังกู่จินเป็นประกายวูบวาบไม่ต่างจากสายฟ้าที่กำลังแลบแปลบปลาบบนท้องนภายามราตรี
เขาจ้องมองเจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านั้น ก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้า แล้วเครื่องรางสีทองคำหลายชิ้นก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ “ทุกคนจงเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พวกเจ้าจะแบ่งกำลังการออกเป็น 6 กลุ่ม ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทั้ง 6 คนขอให้มารับเครื่องรางสีทองคำเหล่านี้ไป มันคือเครื่องรางที่จะทำให้สามารถติดต่อกับข้าได้โดยตรง…”
“บัดนี้ ข้าได้วางขุมกำลังปิดกั้นหนทางหลบหนีเอาไว้รอบเมืองแล้ว หน้าที่ของพวกเจ้ามีเพียงอย่างเดียวคือบุกจับกุมตัวพวกเขาให้ได้…จงจำเอาไว้ให้ดีว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อได้รับสัญญาณจากข้า พวกเจ้าถึงจะลงมือได้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจผู้ที่เจ้าจะต้องจับกุม… เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เจ้าหน้าที่มือปราบทั้ง 60 นายประสานเสียงตอบพร้อมกัน
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบก็เดินทางออกมาจากคฤหาสน์สกุลหลิน พวกเขามีความรวดเร็วไม่ต่างไปจากนกฮูกที่ออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน เพียงไม่นาน กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบก็หายลับไปในความมืด