บทที่ 309 กำจัดมารร้ายตนนั้นทิ้งไปซะ
ราตรีกาลมืดมิด
อู๋เสี่ยวฟางยังนอนไม่หลับ
เขาออกมานั่งดื่มสุราที่สวนหลังบ้านเพียงลำพัง
อู๋เสี่ยวฟางอารมณ์ไม่ค่อยดี
เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าตนเองควรเชิญหลินเป่ยเฉินมาเลี้ยงฉลองเพื่อเป็นการขอโทษต่อสิ่งที่ผ่านมา เพราะหลินเป่ยเฉินมีตำแหน่งเป็นผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองของปีนี้ เพียงเขาออกคำสั่งประโยคเดียว ก็คงมีเจ้าหน้าที่บุกมาจับกุมตัวอู๋เสี่ยวฟางถึงบ้านแล้ว
อู๋เสี่ยวฟางไม่แน่ใจว่าหรือตนเองควรจะดื่มให้เมามายต่อไป เพื่อลืมเรื่องราวทุกอย่าง แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง เงาร่างของใครบางคนก็ปีนข้ามกำแพงหลังบ้านของเด็กหนุ่มกระโดดมายืนอยู่เบื้องหน้าเขา
“เจ้าเป็นใคร? บุกรุกบ้านเรือนผู้อื่นยามวิกาลเช่นนี้ เจ้า…”
อู๋เสี่ยวฟางลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าคืออู๋เสี่ยวฟางจากสถานศึกษากระบี่ที่สามใช่หรือไม่?” ชายแปลกหน้าผู้สวมใส่เครื่องแบบเจ้าหน้าที่มือปราบมีสีหน้าเย็นชาขณะที่พูดออกมา อู๋เสี่ยวฟางสัมผัสได้ถึงมวลพลังลมปราณที่แผ่มาปะทะใบหน้า หัวใจของเขากระตุกวูบ แทบจะสร่างเมาในทันใด
“ข้า ข้าคืออู๋เสี่ยวฟาง…” อู๋เสี่ยวฟางรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
เจ้าหน้าที่จะมาจับกุมตัวเขารวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?
เห็นได้ชัดว่ามาจากหน่วยมือปราบเสียด้วย
หลินเป่ยเฉินมีใจคออำมหิตเกินไปแล้ว
“ประเสริฐ หน่วยมือปราบต้องการความร่วมมือจากเจ้า นับจากนี้ เจ้าจะถูกคุมตัวมาเพื่อสอบสวนเรื่องราวบางอย่าง ก่อนจบพิธีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะประจำปีนี้ ห้ามเจ้าออกไปไหนเด็ดขาด” ชายแปลกหน้ายกมือขึ้นมาเล็กน้อย
มวลพลังลมปราณพุ่งเป็นลำแสง
สิ่งต่อมาที่อู๋เสี่ยวฟางรับรู้ก็คือพลังลมปราณในร่างกายของเขาถูกปิดผนึก
เด็กหนุ่มตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
…
ห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองหยุนเมิ่ง
ที่นี่เป็นเขตชุมชนแออัด
บ้านเรือนหลังคาต่ำเตี้ย ปลูกสร้างอยู่ในเขตที่มีแต่ต้นหญ้าขึ้นรกชัก ถนนยังคงเป็นพื้นดินสกปรก ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นที่ไม่ทราบว่าลอยมาจากที่ใด
สองข้างทางเดินมีแต่ขยะถูกทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด หมาป่าและแมวป่าผู้หิวโหยพากันออกมาจากพุ่มไม้ เพื่อคุ้ยถังขยะหาอาหารกินในความมืด…
ลึกเข้าไปในตรอกแคบ เป็นที่ตั้งของกระท่อมหลังหนึ่ง
กระท่อมหลังนี้ผนังสามด้านเป็นแผ่นไม้ ส่วนผนังอีกด้านหนึ่งก่อขึ้นมาจากดิน และถ้าไม่มีท่อนไม้หลายท่อนคอยรับน้ำหนักผนังดินเอาไว้ ตัวบ้านฝั่งที่เป็นดินก็คงถล่มลงมานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจะดูแลซ่อมแซมมันเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดจากการนำราวกั้นไม้ไผ่มาต่อเติมเป็นเขตรั้วบ้าน แบ่งแยกบริเวณจากพื้นที่ข้างเคียง
ทว่า นั่นก็หมายความว่ากระท่อมน้อยหลังนี้ไม่สามารถใช้เป็นที่หลบซ่อนผู้บุกรุกได้เลย ต่อให้เป็นพวกหมาป่ากับแมวป่าที่อยู่ข้างนอกนั่น พวกมันก็ยังสามารถบุกเข้ามาในอาณาเขตบ้านพักได้อย่างง่ายดายนัก
และภายในกระท่อมไม้หลังนั้น เทียนไขถูกจุดให้แสงสว่างวอมแวม
“ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
มู่ซินเยว่สวมใส่เสื้อผ้าที่มีแต่รอยปุปะ คาดผ้ากันเปื้อนตัวเก่ง ในมือประคองถ้วยข้าวต้มเดินมานั่งอยู่ข้างเตียงไม้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ซึ่งผู้คนที่สถานศึกษาไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน
บนเตียงไม้นอนไว้ด้วยหญิงสาวนางหนึ่ง
หญิงสาวนางนี้มีเส้นผมบางเบา เบ้าตาลึกโหล ร่างกายผอมแห้ง แต่โครงหน้ายังคงชัดเจน บ่งบอกได้ว่าสมัยที่ยังอายุน้อยกว่านี้ นางคงเป็นหญิงงามผู้หนึ่งทีเดียว
ใบหน้าของนางคล้ายคลึงมู่ซินเยว่เป็นอย่างยิ่ง
“เยว่เอ๋อร์ แม่คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เจ้า… กรี๊ดดด…”
พูดออกมาได้ครึ่งประโยค มารดาของเด็กสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน ใบหน้าที่ซีดเซียวปราศจากสีเลือดพลันมีเลือดสูบฉีดอย่างผิดปกติ
นางดิ้นรนทุรนทุรายอยู่บนเตียง เหมือนกับว่าพร้อมจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้ากลัวสิเจ้าคะ…”
มู่ซินเยว่เกิดอาการตื่นตระหนก
นางจับมือมารดาและถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปให้
แล้วร่างของหญิงสาวที่นอนชักอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือกแข็งเกร็งอยู่อย่างนั้น
ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่นางจะกลับมาส่งเสียงครางในลำคอ และมีสีหน้าเป็นปกติ ทว่า บนเตียงนอนกลับเต็มไปด้วยของเสียที่ถูกขับถ่ายออกมา!
“ท่านแม่… ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ… ไม่เป็นไรแล้ว”
หญิงสาวพยายามยิ้มออกมาขณะยกมือขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อเช็ดน้ำตาให้บุตรสาว “เยว่เอ๋อร์ อย่าร้องไห้เลยนะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม่ต้องขอโทษด้วยที่คอยฉุดรั้งชีวิตเจ้าอยู่อย่างนี้ เจ้าต้องทนลำบากไปที่สถาบันเพื่อหาเงิน เจ้าต้องทรมานตนเองหลายอย่าง…”
“ท่านแม่ ข้าคือบุตรสาวของท่านนะ”
มู่ซินเยว่เชิดหน้าขึ้น และจับมือมารดาไว้ไม่ยอมปล่อย “ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะต้องดูแลท่านให้เป็นอย่างดี… ไม่ว่าจะแลกมาด้วยสิ่งใดก็ตาม ข้าจะต้องหาเงินมารักษาท่านให้ได้”
จุดอ่อนของมู่ซินเยว่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ ก็คือมารดาของนางเอง
“แต่ว่าแม่… กำลังจะตายแล้ว… ลูกเอ๋ย แม่รู้ดีว่าร่างกายของแม่ไม่ไหวแล้ว อย่าให้แม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอีกต่อไปเลย ยิ่งแม่ตายเร็วเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น…”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
“ไม่นะเจ้าคะ ท่านแม่อย่าพูดเช่นนั้น…” มู่ซินเยว่ร้องเสียงหลงเหมือนเด็กน้อยที่หลงทางอยู่กลางป่า
ต่อให้ก่อนหน้านี้นางตัดสินใจที่จะลงมือแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เด็กสาวก็ไม่กล้าหาญมากพอที่จะลงมือ
“เยว่เอ๋อร์ แม่คงอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่วัน หลังจากแม่ตายแล้ว ขอให้เจ้าไปจากที่นี่ กำจัดมารร้ายตนนั้นทิ้งไปซะ ใช้ชีวิตของเจ้าให้มีความสุข จงแต่งงานกับบุรุษดีๆ สักคน…” ผู้เป็นมารดาพูดออกมาได้เพียงเท่านั้นก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน
ดวงตาของมู่ซินเยว่เป็นประกายเย็นชา คิ้วของนางเลิกสูงเล็กน้อย
หัวใจตกวูบไปอยู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ “ในโลกนี้ไม่มีหรอกบุรุษดีๆ ต่อให้หาให้ตาย พวกเจ้าก็หาไม่เจอ…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ปัง!
ประตูกระท่อมไม้ถูกผลักเปิดเข้ามาอย่างรุนแรง
กลิ่นสุราโชยมาในอากาศ
“หืม? บุตรสาวของข้ากลับมาแล้วหรือนี่”
ชายร่างกำยำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู
เขาระเบิดเสียงหัวเราะเผยให้เห็นฟันสีเหลืองสกปรก มือข้างหนึ่งยื่นออกมาข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “ถึงกำหนดจ่ายเงิน คืนนี้บิดาดวงซวย เล่นเสียติดกันไปหลายตาแล้ว”
หัวใจของมู่ซินเยว่พลันเย็นชาไร้ความรู้สึก
นางลุกขึ้นยืนและหันไปมองชายหนุ่มที่ตนเองเรียกว่าบิดา ซึ่งสภาพของเขาดูสกปรกและเหม็นหืนไม่ต่างจากหมาป่าที่กำลังคุ้ยถังขยะอยู่ข้างนอกสักนิด
“วันนี้ข้าไม่มีเงินให้ท่าน” มู่ซินเยว่ตอบกลับไปอย่างแช่มช้า
“ไม่มีอย่างนั้นหรือ?”
ชายร่างกำยำชักสีหน้าไม่พอใจ เขายกมือขึ้นตบหน้ามู่ซินเยว่พร้อมกับคำรามลั่น “ถ้าเจ้าไม่มีเงิน แล้วจะกลับบ้านมาทำไม? บิดาอุตส่าห์กลับมาเพื่อเอาเงิน แล้วเจ้าจะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร? นางตัวดี บิดาเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ ทำไมถึงไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง บิดาบอกให้เจ้าเข้าไปเป็นเด็กรับใช้ในบ้านตระกูลเซียว แต่เจ้าก็ปฏิเสธ บอกว่ามีหนทางอื่นที่จะหาเงินได้อีก แต่วันนี้ถึงกำหนดที่บิดาต้องมาเอาเงิน เจ้ากลับบอกว่าไม่มี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงยังไม่ยอมเข้าหอนางโลมอีก?”
แสงจันทร์สาดส่องลงมาผ่านรูบนหลังคากระท่อมไม้ อาบไล้ไปบนใบหน้าสวยงามของมู่ซินเยว่
ใบหน้าที่ขาวนวลเนียนของเด็กสาวปรากฏรอยมือแดงซ่านที่ข้างแก้ม
มุมปากของนางมีเลือดไหลออกมา
มู่ซินเยว่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่านางคุ้นเคยกับมันดีแล้ว
มู่ซินเยว่คุ้นเคยกับการถูกทุบตีและดุด่า นับตั้งแต่วันที่มารดาล้มป่วยต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองนางได้อีกต่อไป