บทที่ 310 ให้เปลวไฟเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ชายร่างกำยำที่ลำตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราคำรามออกมาว่า
“ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ข้าต้องเอาเงินให้ได้ พวกเจ้าแม่ลูกเลือกเอาก็แล้วกัน ว่าคนไหนจะยอมถูกขายเข้าหอนางโลม?”
เขายืนขวางทางออกจากกระท่อมเหมือนสัตว์ร้าย
คำพูดประโยคนั้นทำให้ความทรงจำต่างๆ ของมู่ซินเยว่ย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง
ตอนที่นางเป็นเด็ก ทุกครั้งมารดาของนางถูกมารร้ายผู้นี้ทำร้ายก็เพราะอยากจะปกป้องนาง มารดาของมู่ซินเยว่ยินยอมเข้าไปทำงานในหอนางโลม เพื่อหาเงินมามอบให้แก่ชายผู้เป็นบิดาของนาง …มู่ซินเยว่ไม่รู้เลยว่าในโลกใบนี้มีบุรุษที่โฉดชั่วเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร
ความเกลียดชังบุรุษของมู่ซินเยว่ค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่ตอนนั้น
เมื่อกาลเวลาไหลผ่าน มู่ซินเยว่ก็ได้พบเห็นชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์จำนวนมาก เข้าออกกระท่อมไม้หลังนี้เพื่อปลดปล่อยความปรารถนาของตนเองเป็นว่าเล่น ภายนอกพวกเขาอาจจะดูพูดจาเป็นปกติดี แต่เมื่อปิดประตูอยู่ในห้องกับมารดาของนางสองต่อสอง พวกเขาก็เปิดเผยธาตุแท้ที่ป่าเถื่อนยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
นั่นทำให้มู่ซินเยว่รู้สึกเกลียดชังบุรุษฝังใจ นางเติบโตขึ้นมาโดยที่มีมุมมองว่าบุรุษเป็นตัวชั่วร้าย
ภายหลัง มารดาของนางรับแขกเยอะเกินไปจนล้มป่วย สุดท้ายก็ไม่สามารถทำงานหาเงินได้อีก
นอกจากบิดาของนางจะไม่พาท่านแม่ไปรักษาตัว เขายังหาประโยชน์จากเรือนร่างของท่านจนหยดสุดท้าย หากสามารถนำวิญญาณไปขายให้แก่ปีศาจได้ เขาก็คงทำไปแล้ว
หลังจากนั้น แม่ลูกก็ต้องสลับบทบาทกัน
หลายปีที่ผ่านมา มารดาทำหน้าที่หาเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้มู่ซินเยว่ถูกบิดาทำร้าย
แต่บัดนี้ มารดานอนหมดสภาพอยู่บนเตียง หน้าที่หาเงินจึงต้องตกเป็นของมู่ซินเยว่
นอกจากนั้น เด็กสาวยังต้องหาเงินมารักษาอาการป่วยไข้ของมารดา รวมถึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเองอีกด้วย
นับว่ามู่ซินเยว่ต้องพบเจอความยากลำบากถึงขีดสุด
เว้นเพียงการขายเรือนร่างของตนเอง มู่ซินเยว่ยินดีทำทุกอย่างที่ได้เงิน
ไม่ว่าจะเป็นการขโมยของ
ไม่ว่าจะเป็นการฉกชิงวิ่งราว
ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงเงินจากผู้อื่น
อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องยอมเสียตัว
ตอนอยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม มู่ซินเยว่มีสถานะสูงส่งดั่งเจ้าหญิง
แต่เมื่อออกมาอยู่นอกสถาบัน นางจำเป็นต้องปิดบังใบหน้าของตนเอง เพื่อทำงานหนักหาเงินตัวเป็นเกลียว
หลินเป่ยเฉินเคยเป็นเป้าหมายที่มู่ซินเยว่ตั้งใจจะสูบเลือดสูบเนื้อไปจนตาย
ต้องยอมรับเลยว่าระหว่างที่มีสถานะเป็นคนรักของหลินเป่ยเฉิน มู่ซินเยว่มีชีวิตที่สุขสบายขึ้นมาก อย่างน้อยยามราตรีนางก็สามารถนอนหลับสนิท ไม่ฝันร้ายอีกแล้ว
แต่มารร้ายที่เรียกว่าบิดาของนางมีความต้องการเงินทองไม่สิ้นสุด
ยิ่งเวลาผ่านไปมากแค่ไหน เขาก็ต้องการเงินมากเท่านั้น
บางครั้ง เขาถึงกลับพยายามจะบังคับให้นางเข้าทำงานในหอนางโลม… และแววตาคู่นั้นก็ไม่ได้มีความสงสารเวทนาบุตรสาวเลยสักนิด
ทุกอย่างควรจบลงได้แล้ว
มู่ซินเยว่ยกมือปาดเลือดออกจากริมฝีปาก
จิตใจที่เคยหวั่นไหวก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
นางเชิดหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับบิดา พูดเน้นเสียงทีละคำ “ข้าจะไม่มอบเงินให้ท่านอีกแม้แต่ทองแดงเดียว…”
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย
แต่เขาก็ถ่มน้ำลายออกมาแล้วหัวเราะเยาะว่า “เดี๋ยวนี้เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือ? กล้าดีอย่างไรมาขึ้นเสียงใส่บิดา? เจ้าไม่เชื่อฟังบิดา รู้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดตามมา? ฮ่าฮ่า อย่าลืมสิว่ามารดาของเจ้าล้มป่วย และยารักษาก็อยู่ในมือบิดาคนเดียวเท่านั้น เว้นแต่เจ้าอยากจะให้มารดาตาย…”
“คนเราสามารถถูกตายเพราะเจ็บป่วยได้อย่างเดียวหรือไร?” ความเศร้าปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าของมู่ซินเยว่โดยทันที
นางหันหลังกลับไปที่เตียงไม้ ย่อกายลงเล็กน้อย โน้มหน้าลงไปหามารดาที่นอนอยู่บนเตียง น้ำตาหยดสุดท้ายไหลออกมา ส่งเสียงกระซิบกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าขอโทษ”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงจะรับรู้ได้ถึงเรื่องราวบางอย่าง สีหน้าของนางปรากฏความโล่งอกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เยว่เอ๋อร์ แม่ไม่โทษเจ้าเลย”
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวของตนเองด้วยความเหนื่อยล้า นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของมู่ซินเยว่ ได้แต่คลี่ยิ้มและพูดว่า “ในที่สุด แม่ก็จะได้เป็นอิสระแล้ว… ขอโทษด้วยที่แม่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป เจ้ายังเด็กแต่กลับต้องพบความน่าเกลียดของโลกใบนี้มามากมาย เจ้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและต้องสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง…”
มู่ซินเยว่ยกมือปาดน้ำตาทิ้งไป
นางใช้มือสัมผัสใบหน้าของมารดาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนมือลงไปหยุดอยู่บริเวณหน้าอกของผู้ให้กำเนิด และกล่าวว่า “ข้ารับปากว่ามันจะไม่เจ็บแม้แต่น้อย ท่านแม่ได้โปรดหลับให้สบาย จะไม่มีความเจ็บปวดใดคอยรังควานท่านอีกแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า… ข้ารับปากว่าเมื่อแก้แค้นโลกใบนี้ได้สำเร็จ ข้าจะตามไปหาท่าน”
พูดจบ
พรึบ!
ได้ยินเสียงระเบิดดังแผ่วเบา
มู่ซินเยว่ยิงพลังลมปราณออกจากฝ่ามือ สลายหัวใจของมารดา
ร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม้กระตุกเฮือกเล็กน้อย ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ สีหน้าของนางเรียบเฉย ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเสียชีวิตที่นุ่มนวลที่สุดแล้ว!
ชายฉกรรจ์ที่ยืนขวางประตูถึงกับตกตะลึง
“เจ้า…”
เขายกมือชี้หน้ามู่ซินเยว่ ในใจอยากจะสบถด่า แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
พลันลมหายใจต่อมา เขาก็มองเห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นที่ตรงหน้า
รู้สึกเย็นวูบ
เมื่อก้มมองหน้าอกของตนเอง ชายฉกรรจ์ก็พบว่ามีกระบี่ทิ่มแทงอยู่ที่หัวใจของเขา
ผู้ที่ถือกระบี่ก็คือมู่ซินเยว่
“เจ้า… นี่เจ้ากล้าฆ่าบิดาของตัวเองเชียวหรือ…” ชายฉกรรจ์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
เมื่อก่อนเขาก็เป็นมือกระบี่เช่นกัน แต่เพราะใช้เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา หมดไปกับการดื่มสุราและเล่นพนัน มันก็ทำให้ชายฉกรรจ์ไม่เหลือความเป็นมือกระบี่ติดตัวอยู่อีกแล้ว อีกทั้งเขายังไม่คิดว่าบุตรสาวของตนเองจะมีความกล้าหาญมากพอถึงขั้นชักกระบี่ออกมาฆ่าคน และกว่าจะมาคิดได้ว่าตนเองควรตอบโต้ มันก็สายไปเสียแล้ว
มู่ซินเยว่ชักกระบี่กลับออกมาอย่างเย็นชา
เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเปื้อนเต็มใบหน้าของนาง
รู้สึกเย็นวูบ
“แล้วท่านจะทำไม?” สีหน้าของเด็กสาวปราศจากอารมณ์ความรู้สึก “ท่านคู่ควรกับคำว่า ‘บิดา’ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่านทำตัวไม่เหมือนบิดาของข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การฆ่าท่านจึงไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติอันใดกระมัง?”
พูดจบ มู่ซินเยว่ก็ยกเท้าถีบร่างของชายฉกรรจ์ถอยห่างออกไปจากประตูกระท่อม
ตุบ!
เสียงศพคนตายล้มกระแทกพื้นดิน ทำให้สุนัขที่นอนอยู่แถวนั้นสะดุ้งตื่น
มู่ซินเยว่เก็บกระบี่คืนฝักและเดินตรงไปยังกองฟืนข้างกระท่อม
เจ้าสุนัขส่งเสียงครวญครางและกระดิกหางเดินเข้ามาหา เด็กสาวมีดวงตาเป็นประกายแวววาวเล็กน้อย นางเลี้ยงดูมันมาเป็นเวลาถึง 6 ปี ซึ่งเจ้าสุนัขตัวนี้ก็แสนรู้ มีความฉลาดเฉลียวเหมือนกับคนผู้หนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่มันเป็นสุนัขเพศผู้
กระบี่ถูกชักออกมาสาดประกายอีกครั้ง แล้วสุนัขตัวนั้นก็ต้องจบชีวิตลง
มู่ซินเยว่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นางลากศพของบิดาตนเองกลับเข้าไปในกระท่อมไม้ ตามด้วยร่างไร้วิญญาณของสุนัขผู้เป็นสัตว์เลี้ยง เรียบร้อยดีแล้วนางก็จุดไฟเผาบ้านทั้งหลัง
เพียงไม่นาน เปลวเพลิงก็ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นกระท่อมไม้หลังน้อย
มู่ซินเยว่ยืนมองอยู่เงียบๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของนางกำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้หมดสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นบิดาผู้ชั่วร้าย มารดาผู้อาภัพ หรือเจ้าสุนัขผู้ซื่อสัตย์
ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเกลียดชัง หรือมิตรภาพ ต่อจากนี้ไป มู่ซินเยว่ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
สายลมโชยพัด
ทำให้เปลวไฟโหมไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น
กระท่อมน้อยของนางตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ต่อให้เปลวไฟจะลุกลามเป็นกองใหญ่ มันก็ไม่รบกวนชาวบ้านที่อยู่ข้างเคียงเด็ดขาด
มู่ซินเยว่คอยเติมฟืนเข้าไปในกองไฟด้วยความอดทน
เมื่อกองฟืนหมดลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในกระท่อมไม้ รวมถึงศพคนตายและสุนัขผู้น่าสงสาร ต่างก็ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
มู่ซินเยว่หยิบกระเป๋าใส่สัมภาระของตนเองขึ้นมา นางเตรียมตัวเดินทางไกลนานแล้ว
เด็กสาวตั้งใจที่จะเดินทางออกจากเมืองหยุนเมิ่ง ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตัวตนใหม่ ในสถานที่แห่งใหม่
คนตายในชุมชนแออัดเพียงคนสองคน หน่วยมือปราบไม่เคยให้ความสนใจอยู่แล้ว
มู่ซินเยว่ไม่กังวลเลยสักนิด
แต่ในจังหวะนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็พลันเกิดขึ้น !