บทที่ 311 ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 311 ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ

เสียงของบุรุษแปลกหน้าดังขึ้นนอกรั้วไม้ไผ่ว่า “อายุเพียงสิบสี่สิบห้า เจ้ากลับอำมหิตถึงเพียงนี้ นับว่าเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ”

มู่ซินเยว่ชะงักกึก

“ท่านเป็นใคร?”

เด็กสาวชักกระบี่และหันไปยังทิศทางที่มาของเสียงพูด

ใครบางคนทิ้งตัวลงมายืนอยู่ตรงหน้า

เขาสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาเท่านั้น พลังลมปราณในตัวมู่ซินเยว่ก็ถูกปิดผนึก มิหนำซ้ำ มู่ซินเยว่ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกด้วย

เด็กสาวทำได้เพียงกลอกตามอง หนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

จบแล้วสินะ

บุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางในขณะนี้สวมใส่ชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่มือปราบ

นางคงถูกจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมบิดามารดาของตนเอง

ทันใดนั้น มู่ซินเยว่รู้สึกปวดร้าวไปทั้งดวงใจ หมดแรงจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาได้อีก

หากถูกจับกุมด้วยข้อหานั้น ว่าด้วยตามกฎหมายของจักรวรรดิ นางไม่มีทางรอดโทษประหารเด็ดขาด

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก สาวน้อย”

มือปราบหนุ่มพูดน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับกุมตัวเจ้า และจะไม่ส่งเจ้าไปดำเนินคดีด้วยเช่นกัน แต่มันเป็นตรงกันข้ามต่างหาก ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เรามาตกลงกันดีหรือไม่?”

มู่ซินเยว่มองบุรุษหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า

เขาน่าจะมีอายุประมาณ 40 ปี

ร่างกายกำยำ ผิวพรรณและใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย แต่ขนคิ้วเป็นสีขาว จมูกงองุ้มดั่งตะขอ มีลักษณะเหมือนสัตว์ร้ายที่หากินในความมืด เพียงเฝ้ามองก็รู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น

“หากท่านมีความคิดสกปรกเหล่านั้น จงฆ่าข้าทิ้งเสียดีกว่า ข้าไม่มีทางตกลงกับท่านเด็ดขาด” เมื่อสามารถสงบสติอารมณ์ได้แล้ว มู่ซินเยว่ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หึหึ บุรุษก็เป็นเช่นนี้ทั้งโลก

ใครจะรู้เลยว่าชายฉกรรจ์คิ้วขาวกลับตอบว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่สนใจเรือนร่างของเจ้าหรอก บอกตามตรง ข้าไม่เคยสนใจสตรีเพศด้วยซ้ำ และหากข้อมูลที่ข้าได้รับรู้มานั้นถูกต้อง เจ้าเคยเป็นคนรักของหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่? ข้าอยากจะให้เจ้าให้ปากคำเอาผิดเขาสักหน่อย”

มู่ซินเยว่มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา

เรื่องราวที่อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือคือเรื่องนี้เองหรือ?

ชายฉกรรจ์คิ้วขาวกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้ายินดีร่วมมือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้ากลบเกลื่อนหลักฐานเอง แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเปลี่ยนใบหน้าให้เจ้าได้ แต่ข้าก็รับปากเลยว่าชื่อของเจ้าจะไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนการสืบสวนคดีฆาตกรรมพ่อแม่เจ้าแน่นอน”

“ท่านอยากจะให้ข้าให้ร้ายหลินเป่ยเฉินว่าอย่างไร?” มู่ซินเยว่ถามด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง

ชายฉกรรจ์คิ้วขาวอธิบาย “วันพรุ่งนี้ที่พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน หลินเป่ยเฉินจะถูกสอบสวนเรื่องการเป็นสาวกปีศาจ”

มู่ซินเยว่ขมวดคิ้ว “แล้วท่านเป็นใครกันแน่?”

ชายฉกรรจ์คิ้วขาวยิ้มมุมปาก “รู้มากไปมันก็ไม่ดีต่อตัวเจ้าเอง… แต่ในเมื่อเจ้าถามออกมาแล้ว ไม่ตอบก็คงไม่ได้ ข้าเป็นเจ้าหน้าที่มือปราบระดับเหรียญเงิน มีนามว่าเหอถีเต่า”

“ท่านมาช่วยข้าทำไม?” มู่ซินเยว่ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี “ต่อให้ข้าให้ปากคำว่าร้ายหลินเป่ยเฉิน แต่ก็ยังขาดหลักฐานสนับสนุนอยู่ดี”

เหอถีเต่าตอบว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานอันใดทั้งนั้น และเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายเขาด้วย ขอแค่เจ้ารายงานถึงความเปลี่ยนแปลงในระยะหลังของหลินเป่ยเฉินให้ทุกคนได้รับทราบก็พอแล้ว เมื่อนำข้อมูลส่วนต่างๆ มาประกอบรวมกัน เดี๋ยวผู้คนก็จะนำเรื่องราวไปปะติดปะต่อกันเอง”

มู่ซินเยว่ไม่พูดคำใด

นางไม่สนใจอีกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือถูกใส่ความ

มู่ซินเยว่ไม่สนใจอีกแล้วหากจะต้องหักหลังหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งที่สอง

เพราะบุรุษทุกคนในโลกนี้สมควรตายทั้งหมด

สิ่งที่นางควรสนใจมากที่สุดคือผลประโยชน์สำหรับตนเองมากกว่า

“ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า

“ฮ่าฮ่า เจ้ามีความกล้าหาญดี ข้าชอบนัก” เจ้าหน้าที่มือปราบคิ้วขาวมองหน้ามู่ซินเยว่ด้วยแววตาชื่นชม

“ถ้าอย่างนั้นก็โปรดรับฟังให้ดี” มู่ซินเยว่ว่า “ข้ารู้ดีว่าปีนี้กฎการรับลูกศิษย์คนใหม่ในสถาบันต่างๆ เปลี่ยนไปแล้ว สถานศึกษากระบี่จำนวนมากต้องการตัวมือกระบี่รุ่นเยาว์จากเมืองหยุนเมิ่ง ข้าต้องการเข้าศึกษาต่อในสถาบันกระบี่ชื่อดังหนึ่งในห้าของจักรวรรดิ ถ้าไม่ได้ตามนั้น ข้าก็จะไม่ร่วมมือกับท่านเด็ดขาด”

“น่าสนใจดีนี่” เหอถีเต่าตบมือด้วยความพึงพอใจ “นับว่าเจ้าเปิดหูเปิดตาข้าอย่างแท้จริง นี่คือเงื่อนไขที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อย เด็กสาวผู้ทะเยอทะยานกับข้อเสนอที่เต็มไปด้วยความฝัน อีกไม่นานต่อจากนี้ มีแต่ผู้ที่ทะเยอทะยานเท่านั้นถึงจะไปได้ไกลมากที่สุด”

“ตกลงว่าท่านยินยอมหรือไม่?”

จะอย่างไรมู่ซินเยว่ก็ยังคงเป็นเด็กสาวใจร้อนผู้หนึ่ง นางจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างต้องการคำตอบ “ท่านสามารถทำเรื่องเข้าศึกษาในสถาบันใหม่ให้ข้าได้หรือไม่?”

เจ้าหน้าที่คิ้วขาวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ย่อมได้อยู่แล้ว”

วันต่อมา

พายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อคืนนี้ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง ฝนก็หยุดตก และเมฆดำบนฟ้าก็จางหายไป

อากาศสดชื่นบริสุทธิ์

หลินเป่ยเฉินตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เขาแต่งเนื้อแต่งตัวออกมาจากตำหนักไม้ไผ่ ก็ได้เห็นภาพที่เจ้าหนูอากวงกำลังเล่นอยู่กับเจ้าหมาป่าน้ำแข็งผู้ตั้งครรภ์ด้วยความสนุกสนาน

“ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือเจ้าน่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาทันที

พลัน เจ้าหนูอากวงตัวแข็งทื่อ ราวกับว่ามันได้ยินถ้อยคำที่น่ากลัวที่สุดในโลก เนื้อที่มันนำมาหลอกล่อหมาป่าน้ำแข็งร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้า ก่อนที่มันจะส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งหายกลับเข้าไปในตัวบ้านพัก

“เดี๋ยวข้ารับรางวัลเสร็จจะกลับมาตรวจการบ้านเจ้า”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายและเดินออกมาจากอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่

ได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าของราชันย์หนูอสูรดังลอยมาตามสายลมจากด้านหลัง

บัดนี้ ลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามจำนวนมากมายืนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูสถาบัน

เมื่อหลินเป่ยเฉินปรากฏตัว ฝูงชนก็ส่งเสียงต้อนรับเขาราวกับวีรบุรุษ

หลินเป่ยเฉินต้องเดินแหวกผ่านกลุ่มผู้คนมากมาย เพื่อไปขึ้นรถม้าและเดินทางไปยังวิหารเทพกระบี่

พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่งจะจัดขึ้นที่วิหารเทพกระบี่ นอกจากจะมีการถ่ายทอดสดแล้ว ก็ยังมีบรรดาคนใหญ่คนโตประจำเมืองมารวมตัวกันอยู่มากมาย รวมถึงองค์ชายเจ็ดก็จะมาร่วมพิธีด้วยเช่นกัน

รถม้าเคลื่อนตัวออกไปสู่วิหารเทพกระบี่

มีเสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากฝูงชนดังไล่หลัง

นอกจากคนกลุ่มนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามแล้ว บางส่วนก็ยังเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ทุกคนต่างตะโกนชื่อของหลินเป่ยเฉินออกมาเหมือนกำลังทำพิธีสรรเสริญเทพเจ้า

เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคึกคัก

เดิมทีการโดยสารรถม้าไปยังวิหารเทพกระบี่ใช้เวลาเพียงก้านธูปเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความที่ถนนหนทางมีผู้คนออกมารวมตัวกันอยู่มากมาย จึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ณ ลานหน้าวิหารในขณะนี้มีการก่อสร้างเวทีมอบรางวัล รวมถึงมีการจัดตั้งที่นั่งแบ่งเป็นเขตแดนสำหรับแขกผู้เข้าร่วมงานต่างระดับ

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการจัดงานในวันนี้

บรรดาคนใหญ่คนโตประจำเมืองล้วนเดินทางมาถึงแล้ว

แต่เมื่อรถม้าของหลินเป่ยเฉินเดินทางมาถึง บรรยากาศภายในงานก็เปลี่ยนไป

ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องของผู้คนดังไล่มาเป็นคลื่นสึนามิ

หลี่สงฟู่ผู้เป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองรับหน้าที่พิธีกรประจำงาน เขาเชิญหลินเป่ยเฉินขึ้นมานั่งยังพื้นที่พิเศษบนเวทีที่ถูกจัดสร้างขึ้นมาชั่วคราว และหากพิธีมอบรางวัลเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินก็จะต้องพบกับความตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้

สายตาแห่งความอิจฉาริษยาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หลินเป่ยเฉิน ในที่สุดเจ้าก็เป็นผู้ชนะจริงๆ”

องค์ชายเจ็ดก็นั่งอยู่บนเวทีเช่นกัน เขาหันมายิ้มให้หลินเป่ยเฉินอย่างเป็นมิตร

“แหม ไม่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน องค์ชายหล่อเหลาขึ้นหลายเท่าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป “แต่ในเมื่อไหนๆ พระองค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว การเดิมพันชีวิตระหว่างหม่อมฉันกับเฉาพั่วเถียน ก็ควรจะต้องจบลงในวันนี้ด้วยเช่นกัน”

องค์ชายเจ็ดยังคงยิ้มในขณะที่ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะเป็นสักขีพยานให้แก่เจ้า วันนี้เรื่องราวระหว่างเจ้ากับเฉาพั่วเถียนจะต้องดำเนินมาถึงจุดจบแน่นอน !”