บทที่ 312 พิธีมอบรางวัล
“หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวได้เสียทีนะ” เสียงที่แปลกหูดังขึ้นจากด้านหลัง
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมอง
บุรุษอายุประมาณ 40 ปีผู้หนึ่งเดินถือไม้เท้าไม้ไผ่ตรงเข้ามาหาเขา ร่างกายซูบผอม สวมใส่เสื้อคลุมสีขาว ไว้หนวดเครายาวสามแฉกที่ใต้คาง แววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ สีหน้ายากต่อการอ่านความรู้สึก เวลาที่จ้องมองใบหน้า จะชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่เสมอ
“หลินเป่ยเฉิน นี่คือใต้เท้าถัง ท่านดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลของพวกเรา”
หลี่สงฟู่ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองรับหน้าที่แนะนำตัว
ผู้ตรวจการประจำมณฑลอย่างนั้นหรือ?
ในมณฑลเฟิงอวี่มีอยู่หกกระทรวงใหญ่คอยบริหารงาน
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดสักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็พอเข้าใจได้ว่าบุรุษร่างผอมที่ยืนอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้มีสถานะสูงส่ง ถ้าเป็นในโลกมนุษย์ ก็คงมีตำแหน่งไม่ต่างจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลยทีเดียว
ตามพื้นเพของหลินเป่ยเฉินคนเก่า เขาคงต้องรีบประจบประแจงบรรดาคนใหญ่คนโตแน่นอน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามมองหน้าบุรุษร่างผอมคนนี้ เขากลับเกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาในหัวใจอย่างที่อธิบายไม่ได้
มันคือความเกลียดชังที่เด็กหนุ่มไม่รู้ที่มาที่ไป
ดังนั้น เขาจึงยกมือคำนับอีกฝ่ายพอเป็นพิธี “หลินเป่ยเฉินคำนับใต้เท้าถัง”
ถังกู่จินยิ้มแย้มพูดว่า “บิดาพยัคฆ์ย่อมไม่ให้กำเนิดลูกสุนัข ระหว่างที่บิดาเจ้าออกรบอยู่ในแดนเหนือ ข้ามีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาดี กาลเวลาผ่านไปถึงวันนี้ บุตรชายของเขาได้ขึ้นเป็นผู้ชนะการแข่งขันประจำปี ช่างน่าประทับใจจริงๆ อุว๊ะฮ่าฮ่าฮ่า”
อีตาหนวดสามแฉกนี่เป็นเพื่อนเก่ากับพ่อเขาหรือ?
ไม่น่าใช่มั้ง
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนฟังถังกู่จินระเบิดเสียงหัวเราะโดยที่ตนเองไม่ได้พูดอะไร
เริ่มมีผู้คนทยอยมารวมตัวบริเวณลานหน้าวิหารเทพกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้มีการจัดพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ ซึ่งถือเป็นส่วนสุดท้ายของการแข่งขันประจำปี ไม่มีการจัดจำหน่ายตั๋วเข้าชม เพราะพิธีมอบรางวัลจะเปิดให้ชาวเมืองทุกคนได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
บัดนี้ นักบวชสาวในชุดเสื้อคลุมสีขาวจำนวนมากต่างก็ยืนอยู่ใต้รูปปั้นเทพีกระบี่ และกำลังสวดภาวนาด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง พวกนางเปรียบเสมือนดอกไม้ที่บริสุทธิ์ ยังไม่เคยผ่านพบความโสมมของโลกใบนี้
การสวดภาวนาของพวกนางได้รับการถ่ายทอดไปทั่วลานหน้าวิหาร ผ่านทางลำโพงขยายเสียงที่ทำงานด้วยพลังลมปราณและค่ายอาคม
ชาวเมืองที่มารวมตัวกันแสดงสีหน้าที่บอกถึงความเคารพเลื่อมใส
พวกเขาหลับตาลงรับพรศักดิ์สิทธิ์อยู่ในความเงียบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเอะอะโวยวาย บรรยากาศแตกต่างจากตอนเฝ้าดูการแข่งขันลิบลับ
เห็นได้ชัดว่าเทพีกระบี่เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของประชาชนชาวจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างแท้จริง
นี่คือความศรัทธา
และในโลกที่มีเทพเจ้าดำรงอยู่จริงๆ ความศรัทธาก็ยิ่งกล้าแกร่ง
หลินเป่ยเฉินนั่งประจำที่อยู่บนเวที กวาดสายตามองรอบตัว
เขามองเห็นพวกของฉู่เหินและอาจารย์คนอื่นๆ อยู่ในกลุ่มคนดู
นอกจากนั้น ก็ยังมีฮันปู้ฟู่และสมาชิกร่วมกลุ่มของเขาอีก 3 คน ไม่ว่าจะเป็นเยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุนและมี่หรู่หยาน ทุกคนต่างก็ทยอยเดินขึ้นมาบนเวทีตามคำเชิญของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษา และมานั่งลงเคียงข้างหลินเป่ยเฉินผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม
และผู้เข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงธงก็เริ่มปรากฏตัวออกมาแล้วเช่นกัน
“เหมือนความฝันเลยนะเนี่ย” ไป๋ชินหยุนยกมือกอดอกด้วยความประหม่า ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะหายใจแรงผิดปกติเล็กน้อย
“นี่มันยิ่งกว่าความฝันอีก” เยว่หงเซียงกระซิบ
การได้เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ชนะการแข่งขันหมายความว่าเมื่อเรียนจบ ไม่ว่าพวกนางจะไปที่ไหน ไม่ว่าพวกนางต้องการสิ่งใด หนทางข้างหน้าก็แทบจะโรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว
นี่คือสิ่งที่เยว่หงเซียงไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน
เมื่อคืนนี้นางถึงกับนอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้น
“จริงด้วยสิ ศิษย์พี่ฮัน ตกลงว่าท่านจะเข้าร่วมกับกองทัพจริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามาถามฮันปู้ฟู่ “บัดนี้ท่านเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ชนะการแข่งประจำปี ท่านมีสิทธิ์ต่อรองกับพวกห้าสำนักกระบี่ใหญ่ได้มากกว่าเดิมอีก ไม่ว่าท่านมีเงื่อนไขอันใด พวกเขาคงไม่มีทางปฏิเสธเด็ดขาด และท่านสามารถยื่นข้อเสนอที่ดีไม่ต่างจากการเข้าร่วมกองทัพได้เลยนะ”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มแย้มเล็กน้อยและตอบว่า “เสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว เมื่อคืนนี้ข้าเดินทางเข้าไปที่สำนักงานหน่วยนักรบเมฆาและทำเรื่องบรรจุเข้าเป็นนายทหารใหม่เรียบร้อยแล้ว เมื่อพิธีมอบรางวัลครั้งนี้จบลง ข้าก็จะได้เข้าร่วมกองทัพทันที”
ทุกคนหันมามองหน้าเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมด้วยความประหลาดใจ
ถึงแม้ฮันปู้ฟู่จะพูดออกมาว่า ‘เสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว’ แต่ดูจากสีหน้านั้น หลินเป่ยเฉินบอกได้ทันทีว่าฮันปู้ฟู่ไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะรอให้พิธีมอบรางวัลจบลงไม่ไหวแล้วต่างหาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ฮันปู้ฟู่ถึงได้อยากเป็นทหารขึ้นมา
แต่เขาก็คงมีเหตุผลของตนเอง และหลินเป่ยเฉินไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย
คนเราทุกคนมีเหตุผลของตนเองเสมอ
ถึงจะมีสถานะเป็นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอด แต่เรื่องเช่นนี้ก็จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้
บรรยากาศบนเวทีตกอยู่ในความเงียบงัน หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ตอนที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ เขาไม่มีความสามารถอะไรเลยนอกจากเล่นเกมเก่งเพียงอย่างเดียว
ครั้งหนึ่ง หลินเป่ยเฉินเคยฝันอยากจะเป็นนักฟันดาบทีมชาติ แต่โชคร้ายที่เมื่อเติบโตขึ้นมา เขากลับตัวอ้วนเกินไป ยากจนเกินไป และขี้เกียจมากเกินไป
ดังนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดเลยก็คือเมื่อได้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกใบนี้ ชีวิตที่เขาเคยใฝ่ฝันกลับเป็นจริงทุกประการ
เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เริ่มต้นถ่ายรูปกลุ่มคนดู โดยเน้นหนักที่บรรดามิตรสหายร่วมสถาบัน และเด็กสาวหน้าตาสดสวย เช่นเดียวกับคณะนักบวชสาวผู้สูงส่งหยาดเยิ้ม
จากนั้นเขาก็ถ่ายภาพเซลฟี่ของตนเอง
“น่าเสียดายที่ไม่มีแอปแต่งรูป เราเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอัปเดตระบบครั้งต่อไปจะมีแอปแต่งรูปเพิ่มเข้ามาหรือยัง… แต่ช่างมันเถอะ แต่งไม่แต่งหน้าเราก็หล่อลากไส้อยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินเปิดแอปวีแชทด้วยความเศร้า และกดแก้ไขภาพถ่ายเมื่อสักครู่นี้จนพอใจ
เมื่อได้รูปที่ต้องการแล้ว เด็กหนุ่มก็เริ่มลงมือพิมพ์แคปชั่น
“อยากจะอยู่เงียบๆ แท้ๆ แต่โชคร้ายที่ดันเกิดมาเก่งเกินไป”
เรียบร้อยเขาก็กดโพสต์
ไม่มีใครกดไลค์
ไม่มีใครคอมเมนต์
เฮ้อ ชีวิตช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน
มีฝีมือที่เก่งกาจมากเกินไปมันก็น่าเบื่อเหมือนกันนะเนี่ย
หลินเป่ยเฉินกดเข้าไปดูประวัติผู้ใช้งานของตนเองในแอปวีแชท เขายังคงมีเพื่อนอยู่เพียงคนเดียวคือเทพีกระบี่หิมะไร้นาม เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับเทพสาวมานานแล้ว จึงส่งข้อความไปทักทายว่า…
“สบายดีไหม?”
เขาอยากจะมีเพื่อนคุยบ้างสักคนก็ยังดี
แต่ที่ไหนได้ เมื่อส่งข้อความไปกลับมีหน้าต่างเด้งเตือนขึ้นมาว่า “ไม่สามารถส่งข้อความได้ เนื่องจากผู้ใช้งานปฏิเสธการรับข้อความจากท่าน”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ยัยเทพีจอมหลอกลวงนั่นบล็อกเขาอีกแล้วเหรอ?
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
อยู่เป็นเพื่อนคุยกันสักหน่อยก็ไม่ได้
หลินเป่ยเฉินโกรธควันออกหูจนต้องเปิดแอปจิงตง มอลล์ และกดเข้าไปที่ร้านขายของของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม จากนั้นก็ทักแชทเข้าไปทางหลังไมค์ของร้านค้า
แต่รออยู่นานสองนาน ก็ยังไม่มีใครอ่านข้อความอยู่ดี
ไม่อยู่?
หรือว่าตั้งใจไม่อ่านวะ?
หลินเป่ยเฉินลองอ่านรายละเอียดของร้านค้า จึงได้พบว่าการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของทางร้าน ก็คือตอนที่ยัยเทพีกระบี่จอมหลอกลวงนั่นส่งของในร้านไปให้เขาเมื่อครึ่งเดือนก่อนนั่นเอง
หลังจากนั้น ร้านค้าของนางก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย
แบบนี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง
ปิดร้านหนีเลยใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกจริงๆ
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงกลุ่มคนดูส่งเสียงฮือฮาออกมาดังสนั่นหวั่นไหว
เมื่อหลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองก็พบว่าพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียนผู้ปรากฏตัวอยู่บนเวทีตั้งแต่แรกเดินออกไปเริ่มกล่าวอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้งและไม่พบหลิงเฉิน
หลังจากตกรอบ สาวงามอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่งก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีกเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
หลินเป่ยเฉินชักเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อลองกวาดสายตามองดูรอบตัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ไม่พบเยว่เว่ยหยางเช่นกัน
กลุ่มของนางจบการแข่งขันด้วยอันดับที่สาม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมารับรางวัลอยู่แล้ว แต่จนถึงขณะนี้เยว่เว่ยหยางก็ยังไม่ปรากฏตัว
“หรือว่านางจะได้รับบาดเจ็บ?”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความสงสัย
เขายังไม่มีโอกาสได้รับชมการรวมฉากเด็ดในรอบศึกชิงธงผ่านทางศิลาบันทึกภาพ จึงยังไม่รู้ว่าเมื่อวานนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ
แต่บัดนี้ นักพรตหญิงชินได้ปรากฏตัวอยู่ใต้รูปปั้นเทพีกระบี่ และยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้นเนิ่นนานแล้ว
…
ณ เวลาเดียวกันนั้น
ดินแดนทวยเทพ
“ให้ตายสิ เจ้าปีศาจพวกนั้นโกหกกันได้ลงคอ คิดหรือว่าข้าจะแก้แค้นพวกมันไม่ได้? ครั้งนี้ถือว่าพวกเจ้ามาหาเรื่องข้าเองนะ!”
ในเทือกเขาที่มีม่านหมอกปกคลุมแน่นหนา
เทพีกระบี่หิมะไร้นามมีสภาพเลือดท่วมตัว นางกำลังวิ่งหนีสุดชีวิต แม้แต่รองเท้าก็หลุดกระเด็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
“จะกลับไปที่วิหารก็ไม่ทันเสียแล้ว บัดนี้หาที่ซ่อนชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน”
นางคิดด้วยความโกรธแค้น