บทที่ 313 เทพเจ้าสูญหาย
พิธีมอบรางวัลให้ผู้ชนะการแข่งขันประจำปีดำเนินไปด้วยบรรยากาศที่เคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์
ตลอดพิธีจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งเมือง
พิธีแรกคือการสวดมนต์ขอพรจากเทพีกระบี่และเทพเจ้าทั้งหลาย
ผู้ดำเนินพิธีไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากนักพรตหญิงชิน ซึ่งถือว่าเป็นนักบวชที่มีสถานะสูงสุดในวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง
นักบวชสาวจำนวนมากยืนเข้าแถวประสานเสียงสวดมนต์ฟังดูขึงขัง เสียงที่พวกนางขับขานออกมาแทบไม่ต่างไปจากเสียงจากสรวงสวรรค์ ปีกกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหลังกางออกกว้าง พลังปราณศักดิ์สิทธิ์แผ่ไปรอบทิศทาง ร่างกายของนักบวชสาวทุกนางห่อหุ้มด้วยรัศมีสีขาวบริสุทธิ์สว่างไสว
ทุกผู้คนสามารถสัมผัสได้ถึงมวลพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่กระทบถึงส่วนลึกในจิตใจ
แม้แต่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งอย่างถังกู่จินก็ยังไม่กล้าวางท่าใหญ่โต ได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่ในความสงบ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว
หลินเป่ยเฉินเลียนแบบผู้คนรอบกายด้วยการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าทั้งหลาย
พลัน เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่าในขณะที่นักพรตหญิงชินกำลังดำเนินพิธีสวดมนต์อยู่นั้น มวลพลังงานบางอย่างของผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ต่างก็ไหลล้นออกมาจากร่างกายและถูกส่งตรงไปที่นักพรตหญิงชินแต่เพียงผู้เดียว
โดยที่ทุกคนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
หรือว่านี่จะเป็นมวลพลังของความศรัทธา?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ความศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญต่อพวกเทพเจ้ามากใช่ไหมนะ?
เขาไม่รู้คำตอบ และไม่มีความคิดที่จะอยากรู้คำตอบด้วย สิ่งเดียวที่หลินเป่ยเฉินต้องการในขณะนี้คืออยากให้พิธีจบลงอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ฆ่าเฉาพั่วเถียนเสียที…
หืม?
พูดถึงเฉาพั่วเถียนแล้ว หมอนั่นก็ยังไม่โผล่หัวมาเหมือนกันนี่หว่า
หรือว่าแม่งตายไปแล้ว?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความสะใจ
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงน่าเสียดายเกินไปหน่อย
เขาหวังที่จะได้ฆ่าหมอนั่นด้วยมือของตัวเองแท้ๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเวลานั้นมาถึง กระทรวงศึกษาจะอนุญาตให้หลินเป่ยเฉินเป็นคนลงมือหรือไม่? แล้วไป๋ไห่ชินจะเดือดดาลขนาดไหนกัน?
ในระหว่างที่เด็กหนุ่มคิดเรื่องนั้น เม็ดเหงื่อก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของนักพรตหญิงชินแล้ว
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ?” หัวใจของนักบวชสาวเต้นตึกตัก
นี่ก็ผ่านมาได้ 15 วันแล้วตั้งแต่นางสวดภาวนาไม่ได้หยุด แต่นักพรตหญิงชินกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการสื่อสารจากเทพีกระบี่เลยสักครั้ง แม้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะดำรงอยู่ประมาณวันหรือสองวันเท่านั้นเอง นี่นับเป็นครั้งแรกที่เทพีกระบี่สูญหายไปถึง 15 วันเต็ม
นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หรือว่าเทพีกระบี่จะละทิ้งผู้ศรัทธาของตนเองเสียแล้ว?
หรือว่าเทพีกระบี่ที่ทุกคนศรัทธาจะหายตัวไปจริงๆ
หากเป็นเช่นนั้น ก็คาดการณ์ได้ว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงตามมา
นักพรตหญิงชินตั้งใจว่าจะใช้พิธีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขันประจำปี รวบรวมพลังศรัทธาของชาวเมือง เพื่อส่งผ่านไปยังเทพีกระบี่ในดินแดนทวยเทพ และหวังว่าท่านจะตอบสนองบางสิ่งบางอย่างกลับมาบ้าง
พลังศรัทธาที่มากมายขนาดนี้ ควรเพียงพอที่จะทำให้นางสามารถติดต่อเทพีกระบี่ได้แล้ว
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับยิ่งทำให้นักพรตหญิงชินร้อนใจมากกว่าเดิม
นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีการตอบรับกลับมาเลย
หรือว่า…
ลางสังหรณ์อัปมงคลปรากฏขึ้นในจิตใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้
เทพีกระบี่จะสูญหายไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
นั่นหมายความว่าจักรวรรดิเป่ยไห่หรือแม้แต่แผ่นดินตงเต้า กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
เมื่อพลังศรัทธาถูกดึงดูดออกมาเป็นจำนวนมาก นั่นก็ส่งผลให้บัดนี้เริ่มมีบางคนรับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว
แต่โชคดีที่นักพรตหญิงชินสามารถปรับเปลี่ยนระดับพลังได้ทันเวลา ทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
พิธีดำเนินต่ออย่างราบรื่น
คบไฟสำหรับบูชาเทพีกระบี่ถูกจุดขึ้นบริเวณด้านหน้ารูปปั้น
เปลวไฟสาดส่องใบหน้าผู้คน
ท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียนเดินออกมากลางเวทีอีกครั้ง
หลังกล่าวคำเชิญอย่างเป็นทางการ สมาชิกทั้ง 5 คนของกลุ่มหลินเป่ยเฉินก็เดินออกมายืนอยู่กลางเวที มีเสียงปรบมือต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น สายตาของฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุนและมี่หรู่หยานจับจ้องอยู่ที่เหรียญตราผู้ชนะซึ่งถืออยู่ในมือของหลิงจุนเซวียน
หลินเป่ยเฉินได้รับการประดับเหรียญตราผู้ชนะประจำการแข่งขันของปีนี้
ในขณะที่เด็กหนุ่มเด็กสาวอีก 4 คนได้รับการประดับเหรียญตราสมาชิกกลุ่มผู้ชนะเช่นกัน
ผู้คนส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ
ชาวเมืองเริ่มตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉิน โดยที่มีลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นแกนนำ
รู้สึกอย่างไรบ้างน่ะหรือที่มีคนนับหมื่นกำลังตะโกนเรียกชื่อตนเอง?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเป็นดาราไอดอลระดับประเทศ
เมื่อถังกู่จินเห็นว่าหลินเป่ยเฉินได้รับการประดับเหรียญตราผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มแห่งการรอคอยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
หลังจากนั้น ก็เป็นการมอบรางวัลแก่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงธง
ซูเสี่ยวหยาน โจวเค่อ เซียวปิงและคนอื่นๆ ทยอยเดินขึ้นมาบนเวที
เยว่เว่ยหยางกับเฉาพั่วเถียนไม่ปรากฏตัว
หลิงจุนเซวียนก็ไม่ได้มอบคำอธิบายเช่นกัน เขาจัดการมอบรางวัลต่อไปเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
คราวนี้ หลินเป่ยเฉินตัดสินใจว่าปล่อยผ่านไปไม่ได้แล้ว
“ช้าก่อนขอรับ” เขาขัดจังหวะพิธีมอบรางวัลด้วยการพูดออกมาเสียงดังว่า “กราบเรียนท่านเจ้าเมือง เหตุไฉนเฉาพั่วเถียนจากสถานศึกษากระบี่ที่หกถึงยังไม่ปรากฏตัวอีกขอรับ…”
หลิงจุนเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบว่า “เฉาพั่วเถียนยังไม่ฟื้นตัวดี จึงมาร่วมงานไม่ได้ ของรางวัลในส่วนของเขาจะมีผู้อื่นมารับแทน…”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า “ท่านเจ้าเมืองก็คงทราบดีว่าข้ากับเฉาพั่วเถียนเดิมพันชีวิตกันเอาไว้ และวันนี้ก็เป็นวันดีที่จะได้ชำระแค้นกันเสียที อาการบาดเจ็บไม่ใช่ข้ออ้างขอรับ ข้าเกรงว่าเขาคงใช้โอกาสนี้หลบหนีไปแล้วมากกว่า”
ทันใดนั้น มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
ไป๋ไห่ชินเดินออกมาจากกลุ่มคนดูและก้าวขึ้นเวทีอย่างเชื่องช้า ดวงตาของเขาจ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่บอกชัดถึงความเกลียดชัง ชายชรากัดฟันกรอดแค่นเสียงพูดออกมาว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้ามีจิตใจที่อำมหิตเกินไปแล้ว เฉาพั่วเถียนรับปากเดิมพันชีวิตด้วยความใจร้อนวู่วาม เจ้าจะยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร?”
“รับปากด้วยความวู่วาม?” หลินเป่ยเฉินเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “ไม่ทราบว่าท่านคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา? นี่คือการเดิมพันที่มีใต้เท้าฟางและองค์ชายเจ็ดเป็นสักขีพยาน แล้วจะไม่ให้ข้ายึดถือเป็นจริงจังได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มคิดเอาไว้แล้วว่าไป๋ไห่ชินคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายชราจะไร้ยางอายถึงขนาดกล้าพูดประโยคนี้ออกมาต่อหน้าชาวเมืองจำนวนมาก
ไป๋ไห่ชินได้แต่หัวเราะในลำคอ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป “หากเปลี่ยนข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่ทราบว่าอาจารย์ไป๋จะเมตตาไว้ชีวิตข้าหรือไม่?”
ไป๋ไห่ชินยังได้แต่ยิ้ม
“เลิกถ่วงเวลาเสียที นำตัวลูกศิษย์ของท่านออกมาและสั่งให้มันชดใช้ความผิดของตนเองซะ”
หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
พลัน ไป๋ไห่ชินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “หลินเป่ยเฉิน เจ้านี่มันใจคออำมหิตเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าลูกศิษย์ของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เจ้าก็ยังพยายามเอาชีวิตเขาให้ได้ เอาเถอะ ในเมื่อนั่นเป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าก็คงขัดขวางไม่ได้…พวกเรานำตัวพั่วเถียนออกมาเดี๋ยวนี้”
กลุ่มคนแหวกออกเป็นสองฝั่ง
ปรากฏมือกระบี่ในชุดดำสี่คนเดินยกเปลหามออกมาจากด้านหลัง
ผู้ที่นอนอยู่บนเปลหามมีร่างกายบวมช้ำ สภาพบาดเจ็บสาหัส
ดูเอาจากผมสีทองนั้น ต้องเป็นเฉาพั่วเถียนไม่ผิดแน่นอน
บัดนี้ เฉาพั่วเถียนมีสภาพน่าอเนจอนาถใจเหลือเกิน แม้ว่าตลอดร่างกายจะพันไว้ด้วยผ้าพันแผล แต่ก็ยังมีเลือดจำนวนมากไหลซึมออกมา ผิวหนังของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ไม่ต่างจากปลาที่ถูกถอดเกร็ด ในลำคอส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเวทนาจับใจ
“ข้านำตัวเขามาให้เจ้าแล้ว” ไป๋ไห่ชินพูดเสียงแข็ง “พอใจเจ้าหรือยัง? หรืออยากให้เขาย่ำแย่ไปมากกว่านี้?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะโดยปราศจากความสงสาร “นี่ยังห่างไกลจากความพอใจของข้าอีกเยอะ”
ไป๋ไห่ชินยิ้มมุมปาก “เรื่องนั้นก็แล้วแต่เจ้า… วันนี้ชาวเมืองก็ได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้ว ว่าลูกศิษย์ของข้าได้รับบาดเจ็บขนาดไหน อาการบาดเจ็บของเขามาจากการต่อสู้ใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย นี่คืออาการบาดเจ็บจากการถูกพลังปีศาจโจมตี พลังปีศาจกัดกินเนื้อหนังของเขาจนมีสภาพเป็นเช่นนี้…”
แล้วชายชราก็กระโดดลงไป กระชากผ้าพันแผลออกจากร่างกายของลูกศิษย์
เมื่อเห็นสภาพของเด็กหนุ่มผมทอง สีหน้าของชาวเมืองก็แปรเปลี่ยนไป
นับว่าเฉาพั่วเถียนมีสภาพย่ำแย่มากจริงๆ
เขาแทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกแล้ว
ไป๋ไห่ชินพลิ้วกายวูบกระโดดกลับขึ้นมายืนอยู่บนเวทีอีกครั้ง ดวงตาของเขาคมยิ่งกว่ากระบี่ยามจ้องมองหลินเป่ยเฉินและถามเสียงแข็งกระด้าง “เด็กแซ่หลิน ข้าขอถามเจ้า ในเมื่อลูกศิษย์ของข้าได้รับบาดเจ็บเพราะต่อสู้กับเจ้า แล้วทำไมถึงได้มีพลังปราณปีศาจอยู่ในตัวของเขาได้? เจ้าทำอะไรกับเขากันแน่?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “พูดแบบนี้ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
————